เล่อเทียนเหิงไม่มีเวลาคิดมากแล้ว กวัดแกว่งดาบศึกออกโจมตีเต็มกำลัง

ปังๆๆ!

ปราณกระบี่แน่นขนัดที่พร่างพราวและแหลมคมร่วงหล่น ทุกสายล้วนมีอานุภาพที่ทะลวงสังหารเทพผี ซัดจนเล่อเทียนเหิงเลือดลมตีกลับ จมูกปากหลั่งเลือด

นี่มันปราณกระบี่อะไรกัน เหตุใดจึงน่ากลัวขนาดนี้

เล่อเทียนเหิงสีหน้าตกใจ เพียงชั่วพริบตาเขาก็สกัดการสังหารนับร้อยพันสายไว้ได้ แต่ขณะเดียวกันก็บาดเจ็บสาหัสเช่นกัน

ที่น่ากลัวที่สุดคือ สี่ด้านแปดทิศยังมีปราณกระบี่แน่นขนัดตะบึงมา

“เปิด!”

ผมหนวดของเขาชี้ตั้งด้วยความโกรธ คำรามสะเทือนฟ้า ภายใต้แรงกระตุ้นแห่งความตาย เขาลงมือสู้เต็มที่แล้ว

ตูมโครม!

ม่านกระบี่ที่สลับทับซ้อนกันสุดท้ายก็ถูกแหวกออก ดาบศึกในฝ่ามือของเล่อเทียนเหิงเต็มไปด้วยรูพรุนแล้ว สุดท้ายก็ต้านการโจมตีไม่ได้ ระเบิดแหลกโดยพลัน

แต่ไม่รอให้เล่อเทียนเหิงตอบสนอง เจดีย์สมบัติที่ราวกับหลอมจากเหล็กเซียนทองเทพมีอักษรคลุมเครือไหลวนก็ทะลวงสังหารมาแล้ว

กลิ่นอายนั่น มีอานุภาพเข่นฆ่าจักรวาล ทำลายล้างภูผาธารา!

“ไม่…!”

สีหน้าของเล่อเทียนเหิงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แต่หลบหนีไม่ทันแล้ว ภายใต้เสียงร้องโหยหวนไม่จำยอม ร่างของเขาถูกระเบิดออกเป็นเสี่ยงทั้งเป็น กลายเป็นเลือดเนื้อแหลกละเอียดและถูกแสงสมบัติที่ร้อนแรงทำให้ระเหยไป

ลงมืออย่างเหี้ยมหาญตอนที่ไม่มีคนสนใจ

สังหารมกุฎอริยะในการโจมตีชั่วพริบตา!

ทันใดนั้นทั้งลานต่างเงียบสงัด

เสอปี้อวิ๋นและเฮ่อชิงเหยียนที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดกับรั่วอู่ต่างร่างชะงักค้าง สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก ตกใจจนแทบจะหลุดอุทาน

ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างมองข้ามหลินสวิน ใครจะจินตนาการได้ว่ามดปลวกตัวหนึ่งไม่เพียงกลายเป็นอริยะ พลังต่อสู้ยังน่ากลัวขนาดนี้

“นี่…”

ห่างออกไปพันลี้บนหอกำแพงเมือง พวกปี้เจี้ยนฉยงเองก็ตกใจเบิกตาโพลง

เล่อเทียนเหิง สัตว์ประหลาดเฒ่าคนหนึ่งแห่งเผ่าเหยี่ยวมารเหิน อาวุโสกว่าเล่อเซวี่ยซิวไปขั้นหนึ่ง พลังต่อสู้เรียกได้ว่าเป็นชั้นหนึ่งในบรรดามกุฎอริยะ

แต่กลับถูกสังหารด้วยวิธีที่โหดร้ายที่สุดในชั่วพริบตา!

“เหตุใดเจ้าสวะนั่นถึงเก่งกาจขนาดนี้”

มีคนตกใจ

“คงจะเป็นเล่อเทียนเหิงไม่ทันตั้งตัว ใครจะคิดว่าเจ้าสวะคนนี้จะเก็บซ่อนความสามารถไว้ล้ำขนาดนี้”

มีคนสีหน้ามืดทะมึน

……

ตูม!

ในสนามรบ ทันทีที่ฆ่าเล่อเทียนเหิงได้ หลินสวินก็หันกลับ ถือเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดโจมตีไปทางเสอปี้อวิ๋นโดยไม่หยุดเลยสักนิด

เงาร่างของเขามีแสงมรรคไหลเวียนพลุ่งพล่าน อานุภาพดุจดั่งเทพมาร กลิ่นอายที่แผ่ออกมาระหว่างเคลื่อนไหวกดข่มท้องฟ้า!

เสอปี้อวิ๋นสีหน้าเปลี่ยนไป ส่งเสียงร้องแหลม เข่นฆ่าสุดกำลัง

“ตาย!”

ตอนที่คำนี้ออกจากริมฝีปากหลินสวิน เสียงเคร้งดังลั่น กระบี่บินพร่างพรายที่เสอปี้อวิ๋นเรียกออกมาถูกกระแทกจนกระเด็นออกไปอย่างแรง

พร้อมกันนั้นมีปราณกระบี่ไท่เสวียนสามพันสายปกคลุมลงมา ท่วมร่างเสอปี้อวิ๋นไว้มิด ความเร็วของการเคลื่อนไหว ความเผด็จการของอานุภาพล้วนตะลึงโลก!

แม้เป็นรั่วอู่ที่อยู่ในสนามรบเช่นเดียวกัน ในใจก็อดสั่นสะท้านหนักหน่วงไม่ได้

นางนึกขึ้นได้ว่ายามสู้กับมกุฎอริยะทั้งเจ็ดอย่างพวกเล่อเซวี่ยซิว หลินสวินเพียงมองอีกฝ่ายเป็นหินลับมีดในการเคี่ยวกรำมรรคและวิชาของตน

นี่ก็หมายความว่า เขาในตอนนั้นไม่ได้ลงมือเต็มกำลัง

แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าแตกต่างไปแล้ว!

จะเพื่อความรวดเร็วก็ดี เพื่อสร้าง ‘ความประหลาดใจ’ ให้อีกฝ่ายก็ช่าง หลินสวินในตอนนี้เพิ่งจะเผยเขี้ยวอย่างแท้จริง!

พรวดๆๆ!

ไม่มีเรื่องไม่คาดฝันใดๆ ร่างของเสอปี้อวิ๋นถูกปราณกระบี่ไร้สิ้นสุดฟาดฟัน ฝนโลหิตทั่วฟ้าพรั่งพรูราวกับน้ำตก

จนตายนางก็ยังไม่มีโอกาสวิ่งหนีต่อต้านด้วยซ้ำ

ทั้งหมดนี้ใช้เวลาแค่ไม่นาน ก็มีมกุฎอริยะถูกฆ่าอีกคน ร่างถูกปราณกระบี่เฉือน ฝนโลหิตย้อมท้องฟ้าจนเป็นสีแดง!

“คนที่สอง”

หลินสวินหันขวับ ดวงตาดำราวกับสายฟ้าจับจ้องเฮ่อชิงเหยียน

และตอนนี้เอง เฮ่อชิงเหยียนที่เดิมทีอานุภาพเผด็จการที่สุด ไอสังหารรุนแรงที่สุด และคิดแต่จะแก้แค้นให้กับเฮ่อชิงไหวผู้เป็นน้องสาว ตอนนี้กลับหนาวเย็นไปทั้งตัว ราวกับตกอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง!

ยามถูกสายตาของหลินสวินจับจ้อง เขาในฐานะมกุฎอริยะคนหนึ่งกลับอดขนลุกซู่ไม่ได้

“ตาเจ้าแล้ว”

ตูม ครืน ในเสียงกึกก้องของห้วงอากาศ เงาร่างของหลินสวินหายไป

ความคิดเดียวของเฮ่อชิงเหยียนคือ หนี!

ศัตรูยิ่งใหญ่ระดับนี้ ไม่สามารถต้านทานได้เลยจริงๆ หากจะรักษาชีวิตไว้ก็ทำได้เพียงหนี

ที่น่าเสียดายคือรั่วอู่จู่โจมอยู่ตลอดเวลา กลายเป็นการสกัดกั้นอย่างไร้รูป ทำให้เฮ่อชิงเหยียนไร้แรงหลบหนี

และภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลินสวินก็ปรากฏตัวตรงหน้า เปิดฉากสังหาร!

“เป็นไปได้อย่างไร…”

บนกำแพงเมืองที่ห่างไปพันลี้ มกุฎอริยะทั้งกลุ่มตกใจ

ทั้งหมดนี้แค่เจ็ดลมหายใจเท่านั้น เล่อเทียนเหิงและเสอปี้อวิ๋นถูกฆ่าทีละคน ตายภายใต้การเข่นฆ่าอย่างง่ายดายของอีกฝ่าย!

นี่เป็นถึงมกุฎอริยะสองคน เป็นเมธีแห่งเผ่าหนึ่ง ในสมรภูมิเก้าดินแดนแห่งนี้ เป็นบุคคลเทียมฟ้าปานนายเหนือหัวแล้ว

แต่ตอนนี้กลับเหมือนมดที่ไม่อาจต้านแม้แต่การโจมตีเดียว ถูกสังหารแล้ว!

ใครจะกล้าเชื่อ

“พวกเจ้าว่า พวกเล่อเซวี่ยซิวทั้งเจ็ดคนก็ตายในมือเด็กคนนี้หรือไม่”

จู่ๆ ก็มีคนถาม

คำถามเดียวเท่านั้น ทำเอาสีหน้าของพวกปี้เจี้ยนฉยงเปลี่ยนไปอีกครั้ง ในใจสั่นไหว

ก่อนหน้านี้ในจิตใต้สำนึกของพวกเขาต่างคิดว่า การประสบเคราะห์ของพวกเล่อเซวี่ยซิวเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมที่แปลกประหลาดและอันตรายของส่วนลึกในป่าหลอมจิต

ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นถึงมกุฎอริยะเจ็ดคน เคยตามฆ่าจนรั่วอู่ยังเกือบสิ้นชีพ!

แต่ตอนที่เห็นพลังต่อสู้ที่หลินสวินเผยออกมา พวกเขาต่างตระหนักได้ว่า การตายของพวกเล่อเซวี่ยซิว หากเกี่ยวข้องกับหลินสวินจริง…

นี่ก็น่ากลัวเกินไปแล้ว!

“แย่แล้ว เฮ่อชิงเหยียนกำลังจะหมดหนทางแล้ว พวกเจ้ายังไม่รีบไปช่วยอีกหรือ”

สีหน้าของปี้เจี้ยนฉยงเปลี่ยนไปโดยพลัน

ทันใดนั้นมกุฎอริยะหลายคนออกโจมตีอย่างไม่ลังเล เคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศออกไป

ในระยะพันลี้ สำหรับพวกเขาย่อมสามารถไปถึงได้ในชั่วพริบตา

แต่ในชั่วพริบตานี้ หลินสวินถือเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุด ราวกับยกภูเขาเทพลูกหนึ่งขึ้นแล้วทุ่มลงมาอย่างไรอย่างนั้น

ตูมโครม!

ร่างที่สูงหลายจั้งของเฮ่อชิงเหยียนถูกกระแทกระเบิด แม้แต่เลือดที่สาดกระเซ็นยังระเหยไปในอากาศ

และตอนนี้ มกุฎอริยะห้าคนอย่างพวกเลี่ยอวี้เพิ่งจะมาถึงสนามรบ หากไม่ตาไวมือไว ก็เกือบจะถูกเลือดกระเด็นใส่เต็มตัวแล้ว

“คนที่สาม”

หลินสวินพูด สีหน้าเย็นเยียบ ร่างของเขามีแสงมรรคไหลเวียน สว่างไสวเจิดจ้า เจดีย์สมบัติองค์หนึ่งปรากฏเหนือศีรษะ ส่องแสงสว่างไร้จำกัด

เขายังคงยืนอยู่ลำพัง ราวกับเทพสงครามพลิกฟ้า มีกลิ่นอายหลุดพ้นเหนือโลกีย์ และมีอานุภาพผงาดกร้าวกดทับท้องฟ้า

พวกเลี่ยอวี้สีหน้าแปรเปลี่ยนไม่สงบ

จนตอนนี้พวกเขายังคงรู้สึกยากจะยอมรับ

ชั่วสิบลมหายใจก็ฆ่ามกุฎอริยะไปสามคน หากแพร่ออกไปใครจะเชื่อ

และใครจะกล้าเชื่อว่า ผลงานการต่อสู้เช่นนี้มาจากเจ้าหนุ่มที่เพิ่งบรรลุมกุฎอริยะได้ไม่นาน

เหลือเชื่อเกินไป!

“พวกเล่อเซวี่ยซิว… ก็ถูกเจ้าฆ่าหรือ”

ชายชราผมเหลืองที่สวมชุดคลุมสีทองคนหนึ่งส่งเสียงด้วยใบหน้าอึมครึม

“ไม่ผิด”

หลินสวินพยักหน้าตามตรง ด้วยพลังในตอนนี้ของข้า ไม่จำเป็นต้องปิดบังแล้ว

แต่พวกเลี่ยอวี้ล้วนไม่อาจสงบได้

ถึงกับเป็นเรื่องจริง!

นี่ก็หมายความว่า เมื่อรวมกับพวกเล่อเทียนเหิงสามคน มีมกุฎอริยะถึงสิบคนถูกชายหนุ่มคนนี้ฆ่าหรือ

มกุฎอริยะไม่ใช่ผักปลา ต่อให้เป็นคนในแปดดินแดนอื่นๆ ในบรรดาอริยะแท้นับพันคน อย่างมากก็มีมกุฎอริยะเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

ทว่าวันเดียวกลับมีมกุฎอริยะถึงสิบคนถูกกำจัด ความเสียหายนี้มากเกินไปแล้ว!

พวกเขาสามารถไม่สนใจเหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าต่างๆ ที่ถูกพวกหลินสวินฆ่าระหว่างทางได้ สามารถมองข้ามบุคคลระดับอริยะแท้ที่ตายในมือพวกหลินสวินได้

แต่กลับไม่อาจไม่สนใจการตายของมกุฎอริยะเหล่านั้นได้!

เพราะการต่อสู้ที่แท้จริงของสมรภูมิเก้าดินแดน มีมกุฎอริยะเป็นผู้คุมอำนาจ!

ความจริงพวกเลี่ยอวี้ต่างคิดผิดแล้ว ที่ตายในมือหลินสวินมีเพียงเก้าคน ชางสิงคุนนั่นถูกรั่วอู่ฆ่า

แต่เรื่องนี้ล้วนไม่สำคัญแล้ว

สิ่งสำคัญคือ ในที่สุดพวกเลี่ยอวี้ก็ตระหนักได้ว่าเหตุใดหลินสวินและรั่วอู่จึงกล้ากำเริบเสิบสาน เปิดฉากพายุนองเลือดตลอดทางและพุ่งเป้ามาที่รังของพวกเขา

เหตุผลก็อยู่ที่หลินสวิน!

“คาดไม่ถึงและประหลาดใจมากใช่ไหม”

ดวงตาดำของหลินสวินกวาดมองมกุฎอริยะทั้งกลุ่ม เอ่ยปากหัวเราะเบาๆ

แต่เมื่อเข้าหูพวกเลี่ยอวี้ กลับทำให้พวกเขาล้วนสีหน้าอึมครึม เบ้าตาแทบถลน แต่ละคนไอสังหารพลุ่งพล่าน

ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ดินแดนโบราณมารโลหิตของพวกเขาถูกมองข้ามขนาดนี้

ไม่เคยมี!

“เจ้าสวะตัวจ้อย ที่นี่คือโลกมารโลหิต คิดจริงๆ หรือว่าด้วยพลังคนคนเดียวก็จะสามารถมองข้ามทุกสิ่งได้ กระทำการทุกอย่างได้ตามใจ”

สัตว์ประหลาดเฒ่าคนหนึ่งสีหน้ามืดทะมึน

“เจ้าหมอนี่ต้องฆ่า!”

อีกคนพูดอย่างเด็ดขาด

“ไม่ ข้าจะให้เขาอยู่ไม่สู้ตาย!”

บุคคลขอบเขตมกุฎคนแล้วคนเล่าต่างพูดขึ้น น้ำเสียงแฝงเพลิงโทสะและความชิงชังที่เต็มทรวงอก กลิ่นอายรอบตัวพวยพุ่ง ทำเอาฟ้าดินแถบนี้คร่ำครวญ ห้วงอากาศปั่นป่วน

เพียงแต่หลินสวินกลับเหมือนไม่รู้สึกรู้สา พูดเรียบๆ “เจ็ดคนก็ตาย สามคนก็ยังตาย พวกเจ้าห้าคนคิดว่าล้อมอยู่ข้างหน้าก็จะไม่ตายหรือ”

ประโยคเดียวผงาดกร้าวเผด็จการ!

บนหอกำแพงเมืองที่ห่างไปพันลี้ สีหน้าของปี้เจี้ยนฉยงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตะเบ็งเสียงสื่อจิตทันใด “กลับมา!”

แต่ช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว

——