บทที่ 719.6 ทำเอาใต้หล้าไพศาลตกใจสะดุ้งโหยง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

รอกระทั่งโจวหมี่ลี่ย้อนกลับมา เฉินหน่วนซู่ปิดประตูลงอีกครั้ง

จั่วโย่วก็ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าก็คือโจวหมี่ลี่ ภูตน้ำใหญ่ทะเลสาบคนใบ้ที่ศิษย์น้องของข้าพูดถึงน่ะหรือ?”

โจวหมี่ลี่อ้าปากกว้างอย่างอดไม่อยู่ ก่อนจะรีบเอาคานหาบสีทองและไม้เท้าเดินป่ามอบให้พี่หญิงหน่วนซู่ช่วยดูแล จากนั้นก็ยกมือปิดปาก สุดท้ายนางที่ยกมือป้องปากก็พูดกลั้วหัวเราะฮ่าๆ ว่า “ศิษย์พี่ของเจ้าขุนเขาคนดี ท่านเป็นถึงเซียนกระบี่ที่ใหญ่กว่าโต๊ะเสียอีก แต่กลับรู้จักข้าด้วยหรือ?”

จั่วโย่วยิ้มถาม “อะไรคือใหญ่กว่าโต๊ะ?”

โจวหมี่ลี่อธิบาย “ก็คือสามารถวางถ้วยขาวใบใหญ่ได้หลายใบ หากใหญ่เท่าเมล็ดแตงก็คือใหญ่ปกติ ใหญ่เท่าถ้วยข้าวคือใหญ่มากแล้ว ว้าว?! ใหญ่เท่าโต๊ะ นั่นก็ต้องใหญ่ที่สุดแล้ว!”

จั่วโย่วพยักหน้า “จะพูดอย่างนี้ก็ได้”

โจวหมี่ลี่ดีใจจนวิ่งวนอยู่ที่เดิมเหมือนล้อรถที่หมุนวนอยู่กับที่ นางเรียนรู้มาจากเผยเฉียน ส่วนเผยเฉียนก็เรียนรู้มาจากพี่หญิงเป่าผิงอีกที นี่ก็คือการสืบทอดวิชายุทธในยุทธภพแล้ว

จั่วโย่วยื่นมือไปลูบศีรษะของหน่วนซู่ เอ่ยเบาๆ ว่า “ศิษย์น้องเล็กอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็พูดถึงเจ้าบ่อยๆ เหมือนกัน เขาเป็นกังวลอยู่ตลอดว่าเจ้าจะถูกเจ้าคนที่ชื่อเฉินหลิงจวินรังแก หากเขาทำอย่างนั้นจริงๆ ล่ะก็ ในฐานะศิษย์พี่ของเจ้าขุนเขาพวกเจ้า ข้าสามารถตักเตือนเฉินหลิงจวินได้”

โจวหมี่ลี่รีบพูดทันใด “เฉินหลิงจวินไปเดินลงน้ำที่อุตรกุรุทวีปแล้ว ไม่ได้รังแกพี่หญิงหน่วนซู่ เซียนกระบี่โต๊ะอย่าด่าเขานะ”

เฉินหน่วนซู่ประสานมือคารวะ “อาจารย์จั่ว เฉินหลิงจวินดีมากเลย ไม่เคยรังแกใคร”

จั่วโย่วอืมรับหนึ่งที พอเห็นจูเหลี่ยนที่เดินกุมหมัดคารวะเข้ามาหาก็ถามเข้าประเด็นทันที “บนภูเขาลั่วพั่วทุกวันนี้มีอุปสรรคใดที่ข้าพอจะช่วยได้หรือไม่?”

จูเหลี่ยนเก็บหมัดแล้วก็เอ่ยว่า “มีเรื่องหนึ่งที่ต้องการให้อาจารย์จั่วช่วยอยู่จริงๆ”

จั่วโย่วประหลาดใจนิดๆ “อ้อ? เป็นเซียนกระบี่ที่ตาไร้แววคนใดของแจกันสมบัติทวีปเล่า?”

ต่อให้เป็นจูเหลี่ยนที่เชี่ยวชาญรอบด้านก็ยังอดอึ้งงันพูดไม่ออกอยู่บ้าง

พูดคุยกับคนอื่นแบบนี้ เพิ่งจะเคยเจอครั้งแรก

จูเหลี่ยนจึงพูดถึงเรื่องที่จะเอาพื้นที่มงคลรากบัวและบ่อโบราณที่เป็นถ้ำสวรรค์ปริแตกมาเชื่อมโยงเข้าด้วยกันให้กลายเป็น ‘ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลเชื่อมโยงเป็นหนึ่ง’

ใต้หล้าไพศาล สถานที่ที่มีวีรกรรมยิ่งใหญ่เช่นนี้ มีเพียงสองแห่ง หนึ่งคือบ้านเกิดของจูเหลี่ยน พื้นที่มงคลในอดีตเชื่อมโยงอยู่กับถ้ำสวรรค์เหลียนฮวาของมรรคาจารย์เต๋า

จั่วโย่วฟังแล้วก็เอ่ยว่า “เรื่องเล็ก”

กว่าจะได้มาเยือนภูเขาลั่วพั่วไม่ใช่เรื่องง่าย ผลกลับกลายเป็นว่ามีเรื่องให้ทำแค่นี้ ดูท่าแล้วคล้ายว่าเซียนกระบี่จั่วจะผิดหวังอยู่เล็กน้อย

ระหว่างที่เดินไปยังเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว จั่วโย่วก้าวเดินไม่เร็ว ถามถึงสถานการณ์ฟ้าดินของพื้นที่มงคลรากบัวจากจูเหลี่ยน พอจะเข้าใจได้คร่าวๆ แล้วก็บอกว่าเดี๋ยวจะลองถามวิชาความรู้เรื่องวิถีเทพบางอย่างจากสหายฉางมิ่ง แล้วก็ถามถึงสถานการณ์ล่าสุดของขุนเขาสายน้ำในบ้านเกิดของอาจารย์จ้ง หากอาจารย์จูไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหายุ่งยาก แม้แต่เพ่ยเซียงที่เป็นแขกของพื้นที่มงคลก็จะถามให้รู้ชัดเจนไปพร้อมกันด้วย ส่วนเรื่องที่ว่าสุดท้ายจะออกกระบี่อย่างไร ก็ไม่ต้องถามใครแล้ว

จูเหลี่ยนตอบคำถามไปทีละข้อ พูดนานถึงสองชั่วยาม

จั่วโย่วมาถึงนอกเรือนไม้ไผ่ก็เรียกเฉาฉิงหล่างที่เพิ่งกลับมาถึงบนภูเขามา นั่งตรงหน้าผา สอบถามเรื่องวิชาความรู้กันต่อหน้า

จั่วโย่วเอ่ย “เรื่องของการศึกษาหาความรู้ ต้องตั้งใจกว่าอาจารย์ของเจ้า เขาก็แค่ฉลาดมากเกินไป ทว่าแท้จริงแล้วท่าทีในการแสวงหาความรู้กลับสู้เจ้าไม่ได้”

เฉาฉิงหล่างไม่รู้ว่าควรจะพยักหน้ารับหรือว่าส่ายหน้าดี ยิ่งไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับอย่างไร

จั่วโย่วถาม “เผยเฉียนออกเดินทางไกลยังไม่กลับมารึ?”

เฉาฉิงหล่างพยักหน้า “ครั้งสุดท้ายที่ส่งจดหมายกลับมายังภูเขาลั่วพั่วคือตอนอยู่ที่ศาลเหลยกง บ้านของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบเพ่ยอาเซียงของธวัลทวีป”

จั่วโย่วขมวดคิ้วน้อยๆ “เผยเฉียนส่งจดหมายมาด้วยตัวเองรึ?”

อายุน้อยๆ ไปอยู่ข้างนอกคนเดียว เหตุใดถึงได้ไม่ระวังตัวเช่นนี้ อย่าได้เลียนแบบอาจารย์พ่อของเจ้าเด็ดขาดเชียว

เฉาฉิงหล่างส่ายหน้า “เป็นผู้อาวุโสเซียนกระบี่เซี่ยซงฮวาแห่งธวัลทวีปช่วยส่งมาให้ อันที่จริงเวลาท่องอยู่ในยุทธภพ เผยเฉียนค่อนข้างจะระมัดระวังตัว”

จั่วโย่วพยักหน้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แบบนี้ก็ไม่เลวแล้ว”

จั่วโย่วมองศิษย์น้องเล็ก ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ขวางหูขวางตา

แต่พอมามองลูกศิษย์ที่ศิษย์น้องเล็กรับมา ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ถูกชะตา

จั่วโย่วเอ่ย “เจ้าเป็นลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อ อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกตน จะฝึกฝนจิตใจหรือฝึกฝนพละกำลัง อาจารย์ลุงไม่ค่อยชอบที่จะยื่นมือเข้าแทรก เพียงแต่ว่ามีเรื่องหนึ่งที่เจ้าสามารถจดจำไว้ก่อนได้ มีเหตุผล แต่กลับไปเจอเทพเซียนบนภูเขาที่ไม่ชอบใช้เหตุผล อีกฝ่ายอาศัยขอบเขตที่มากกว่ามารังแกคนอื่น บอกชื่ออาจารย์ของเจ้าไป ทุกวันนี้อาจไม่ได้ผลเสมอไป ถ้าอย่างนั้นก็บอกชื่ออาจารย์ลุงไปแล้วกัน”

นับแต่วันนี้ไป ลูกศิษย์ผู้สืบทอดและลูกศิษย์ของลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายเหวินเซิ่งไม่จำเป็นต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ในใต้หล้าไพศาลอีกแล้ว

เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับ “ข้าจำไว้แล้วขอรับ”

จั่วโย่วพลันเอ่ยว่า “ดื่มเหล้าเป็นหรือไม่?”

เฉาฉิงหล่างกล่าวอย่างขัดเขิน “มีครั้งหนึ่งที่เดินทางไกล เคยดื่มมาก่อน แต่ไม่ค่อยชอบเท่าใดนัก”

จั่วโย่วยิ้มกล่าว “ดีมาก อย่าทำตัวเป็นผีขี้เหล้าเหมือนอาจารย์ของเจ้า”

ต้องเรียนรู้เอาอย่างอาจารย์ลุง

เฉาฉิงหล่างถาม “ข้ายังมีข้อสงสัยในเรื่องวิชาความรู้ อาจารย์ลุงยุ่งอยู่หรือไม่?”

จั่วโย่วตอบ “เรื่องในใต้หล้า ไม่มีเรื่องใดที่จะยุ่งไปกว่าการศึกษาหาความรู้ เจ้าถามมาได้เลย”

สุดท้ายจั่วโย่วก็อยู่บนภูเขาลั่วพั่วเป็นเวลาสั้นๆ เพียงแค่สองวัน

พื้นที่มงคลกับถ้ำสวรรค์เชื่อมโยงถึงกันเรียบร้อย

จั่วโย่วจึงเก็บปราณกระบี่ พกกระบี่ลงจากเขาออกเดินทางไกล เพียงชั่วพริบตาก็ห่างไปพันลี้

ระหว่างที่เดินทางผ่านภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป จั่วโย่วได้ยินเสียงในใจเสียงหนึ่งที่อธิบายเหตุผลหนึ่งให้เขาฟังอย่างกระชับได้ใจความ นี่ทำให้จั่วโย่วขมวดคิ้วเป็นปม

‘สายของเหวินเซิ่งมีลูกศิษย์ของลูกศิษย์ผู้สืบทอดแล้ว ถ้าเช่นนั้นในบรรดาอาจารย์ลุง จะมีคนที่ต่อสู้ได้เก่ง อีกทั้งยังเป็นคนที่ทั้งใต้หล้าล้วนรู้จักได้หรือไม่? จะได้ทำให้วันหน้าพวกตาแก่หนังเหนียวไม่กล้ามารังแกกันง่ายๆ?’

นี่ก็คือหลักการเหตุผลที่ชุยฉานซึ่งถือประคองป๋ายอวี้จิงไว้ในฝ่ามือพูดกับจั่วโย่ว

ดังนั้นสุดท้ายจั่วโย่วจึงเลือกที่จะหมุนปลายกระบี่กลับ ไม่ปลดกระบี่ลงแล้วบังคับให้พุ่งใต้ไปยังนครมังกรเฒ่า แต่ข้ามมหาสมุทรเดินทางไกล หนึ่งกระบี่ตรงไปยังทักษินาตยทวีป

เซียวสวิ้นผู้นั้นกำลังจะถามหมัดต่อเฉินฉุนอันที่บนบ่าแบกดวงตะวันจันทราอีกครั้ง อันที่จริงก็เท่ากับถามหมัดต่อทั้งทวีป

ระหว่างฟ้าดิน

แสงกระบี่พุ่งมาถึง

กระบี่นั้นของเซียวสวิ้นถูกซัดให้หล่นลงกลางอากาศ ทิ้งตัวเป็นเส้นทแยง ร่างทั้งร่างกระแทกร่วงลงไปใต้มหาสมุทรลึกในเสี้ยววินาที จากนั้นแสงกระบี่ก็แหวกผ่ามหาสมุทรใหญ่ตามไปติดๆ แทงทะลุทั้งร่างของเซียวสวิ้นและเทือกเขาที่อยู่ลึกใต้ทะเลไปพร้อมกัน

เซียวสวิ้นถามข้าหนึ่งหมัด หมัดพุ่งมาจากด้านหลัง

จั่วโย่วคืนเจ้าหนึ่งกระบี่ เปิดเผยตรงไปตรงมา

ไม่รับก็ต้องรับ

ไม่ได้อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว ไม่แน่เสมอไปที่เจ้าจะรับเอาไว้ได้

……

เมื่อถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลรวมกันเป็นหนึ่ง ภาระบนบ่าของจูเหลี่ยนก็เบาลงไปอีกหนึ่งเปราะ

ราวกับว่าอารมณ์นับพันนับหมื่นอันสับสนซับซ้อนล้วนถูกลูบให้เรียบ ขาดก็แค่คุณชายกลับคืนสู่บ้านเกิดเท่านั้น

เพียงแต่ว่าอารมณ์ของจูเหลี่ยนเพิ่งจะดีขึ้น คิดไม่ถึงว่าเรื่องที่ชวนให้หงุดหงิดใจจะเกิดขึ้น มารดามันเถอะ คนเราแม่งจะปล่อยให้หลงระเริงลำพองตนไม่ได้เลยจริงๆ

แม่นางสุยคนหนึ่งเพิ่งจะจากไปได้ไม่กี่วัน ก็มีแม่นางสุยอีกคนหนึ่งมาแล้ว

จูเหลี่ยนพบความผิดปกติบนม้วนภาพม้วนหนึ่ง ด่าไปคำหนึ่งว่าสตรีล้างผลาญ ก่อนจะโยนเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งลงไป

โชคดีที่นางเป็นคนที่ไม่มีค่ามากที่สุด ต้องใช้แค่เหรียญเดียวเท่านั้น

อีกทั้งยังไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ ก็มีดีอยู่แค่นี้แหละ

ตายไปครั้งหนึ่ง พอเดินออกมาจากม้วนภาพวาด รากฐานมหามรรคาไม่ถูกทำลาย

พอสุยโย่วเปียนเดินออกมาจากม้วนภาพแล้ว ไอสังหารบนร่างก็ท่วมท้นเข้มข้น

เห็นได้ชัดว่าบนสนามรบนครมังกรเฒ่าแห่งนั้น นางสังหารปีศาจไปไม่น้อย เป็นเหตุให้กายดับมรรคาสลาย วิธีการสังหารศัตรูของสุยโย่วเปียนเป็นคนละแนวทางกับพวกจูเหลี่ยนเว่ยเซี่ยน จะไปเหมือนหลูป๋ายเซี่ยงมากกว่า ดังนั้นต้องไม่ใช่เพราะนางรนหาที่ตายอย่างแน่นอน แต่เป็นเพราะสถานการณ์ทางการรบดุเดือดรุนแรงจริงๆ จนตกอยู่ในทางตันเจอกับสถานการณ์ที่ต้องตายสถานเดียว

แต่กระนั้นจูเหลี่ยนก็ยังด่าว่า “เอาอย่างใครไม่เอา ดันไปเอาอย่างอาจารย์ผู้มีพระคุณของเจ้าที่ยามต่อสู้มักไม่คิดชีวิต! ดื้อรั้นหยิ่งยโส ร้ายกาจนักหรือ บัณฑิตคนหนึ่งของพื้นที่มงคลดอกบัว คิดว่าตัวเองเป็นอริยะลัทธิขงจื๊อของใต้หล้าไพศาลไปแล้วจริงๆ หรือไร? ผลล่ะเป็นอย่างไร? จุดจบดีหรือไม่ดี ข้าที่เป็นคนนอกคร้านจะพูด เจ้าที่เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดจะไม่รู้เลยหรือ?”

สีหน้าของสุยโย่วเปียนเปลี่ยนมาเป็นเย็นชาในชั่วพริบตา ปราณสังหารบนร่างยิ่งทะยานพรวดพราด

จูเหลี่ยนถลึงตาใส่ “ทำไม ข้าพูดผิดงั้นรึ? หรือว่าพูดถูกแล้ว?!”

สตรีล้างผลาญยังมีหน้ามาข่มขู่ข้าอีกรึ? หลายปีที่อยู่ในสำนักกุยหยกและสำนักเจินจิ้งมานี้ เจ้าหาเงินเทพเซียนได้สักกี่เหรียญกัน? แม้แต่หลูป๋ายเซี่ยงกับเว่ยเซี่ยนเจ้าก็ยังสู้ไม่ได้

แม้ว่าปราณสังหารของสตรีผู้นี้จะเข้มข้น แต่จิตสังหารกลับไม่ลึกล้ำ ยังถือว่าพอจะมีจิตสำนึกอยู่บ้าง

ไม่อย่างนั้นจูเหลี่ยนล่ะกลัวจริงๆ ว่าตัวเองจะอดใจไม่ไหวซ้อมให้นางต้องกลับเข้าไปในม้วนภาพอีกครั้ง!

ผู้ฝึกกระบี่คอขวดโอสถทองคนหนึ่ง คิดว่าร้ายกาจจริงๆ หรือไร

คนนอกมองไม่ออกว่าเหตุใดเจ้าถึงไปหอบินทะยาน เหตุใดถึงไม่อาจฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนเป็นก่อกำเนิดได้ แต่ข้าผู้อาวุโสกลับรู้ชัดเจนดี! คนอื่นไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าสุยโย่วเปียนต้องบินทะยาน แต่ปีนั้นข้าจูเหลี่ยนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวได้พลิกเปิดประวัติศาสตร์เกร็ดพงศาวดารของแต่ละราชวงศ์และเอกสารลับในยุทธภพแต่ละยุคสมัย ถึงได้รู้ว่าเหตุใดสตรีอย่างเจ้าถึงได้ดึงดันจะพกกระบี่บินทะยานขึ้นฟ้า!

ก็แค่คิดจะทำความปรารถนาของอาจารย์ที่เป็นผีตายไปแล้วของเจ้าให้เป็นจริงเท่านั้น

จูเหลี่ยนยิ่งรู้ว่า เหตุใดสุยโย่วเปียนถึงปฏิบัติต่อคุณชายของตนแตกต่างจากคนอื่น

นี่เป็นการกระทำที่เกิดจากความตั้งใจของเจ้าอารามเต๋ากวานเต๋าที่เป็น ‘เทพยดา’ ผู้นั้น เขาจงใจเปลี่ยนแปลงความทรงจำของสุยโย่วเปียน ทำให้ใบหน้าของเฉินผิงอันคล้ายคลึงกับอาจารย์ผู้มีพระคุณของนางหลายส่วน

แน่นอนว่าอันที่จริงสุยโย่วเปียนรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว แต่กลับเป็นเพราะนางวางไม่ลง จะหยิบขึ้นมาก็ตัดใจไม่ได้ จนถึงทุกวันนี้ถึงได้แสร้งทำเป็นว่าไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น!

เจ้าสุยโย่วเปียนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว ช่วงเวลาที่เจ้ามีชีวิตอยู่บนโลก ต่อให้หนึ่งคนหนึ่งกระบี่จะทำให้เหล่าผู้กล้าในใต้หล้าต้องก้มหัวให้ แต่เจ้ากล้าพูดให้ใต้หล้าฟังหรือไม่ว่า เจ้าชอบอาจารย์ของตัวเอง?!

สำหรับสี่คนในม้วนภาพ แม้แต่ตัวเจ้าเอง มีใครบ้างที่ไม่ถูกนักพรตเฒ่าจมูกโคหน้าเหม็นผู้นั้นเล่นตุกติกมาก่อน?! เจ้าอารามผู้เฒ่ามีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ ต่อให้ใช้แผนการอย่างโจ่งแจ้ง คนทั้งสี่ก็ยังได้แต่ฝืนใจยอมรับชะตากรรมเท่านั้น

เว่ยเซี่ยนมองเผยเฉียนน้อยเป็นดั่งบุตรสาวแท้ๆ ของตัวเอง!

หลูป๋ายเซี่ยงลุ่มหลงในวิถีของหมากล้อม ดังนั้นพอมาถึงใต้หล้าไพศาล จึงตั้งปณิธานไว้ว่าจะต้องกลายเป็นเจ้านครจักรพรรดิขาวที่เคยเล่นหมากล้อมเมฆหลากสีกับชุยฉาน! ต้องกลายเป็นผู้นำแห่งวิถีมารอย่างสมชื่อให้จงได้!

ข้าจูเหลี่ยนก็น่าสงสาร น่าเวทนา

ไม่เคยรู้ว่าตัวข้าจริงหรือปลอม ฟ้าดินและความเป็นความตายร่วมใจกันเป็นผีบังตาข้า!

สุยโย่วเปียนไม่ถือสาหาความจูเหลี่ยนอีก เพียงเอ่ยว่า “ข้าจะไปที่นครมังกรเฒ่าอีกรอบ”

จูเหลี่ยนกล่าว “เจ้ายังเหลืออีกสักกี่ชีวิตให้เอามาใช้อย่างฟุ่มเฟือยได้? ปีนั้นตายไปในพื้นที่มงคลแล้วยังสามารถมาอยู่ในม้วนภาพนี้ได้ ทุกวันนี้หากยังตายอีก ใครจะช่วยเก็บศพให้เจ้า?”

สุยโย่วเปียนกล่าวอย่างเดือดดาล “เจ้ามายุ่งเรื่องของข้าได้หรือ?! ในบรรดาพวกเราสี่คนก็มีเจ้าจูเหลี่ยนนี่แหละที่เป็นคนเขลาเบาปัญญาต้องเป็นทุกข์กับตัวเองที่สุด!”

จูเหลี่ยนยิ้มหน้าเป็น “คุณชายของข้ายุ่งเรื่องของเจ้าได้ เขาจะต้องเสียดายเงินฝนธัญพืช ข้าเตือนเจ้าไว้ก่อนเลยว่า ยามทำการค้าที่จริงจังกับใครขึ้นมา ดูเหมือนว่าคุณชายของข้าจะไม่เคยขาดทุนมาก่อน อย่าให้เขาต้องแหกกฎเพราะเจ้า”

แต่ก็ถือว่าสุยโย่วเปียนสตรีโง่ผู้นี้พูดจามีความรู้อย่างที่หาได้ยาก

สุยโย่วเปียนเตรียมจะขี่กระบี่จากไปไกล

อยู่ดีๆ จูเหลี่ยนก็เอ่ยว่า “เสียดายเงิน แต่จะเสียใจมากกว่า”

สุยโย่วเปียนแค่นเสียงเย็นชาในลำคอ ก้าวยาวๆ จากไป แต่กลับไม่ได้ขี่กระบี่ลงเขา บนภูเขามีที่พักของนางอยู่

จูเหลี่ยนจุ๊ปากไม่หยุด

เมืองเล็กอำเภอไหวหวง

วันนี้หลังจากร้านยาสุ้ยในตรอกฉีหลงปิดร้านแล้ว สหายฉางมิ่งก็ไม่ได้กลับไปยังที่พัก แต่คีบขนมที่เหลืออยู่ไม่มากขึ้นมา มองไปทางตัวแทนเถ้าแก่สือโหรวที่ยืนคิดบัญชีอยู่หลังโต๊ะคิดเงิน

สือโหรวเงยหน้าขึ้น ทุกวันนี้ล้วนเป็นอย่างนี้เสมอ สหายฉางมิ่งที่เรียกตัวเองกับคนนอกว่า ‘หลิงชุน’ ผู้นี้มักจะยิ้มหวานมองตนเช่นนี้ตลอด

อันที่จริงทั้งสองฝ่ายรู้รากฐานกันและกันดีมานานแล้ว เหตุใดสีหน้าของพี่หญิงฉางมิ่งที่ยังไม่ได้เข้าไปอยู่ในทำเนียบขุนเขาสายน้ำของภูเขาลั่วพั่วถึงได้เปลี่ยนมาเป็นแปลกประหลาดเช่นนี้? เพราะก่อนหน้านี้พี่หญิงฉางมิ่งยังเคยเห็นเครื่องประทินโฉมที่นางเก็บซ่อนไว้มาแล้วด้วยซ้ำ

แม้กระทั่งเรื่องที่ว่าทำไมพี่หญิงฉางมิ่งถึงได้ใช้นามแฝงว่า ‘หลิงชุน’ นางก็ยังบอกให้สือโหรวฟังแล้ว เพราะว่าในบ้านของเซียนจวินบนภูเขา หากมีต้นหลิงชุนอยู่ต้นหนึ่ง แล้วมีดอกกุ้ยแดงสักหลายๆ กิ่ง ก็จะถือว่าเป็นเรื่องดี เมื่อเทียบกับภาษิตบ้านๆ ที่บอกว่า ‘คนดีชีวิตไม่ยืนยาว’ (ชีวิตยืนยาวภาษาจีนคือฉางมิ่ง) แล้ว ถึงอย่างไรหลิงชุนก็ฟังแล้วไพเราะกว่า เพียงแต่ว่าในอนาคตศาลบรรพจารย์ยังคงต้องใช้ชื่อ ‘ฉางมิ่ง’ นี้ เพราะต่อให้คำสุภาษิตจะไม่น่าฟังแค่ไหน แต่ใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีเรื่องที่งดงามไปกว่า ‘คนดีมีชีวิตยืนยาว’ อีกเล่า?

สือโหรวชำเลืองตามองไปนอกประตู ไม่มีใครเดินผ่าน

ในที่สุดนางถึงอดไม่ไหวใช้เสียงในใจถาม “พี่หญิงฉางมิ่ง สรุปแล้วมีเรื่องอะไรกันแน่?”

ใช้เสียงในใจพูดคุยกันมีดีอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือสือโหรวสามารถกลับมาใช้เสียงของสตรีได้ดังเดิม

ฉางมิ่งที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะแต่กลับร่ายเวทอำพรางตาเอาไว้ ในสายตาของชาวบ้านธรรมดาและผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่าง แท้จริงแล้วนางก็คือสตรีหน้าตาธรรมดา อายุประมาณยี่สิบปีคนหนึ่ง

——