“ผมเจอสิ่งที่คุณต้องการแล้ว”

ซิงเปียนนั่งอยู่ในออฟฟิศ เขามองจอโฮโลแกรมที่ลอยอยู่บนเดสก์ท็อป พอเขาได้ยินคำนี้ระหว่างที่รับสาย เขาก็ตะลึงไป

เขาใช้เวลานานกว่าจะดึงตัวเองกลับมาโลกแห่งความเป็นจริง ซิงเปียนเอ่ยถามด้วยเสียงสุขุมว่า “เจอสิ่งที่ผมต้องการ…คุณหมายความว่าอย่างไรกัน?”

“หมายความตามที่ว่านั่นแหละครับ คุณอยากได้เบาะแสเรื่องไวรัสอัลฟ่านี่นา” ลู่โจวอธิบายอย่างชัดเจนผ่านหน้าต่างวิดีโอ “การป้องกันไวรัสนี้ทางโปรแกรมนับว่าเป็นไปไม่ได้ก็จริง แต่ผมก็เจอพยานปากเอกเรื่องไวรัสอัลฟ่าแล้วนะ…”

พยานปากเอก?

คิ้วของซิงเปียนกระตุกอย่างรุนแรง เป็นชั่วขณะหนึ่ง ที่เขาไม่สามารถทำความเข้าใจกับข้อมูลทั้งหมดที่โหมกระหน่ำเข้ามาหาเขาในประโยคนั้น

ถึงเขาจะเป็นคนที่ขอให้ลู่โจวช่วยกองความมั่นคงสืบสวนเรื่องไวรัสอัลฟ่า เขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าผู้นำฝ่ายวิชาการคนนี้จะหาวิธีช่วยเขาแบบนี้จริงๆ

หลังจากหายใจเข้าลึกๆ ซิงเปียนก็ถามลู่โจวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ใครคือพยานปากเอกคนนี้กัน? ตอนนี้เขาอยู่ไหน?”

“คุยผ่านโทรศัพท์มันก็พูดยากนะครับ เดี๋ยวผมให้ที่อยู่ไว้เลยก็แล้วกัน คุณรีบมาให้เร็วที่สุดจะดีกว่า…เพราะผมก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าเขาจะยอมรออยู่ที่นี่เฉยๆ แบบสงบๆ ”

ซิงเปียนพูดขึ้นทันที “ผมจะรีบไปที่นั่นเดี๋ยวนี้นี่แหละ!”

พอจดที่อยู่เสร็จ เขาก็รีบวางสายแล้วติดต่อคนจากหน่วยภาคสนาม หลังจากนั้นไม่ถึงนาทีเสียงกระดิ่งแจ้งเตือนก็ดังลั่นไปทั่วโรงรถของกองความมั่นคง

เพียงแค่ห้านาทีเท่านั้น รถตำรวจสามถึงสี่คันก็แล่นผ่านเมืองเซี่ยงไฮ้ไปครึ่งเมือง แล้วไปหยุดอยู่ที่หน้าบ้านของโมรินากะ

ซิงเปียนปิดประตูรถแล้วก้าวเดินไปที่ข้างๆ ประตูเหล็ก เขาหยิบอุปกรณ์ที่หน้าตาคล้ายเข็มทิศออกมาถือไว้ในมือ จากนั้นก็ใช้มันสแกนที่ประตู

หลังจากขมวดคิ้วเสร็จ เขาก็มองไปที่สือจินที่ยืนรออยู่ข้างเขาเรียบร้อย แล้วออกคำสั่งว่า

“เริ่มเข้าไปได้”

“ครับ ท่าน!”

พอได้รับฟังคำสั่งจากร้อยเอกซิง สือจินก็พยักหน้า และทำท่าทำทางให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่ข้างเขาดูว่าต้องเข้าไปข้างใน จากนั้นเขาก็ปลดเซฟตี้ของปืนพก แล้วเดินตามเจ้าหน้าที่ที่พกอาวุธเต็มตัวสองคนเข้าไป

เมื่อคิดถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากไวรัสอัลฟ่า เจ้าหน้าที่ที่ถูกส่งมาครั้งนี้จึงเป็นผู้มียศสูงกันทุกคน หรือก็คือกลุ่มคนที่ไม่ได้มีการปลูกถ่ายอวัยวะเทียมนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ทั้งกลุ่มจะเตรียมพร้อมมาว่าต้องต่อสู้กับองค์กรผู้ก่อการร้ายสุดอันตรายอย่างดุเดือด ก็กลับกลายเป็นว่าพวกเขาไม่ต้องสู้กับอะไรเลย

หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ พวกเขามาสายไปแล้วนั่นเอง

“เกิดบ้าอะไรขึ้นที่นี่เนี่ย?” ใบหน้าของสือจินเต็มไปด้วยความช็อก เมื่อเขามองเห็นสภาพห้องนั่งเล่นที่เละเป็นซากและอาวุธอัตโนมัติที่แขวนอยู่บนเพดาน

นึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่า ในสถานที่อย่างกลุ่มเมืองสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซีเกียง จะมีระบบอาวุธปืนที่รุนแรงเกินขอบเขตของอาวุธเบาในบ้านของใครสักคนได้

หยดเหงื่อเย็นๆ ขึ้นมาบนหน้าผากของเขา ถ้าฝ่ายของเขาบุกเข้ามาที่นี่ แล้วเจ้าของห้องนี้ตัดสินใจใช้อาวุธพวกนี้ขัดขวางการจับกุมแล้วล่ะก็ พวกเขาคงจะถูกจัดการไปได้อย่างง่ายดาย

ประสบการณ์ด้านการต่อสู้ก็เรื่องหนึ่ง แต่อาวุธปืนพวกนี้ เห็นได้ชัดว่าอยู่เกินขอบเขตที่ประสบการณ์ของพวกเขาจะช่วยต่อกรได้แล้ว

“ดูเหมือนพวกเราจะมาสายไปสินะ” ซิงเปียนมองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ประตูข้างห้องนั่งเล่น จากนั้นเขาก็ออกคำสั่ง “ทีมเอ เข้าไปเก็บหลักฐานที่ห้องอ่านหนังสือ ทีมบี ไปที่โรงรถกับผม”

“ครับ ท่าน!”

โมรินากะถูกจับกุมแล้ว

ตอนที่พวกซิงเปียนเจอเขา เขาก็ถูกมัดติดไว้กับหน้ากระโปรงรถ เขาพยายามจะหาวิธีช่วยเหลือตัวเอง อย่างการพยายามใช้เล็บของเขาขูดเชือกพลาสติกที่มัดไว้รอบตัว

น่าเสียดายที่ต่อให้เขาใช้เล็บขูดให้ตาย เชือกที่พันรอบตัวเขาก็ไม่หลุดอยู่ดี

ถึงซิงเปียนจะสับสนว่าทำไมคนอย่างโมรินากะถึงเข้าร่วมกับพวกสมคบคิดอย่างองค์กร แต่หลักฐานหนักแน่นก็อยู่ตรงหน้าเขาเต็มๆ เขารีบสั่งจับโมรินากะในข้อหาก่อภัยอันตรายต่อความปลอดภัยในสังคม

และต่อให้โมรินากะไม่ได้มีตำแหน่งสูงในองค์กร อาวุธที่เขาติดตั้งที่บ้านก็มากพอที่จะส่งเขาเข้าคุกไปง่ายๆ …

ในห้องสอบสวน

โมรินากะมีถุงใต้ตาหนาเตอะ เขามองซิงเปียนกับสือจินอย่างหดหู่ ทั้งสองคนนั้นนั่งอยู่หลังหน้าต่างกระจกกับเจ้าหน้าที่คนอื่น

พอเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่จากกองความมั่นคง โมรินากะก็เอ่ยเสียงล้อเลียน “ผมไม่บอกอะไรคุณหรอก ยอมแพ้เถอะ”

ซิงเปียนไม่ได้มองเขาเลย แต่เขากลับหันไปมองหมอที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วพูดขึ้นว่า “ฉีดสัจจะเซรุ่มใส่เขาเลยครับ”

หมอพยักหน้าแล้วดึงเข็มฉีดยาออกมาจากกล่องเครื่องมือ

“โอเค”

พอโมรินากะเห็นเข็มฉีดยา ดวงตาของเขาก็ตื่นตระหนก เขาดิ้นพราดๆ อยู่บนเก้าอี้

“อย่าเดินมานี่นะ

“อ๊าาาาาาาาา!”

เสียงเหมือนหมูถูกเชือดดังลั่นขึ้นมา หมอไม่สนใจท่าทีขัดขืนของโมรินากะ เขาใช้เข็มฉีดยาทิ่มเข้าไปในหลอดเลือดของอีกฝ่ายอย่างใจเย็น ก่อนจะเดินออกจากห้องสอบสวนไปพร้อมกับกล่องเครื่องมือ

โมรินากะโมโหมาก ดวงตาของเขาแดงก่ำไปด้วยเส้นเลือด แต่เขาก็สงบสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว จังหวะหายใจตรงหน้าอกของเขาก็กระเพื่อมเป็นจังหวะที่คงที่

แต่ม่านตาที่แดงก่ำไปด้วยเส้นเลือดของเขากลับดูบ้าคลั่งกว่าครั้งก่อนหน้า…

ซิงเปียนมองโมรินากะที่นั่งอยู่ในห้องสอบสวน เขาเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าเย็นชา “แล้ว เรื่องไวรัสอัลฟ่านี่มันเป็นมาอย่างไรล่ะ?”

บางทีเซรุ่มอาจจะยังไม่ให้ผลเต็มที่ ในแววตาของโมรินากะจึงยังมีร่องรอยของการพยายามขัดขืนอยู่

แต่การพยายามขัดขืนนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นอยู่นานนัก

หลังจากเงียบไปพักใหญ่ เขาก็ยิ้มขึ้นมาแล้วตอบคำถาม

“ไวรัสที่ออกแบบมาให้เอไอ โดยเฉพาะความทรงจำของหุ่นยนต์ ให้มันยอมแพ้ ไวรัสอัลฟ่าได้แพร่กระจายไปทั่วตลาดมืด กลุ่มคนที่มีความเป็นอาชญากรมากกว่าพวกเราแพร่กระจายไวรัสให้ไกลออกไปได้เก่งกว่าพวกเราเสียอีก ตอนนี้มีหุ่นยนต์ที่ติดเชื้อไวรัสอัลฟ่าไปอย่างน้อยก็ 100,000 ตัวแล้ว”

“แก…”

สือจินกำหมัดแน่น เขามองไปที่ใบหน้าที่น่าต่อยเสียเหลือเกิน เขาพุ่งไปข้างหน้าด้วยความโกรธ แต่ร้อยเอกซิงก็หยุดเขาไว้

“อันที่จริงผมยังมีเรื่องต้องการคำตอบอีก” ซิงเปียนยังคงจ้องไปที่โมรินากะต่อ อีกฝ่ายนั่งอยู่หลังโต๊ะ ซิงเปียนถามขึ้นว่า “คนอย่างคุณนี่เรียกว่าประสบความสำเร็จก็ว่าได้ ทำไมคุณถึงเลือกไปเข้าร่วมกับกลุ่มสมคบคิดพวกนั้นล่ะ?”

“สมคบคิดเหรอ? คุณนี่มันโง่เขลาเสียจริงๆ ” ดวงตาบ้าคลั่งของเขาฉายแววดูหมิ่นออกมา โมรินากะเล่าต่อ “ถ้าคุณเคยได้ยินเสียงกระซิบจากเดอะวอยด์ คุณก็คงจะรู้คำตอบดี”

สือจินขมวดคิ้วแล้วถาม “เสียงกระซิบจากวอยด์เหรอ?”

โมรินากะหัวเราะแห้งๆ “…ผู้เผยแพร่ได้ยินมันเป็นคนแรก จากนั้นเขาก็เผยแพร่ให้กับผม และความปรารถนาที่ผมใฝ่ฝันมาตลอดก็คือการได้เผยแพร่เรื่องนี้ให้คนอื่นรับรู้ ผู้ศรัทธาในจิตวิญญาณแห่งจักรวาลบนดาวดวงนี้ พลังวิญญาณอันกล้าแกร่งที่จะผูกพวกเราไว้อย่างใกล้ชิด และพวกเราก็จะเป็นผู้รู้ทุกสรรพสิ่ง…”

พอได้ฟังคำบรรยายอันสุดจะเพี้ยน สือจินก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยคำดูถูกหรือแสดงความเห็นใจกับโมรินากะดี เขาตัดสินใจส่ายหัวแล้วพึมพำว่า “หมอนี่กู่ไม่กลับแล้ว…”

ร้อยเอกซิงที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาขมวดคิ้วเล็กๆ หลังจากที่คิดอยู่นิดหนึ่งเขาก็ถามโมรินากะต่อ “แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับไวรัสอัลฟ่า?”

“ต้องเกี่ยวสิ”

รอยยิ้มของโมรินากะมีความโหดร้ายเจือปนอยู่

เขาเอ่ยต่ออย่างช้าๆ “ในภัยพิบัติ ลูกแกะที่หลงทางจะตามหาความช่วยเหลือจากศรัทธา และตามหาความร่มเย็นในโลกแห่งจิตวิญญาณ ลองนึกภาพรากฐานสำคัญของสังคมในยุคใหม่แตกสลายเป็นเสี่ยงๆ เหมือนเต้าหู้เละๆ คู่หูที่เคยเชื่อใจกันแต่ก่อนกลับกลายเป็นเครื่องมือกระหายเลือดที่มีอยู่เพื่อการฆ่าฟัน…ลองใช้สมองเดาดูสิว่าโลกนี้จะเป็นอย่างไร”

ทั้งห้องสอบสวนตกอยู่ในความเงียบไปชั่วขณะ

หลายคนเหงื่อตกกันอย่างไม่ได้นัดหมาย

พวกเขาคิดว่าองค์กรจิตวิญญาณแห่งจักรวาลเตรียมพร้อมจะใช้ไวรัสอัลฟ่าเป็นเครื่องมือขู่ให้คนอื่นทำตามความต้องการอันชั่วร้ายขององค์กร แต่พวกเขาไม่ได้คิดว่าองค์กรจะไม่ได้มีจุดประสงค์จะเจรจาตั้งแต่แรกแล้ว พวกองค์กรกลับวางแผนว่าจะฝังไวรัสร้ายนี่ลงไปในความรุ่งเรืองของศตวรรษที่ 22 จากนั้นก็จะก้าวขึ้นมาจากความโกลาหล เปลี่ยนจากองค์กรใต้ดินขึ้นมาอยู่บนดิน

สีหน้าของซิงเปียนค่อยๆ กลายเป็นสีหน้าเย็นชา

“พวกคุณเป็นคนทำไวรัสเหรอ?”

“พวกเราน่ะนะ? คุณหมายถึงดอว์นเทคโนโลยีใช่ไหม? ฮ่าฮ่าฮ่า…” โมรินากะเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งพร้อมกับรอยยิ้มคลุ้มคลั่ง “ไม่ใช่อยู่แล้ว…เอ๊ะ พวกเราไปได้มันมาได้อย่างไรนะ? อ๊ะ ใช่ จำได้แล้ว ซอร์ซโค้ดนั่นถูกซื้อมาจากกลุ่มโจรสลัดอวกาศ พวกนั้นบอกว่าไวรัสนี้พวกเขาขโมยมาจากห้องแล็บเทคโนโลยีของเมืองเทียนกง แต่ใครมันจะไปสนใจเรื่องนั้นกันล่ะ? ไวรัสมันได้ผลก็พอแล้ว”

สือจินยืนอยู่หน้ากระจกหน้าต่าง เขาถามโมรินากะอย่างดุดัน “โจรสลัดอวกาศเหรอ? โจรสลัดอวกาศกลุ่มไหน? พวกเขาอยู่ที่ไหน?”

“อยู่ที่พิกัดดาราศาสตร์ 0.03 จากดาวซีรีส จะว่าไปแล้วฐานของพวกเขาก็อยู่ใกล้ๆ นี่แหละ แต่ผมก็ไม่รู้แน่ชัดนะว่าอยู่ตรงไหน” โมรินากะเอ่ยด้วยรอยยิ้มวิปริต “ภารกิจของผมสำเร็จแล้ว มันสำเร็จไปตั้งแต่ปีที่แล้ว เตรียมตัวรับความสิ้นหวังได้เลย เดี๋ยวพวกคุณก็จะสัมผัสได้ถึงการร่วงหล่นจากท้องเมฆาลงไปสู่ห้วงอเวจี ผมอยากจะเห็นเหลือเกินว่าพอถึงช่วงวันสุดท้าย ชีวิตคุณจะบัดซบแค่ไหน”

พอเห็นว่าโมรินากะกลายเป็นบ้าแค่ไหน หมอที่ยืนอยู่ข้างซิงเปียนก็ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล “สุขภาพจิตของเขาไม่เหมาะสมต่อการสืบสวนต่อแล้วนะครับ หรือจะให้ผมเพิ่มโดสยาดี?”

“ไม่ต้อง พวกเรารู้เบาะแสสำคัญแล้ว ส่วนเรื่องจะเอาอย่างไรกับเขาต่อ…” ซิงเปียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาว่าต่อ “ตอนนี้พวกเราเก็บเขาไว้ก่อนก็แล้วกัน ผมยังมีคำถามอยากจะถามเขาอีกหลายข้อ”

ร้อยเอกซิงหันหลังกลับไปทางประตู สือจินเดินตามซิงเปียนไปอย่างรวดเร็ว เขาถามด้วยความเป็นกังวล “ร้อยเอกครับ สถานการณ์นี้เป็นเรื่องเร่งด่วน พวกเราต้องดำเนินการในทันทีนะครับ! โมรินากะบอกว่าไวรัสนี้จะแพร่กระจายไป…”

“มันไม่สำคัญหรอก พอไวรัสนี้แพร่กระจายออกไปแล้ว จะไปสำรวจผู้แพร่ไวรัสก็ไม่ได้ความอะไร สิ่งสำคัญที่เราต้องทำตอนนี้คือล็อกไวรัสอัลฟ่าจากแหล่งของมัน”

พอพูดจบร้อยเอกซิงก็รีบเดินไปสุดระเบียงทางเดิน เขาพูดต่อด้วยสีหน้าเย็นชา “พอคุณกลับไปออฟฟิศแล้ว เขียนรายงานการสอบสวนเมื่อกี้มาด้วยนะ ผมจะเอาไปยื่นให้แผนกเบื้องบน”

“ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับกองทัพชุดแรกแล้ว”