‘แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดา…’
‘ที่นี่จะอย่างไรก็เป็นที่ราบไร้จุดอับ พอมาถึงที่นี่ก็ไม่มีที่ให้หลบอะไร เกิดเจอคนต่างคฤหาสน์ขึ้นมาก็ต้องปะทะกันเป็นธรรมดา…’
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้แปลกใจอะไรที่เห็นคราบเลือดแห้งกรังมากมายแถวนี้
เพราะลักษณะภูมิประเทศที่ราบแบบนี้ ก็เสมือนถูกกำหนดให้เป็นทุ่งสังหาร
ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง มีเพียงช่วงชิงคะแนนสะสมของผู้อื่นเท่านั้นถึงจะเพิ่มคะแนนสะสมของตัวเองได้ และคนในคฤหาสน์อมตะเดียวกันก็ไม่อาจแบ่งปันคะแนนให้กันได้
เช่นเดียวกับต้วนหลิงเทียนในปัจจุบัน
ต่อให้จะมีศิษย์ของคฤหาสน์เฉวียนโยวมาทำลายป้ายหยกสะสมคะแนนใกล้ๆหมายส่งคะแนนให้เขา คะแนนในป้ายหยกของเขาก็จะไม่เพิ่มขึ้นแต่อย่างไร
ไฉนจึงมีกฏแบบนี้…ก็เพื่อป้องกันให้ไม่เกิดการส่งคะแนนให้กันจนติด 20 อันดับแรก!
แน่นอนว่าหากเป็นคนต่างคฤหาสน์อมตะ ก็สามารถถ่ายโอนคะแนนให้กันได้ แต่ก็มีไม่กี่คนที่คิดจะทำอะไรแบบนั้น
หนึ่งเลยก็คือ การทำแบบนั้นมันเสี่ยงมาก หากถูกพบเจอก็มีโทษถึงประหาร!
เหตุผลที่ 2 ก็คือ ต่อให้เสี่ยงทำอะไรแบบนั้น ก็ไม่แน่ว่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ ไม่วายเอาชีวิตไปเสี่ยงอย่างเสียเปล่า
อย่างไรก็ตามมีคำกล่าวที่ว่า ความมั่งคั่งมาพร้อมความเสี่ยง อยู่…
แม้จะมีไม่กี่คนที่เลือกจะทำอะไรแบบนั้น แต่ก็มีคนที่ลอบกระทำการดังกล่าวอยู่ไม่ขาด
แน่นอนว่าคนที่คิดจะทำอะไรแบบนั้น อย่างดีก็ทำแค่ครั้งสองครั้ง ไม่มีใครคิดจะขายคะแนนทุกรอบโดยไม่จำเป็น เพราะหากพลาดชึ้นมาราคาที่ต้องจ่ายก็คือชีวิต
‘ข้างหน้าเป็นพื้นที่ป่าเขางั้นรึ…’
หลังจากเดินทางต่อมาสักพัก ต้วนหลิงเทียนก็มาปรากฏตัวเบื้องหน้าเขาสูงใหญ่ลูกหนึ่ง สภาพแวดล้อมในเขาแลดูสลับซับซ้อนไม่เบา เหมาะแก่การซุ่มโจมตีเป็นที่สุด
แต่อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วผู้ที่เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางก็ล้วนเป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศเหมือนกันทั้งสิ้น จึงยากที่จะปิดกั้นอำพรางจากสำนึกเทวะผู้อื่นได้
‘เมื่อครู่ข้าผ่านป่าหินมา จากนั้นก็เป็นที่ราบ มาตอนนี้ก็เจอพื้นที่ภูเขา…ดูเหมือนสภาพภูมิประเทศของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางจะมีหลากหลาย สร้างมาเอื้อให้ผู้คนต่อยตีเข่นฆ่ากันโดยแท้…’
ภูมิประเทศนั้น ตราบใดที่สอดคล้องกับกฏที่ใช้ มันก็มีส่วนช่วยได้
‘หืม?’
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนคิดจะลองเข้าไปสำรวจภายในภูเขาดู ร่างก็ชะงักไปเล็กน้อยคล้ายพบเจออะไรบางอย่างด้านหลังภูเขาเบื้องหน้า จึงหยุดร่างลงและรอดูทันที
ครู่ต่อมา
ฟุ่บ!
จากด้านหลังภูเขาเบื้องหน้า ปรากฏร่างหนึ่งเหาะเข้ามาหาเขาด้วยความเร็วสูง พริบตาก็มาพุ่งมาดักด้านหลังของเขา ยังมองจ้องเขาตาเขม็งอีกด้วย
‘ป้ายนั่น…’
ร่างที่เหาะมาดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนไม่เพียงจะมองออกว่ามีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่ม แต่ยังเห็นป้ายที่ห้อยแขวนที่เอวของอีกฝ่ายชัดเจน ‘มันเป็นคนของคฤหาสน์หลิ่วสือ’
นอกจากนั้นต้วนหลิงเทียนยังเห็นอักษร 2 ตัวที่สลักไว้ใต้ คำคฤหาสน์หลิ่วสืออีกด้วย
หงจี!
เห็นได้ชัดว่าคนที่เหินร่างมาดักหลังเขา ก็คือศิษย์ของคฤหาสน์หลิ่วสือนามว่า หงจี
“เจ้า…”
หงจีที่เหินร่างมาหยุดอยู่ด้านหลังต้วนหลิงเทียน เมื่อครู่สายตามันก็เหลือบไปเห็นป้ายที่ห้อยแขวนบริเวณเอวของต้วนหลิงเทียนขณะที่อ้อมมาดักด้านหลัง…
ต่อมาสีหน้าท่าทีเคร่งขรึมของมันก็เริ่มผ่อนคลายลง “เจ้าเป็นศิษย์ฝ่ายนนอกของคฤหาสน์เฉวียนโยวงั้นเหรอ?”
จากนั้นหงจีก็หันไปมองภูเขาด้านหลัง จากนั้นก็เอ่ยออกเสียงดังว่า “ออกมาเถอะ…เจ้านี่เป็นแค่ศิษย์ฝ่ายนอกของคฤหาสน์เฉวียนโยว”
ฟุ่บ!
แทบจะทันทีที่เสียงหงจีดังจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็พบว่ามีคนเหินร่างออกมาจากทิศทางที่หงจีพุ่งเหาะออกมา
เหมือนกับหงจี อีกฝ่ายมีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่ม
และเมื่อดูจากป้ายที่ห้อยแขวนไว้ที่เอว ก็รู้ว่าเป็นศิษย์ของคฤหาสน์หลิ่วสือนามว่า ถงฉี่ซาน
“ศิษย์ฝ่ายนอกคฤหาสน์เฉวียนโยว?”
หลังถงฉี่ซานปรากฏตัวขึ้น มันก็มาหยุดลงเบื้องหน้าเขา เรียกว่ามันกับหงจีเสมือนกำลังกระหนาบหน้าหลังเขาไม่ให้คิดหนี ถงฉี่ซานที่ว่ายังมองจ้องเขาไม่ว่างตา คิ้วขดย่นเป็นปมหลวมๆ
“เจ้าหนู ศิษย์ฝ่ายนอกคฤหาสน์เฉวียนโยวเช่นเจ้าเข้ามาทำอะไรที่นี่?”
หงจีเอ่ยถามเสียงเข้ม
“ในเมื่อข้าเข้ามาที่นี่แบบนี้ เป็นธรรมดาว่าต้องคิดแข่งขันแย่งชิงคะแนน”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบเสียงเรียบ
“เจ้า…ศิษย์ฝ่ายนอกคฤหาสน์เฉวียนโยว คิดมาแข่งขันชิงคะแนน?”
ถงฉี่ซานที่มองต้วนหลิงเทียนอยู่สองตาถึงกับเบิกโพลง ใบหน้าฉายชัดถึงความตกตะลึง “เช่นนั้นเจ้าบอกข้าได้หรือไม่…ว่าตอนนี้เจ้ามีกี่คะแนนแล้ว?”
ปกติแล้ว มันกับหงจีคงลงมือทันที ไม่คิดสนทนาอะไรกับคู่ต่อสู้แบบนี้ ด้วยกลัวอีกฝ่ายจะเร่งรุดหลบหนีไป
แต่ทว่าวันนี้เหยื่อที่มันกับหงจีพบเจอ กลับเป็นแค่ศิษย์ฝ่ายนอกของคฤหาสน์เฉวียนโยว มันจึงไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะมีปัญญารอดพ้นเงื้อมมือพวกมันไปได้
สำหรับเรื่องที่อีกฝ่ายจะทำลายป้ายหยกสะสมคะแนนเพื่อหลบหนี มันกับหงจีก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะมันกับหงจีไม่ใช่ฆาตกรฆ่าคนไม่เลือกหน้า
อีกฝ่ายไม่ได้มีความแค้นความเกลียดชังอะไรกับมัน หากอีกฝ่ายไม่คิดฆ่ามันและยินดีที่จะทำลายป้ายหยกส่งมอบคะแนนให้ พวกมันก็ไม่คิดเข่นฆ่าอีกฝ่าย
“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเข้ามาในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง…และพวกเจ้าก็คือคนแรกกับคนที่ 2 ที่ข้าพบเจอนอกเหนือจากคนของคฤหาสน์เฉวียนโยว”
ต้วนหลิงเทียนตอบเสียงเบา
“ค่ายคฤหาสน์เฉวียนโยวสมควรอยู่ใกล้ๆสินะ…นี่เจ้าคงพึ่งออกมาเลยกระมัง?”
ถงฉี่ซานรู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง เมื่อเจอชายหนุ่มที่แลดูไม่ต่างอะไรจากตัวโง่งมไม่กลัวตายแบบนี้
“ใช่แล้ว”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“เหอะๆ ข้าไม่คิดเลยว่าจะเจอหน้าใหม่แบบนี้…เจ้าหนู เจ้าทำลายป้ายหยกสะสมคะแนนของเจ้าแล้วออกไปเถอะ…โชคดีนักที่เจ้ามาเจอพวกเรา หากเป็นคนอื่นไม่แน่ว่าพวกมันจะปล่อยให้เจ้าจากไปทั้งยังมีชีวิต”
หงจีมองต้วนหลิงเทียนพลางกล่าว วาจาของมันบ่งบอกชัดเจนว่าให้ต้วนหลิงเทียนทำลายป้ายหยกเพื่อมอบคะแนนให้พวกมัน แล้วจากไปเพราะอาคมส่งตัวออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง…
“ให้ตายเถอะข้าพึ่งเห็น…เจ้าหนู นี่เจ้าไม่ใช่แค่ศิษย์ฝ่ายนอกคฤหาสน์เฉวียนโยวเท่านั้น แต่เจ้ายังอายุไม่ถึง 100 ปีด้วยเรอะ!?”
ถงฉี่ซานที่พึ่งแผ่สำนึกเทวะออกมาตรวจสอบต้วนหลิงเทียน ก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงอีกรอบเมื่อพบอายุของต้วนหลิงเทียน
“อายุไม่ถึงร้อยปี!?”
หงจีถึงกับอึ้งไปไร้คำจะกล่าวอยู่พักหนึ่ง “เจ้าหนูเอย…นี่เจ้าว่างไม่มีอะไรทำเลยเข้ามาเสี่ยงตายเล่นรึไงหา? อายุไม่ถึงร้อยปียังกล้ามาแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง…ต่อให้คนในนี้จะไม่ใช่ฆาตกรรักการฆ่าทุกคน แต่หากเจ้าเจอคนของคฤหาสน์อมตะระดับ 6 ที่บาดหมางกับคฤหาสน์เฉวียนโยวเจ้า ขอเพียงมันร้ายกาจหน่อย มันไหนเลยจะปล่อยเจ้าไปเป็นๆ!”
“รีบทุบป้ายหยกของเจ้าแล้วไปซะเถอะ…หรือจะให้พวกเราช่วยทุบ?”
ถงฉี่ซานโบกมือให้ต้วนหลิงเทียนส่งๆพลางส่ายหัว เห็นต้วนหลิงเทียนยังนิ่งไม่พูดจา มันก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เสียงยังเข้มขึ้น
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มคลี่ยิ้มออกมา
เห็นรอยยิ้มที่คลี่กางขึ้นมาบนใบหน้าต้วนหลิงเทียน ถงฉี่ซานกับหงจีก็ผงะ ก่อนหงจีจะเอ่ยถามออกมาตาปริบๆ “เจ้า…ยังมีหน้ามายิ้มได้อีก!”
ต้วนหลิงเทียนที่คลี่ยิ้มอยู่ก็หันไปมองหงจี พลางกล่าว “พวกเจ้านับว่าใจดีกันจริงๆ…เอาล่ะ ข้าจะไม่ลงมือทำร้ายพวกเจ้าแล้วกัน พวกเจ้ารีบทำลายป้ายหยกแล้วออกไปเองเถอะ”
ก่อนหน้าที่จะเข้ามาในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง ต้วนหลิงเทียนก็เห็นม่านแสงที่ลานด้านนอกตำหนักเคลื่อนย้ายเช่นกัน และยังกวาดตาชมมองไปเรียบร้อย
ม่านแสงดังกล่าวก็คือตารางจัดอันดับของคนที่เข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง
แน่นอนว่าตารางจัดอันดับดังกล่าว แสดงแค่ 100 อันดับแรกเท่านั้น
กระนั้นต้วนหลิงเทียนก็จดจำชื่อของทุกคน รวมถึงต้นสังกัดด้านหลังชื่อได้ชัดเจนว่าใครมาจากคฤหาสน์อมตะใดบ้าง
หงจี ถงฉี่ซาน…
เขาไม่เห็นชื่อทั้งคู่อยู่บนตารางจัดอันดับ
กล่าวได้ว่าทั้งคู่ไม่ได้ติดอยู่ใน 100 อันดับแรกของขุนนางอมตะที่เข้ามาแข่งขันช่วงชิงคะแนนในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง
ตัวตนเช่นนี้ต่อให้ร่วมมือกัน ก็ไม่ได้เป็นภัยคุกคามเขาแม้แต่นิดเดียว
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ตัดความเป็นนไปได้เรื่องที่ทั้งคู่พึ่งจะเข้ามายังแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางไม่นาน จึงยังไม่ทันเก็บคะแนน ก็เลยไม่ติด 100 อันดับแรกออกไป
แต่ถึงกระนั้น ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดว่าทั้งคู่จะร้ายกาจอะไรมากมาย
เพราะในสายตาของเขา
ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางที่เต็มไปด้วยภาวะแข่งขันแบบนี้ หากเป็นยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศที่มั่นใจในตัวเอง หากไม่มีเหตุจำเป็นย่อมไม่คิดจะร่วมมือกับใคร เพราะเอาไปพูดให้ใครฟังก็คงไม่มีใครยกย่อง
“มัน…มันจะไม่ลงมือทำร้ายเรา?”
“ให้พวกเราบดขยี้ป้ายหยกกันเอง”
พอเสียงกล่าวต้วนหลิงเทียนดังออกมาจบคำ ไม่ว่าจะหงจีหรือถงฉี่ซานก็ชักสีหน้าเลื่อนลอย จากนั้นพอรู้สึกตัวก็หันมามองหน้ากันเอง สีหน้ายังทำราวกับพึ่งเห็นผีมาหยกๆ
“เจ้าหนูนี่…มันเสียสติไปแล้วหรืออย่างไรกัน?”
“เหอๆศิษย์ฝ่ายนอกคฤหาสน์เฉวียนโยวอายุไม่ถึงร้อยปี แต่ดันเข้ามาที่นี่ กล่าวไปเรื่องนี้ยังต่างอะไรจากคนเสียสติ…หรือมันจะเสียสติไปแล้วจริงๆ?”
“ดูมันทำหน้าเข้า ท่าทางมันไม่คิดจะทำลายป้ายหยกให้พวกเราแต่โดยดี…ท่าทางพวกเราคงต้องทุบป้ายหยกให้มันแล้วล่ะ…”
“เอาล่ะ นานๆทีจะเจอคนดื้อรั้นแบบนี้สักครั้ง แต่อย่างไรเสียมันก็ยังเยาว์นัก เพียงทุบตีสั่งสอนเบาะๆแล้วส่งมันออกไปเถอะ เผื่อมันจะได้สติสตังกลับมาบ้าง วันหลังจะได้ไม่ห้าวเข้ามาหาเรื่องตายแบบนี้อีก…”
…
หลังหงจีกับถงฉี่ซานส่งเสียงผ่านพลังคุยกันสักพัก ถงฉี่ซานก็พยักหน้า ให้หงจีลงมือจัดการ
ในสายตาของพวกมัน กับอีแค่ศิษย์ฝ่ายนอกคฤหาสน์เฉวียนโยวอายุไม่ถึงร้อย คงไม่ต้องให้พวกมันถึงขั้นกลุ้มรุม อาศัยแค่คนใดคนหนึ่งก็ควรจัดการได้ง่ายๆ
วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม!
…
กฏที่หงจีเชี่ยวชาญก็คือกฏแห่งทอง พอลงมือมันก็ใช้ออกด้วยความลึกซึ้งของกฏแห่งทอง 3 ประการทันที ดาบสีทองเล่มหนึ่งควบแน่นกระชับในมือ ตวัดฟันสร้างข่ายพลังดาบจู่โจมเข้าใส่ต้วนหลิงเทียน!
อย่างไรก็ตามเผชิญหน้ากับข่ายพลังดาบของหงจี ต้วนหลิงเทียนยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง
พริบตากระบวนท่าของหงจีก็เจียนบรรลุถึงตัวต้วนหลิงเทียนแล้ว
“เฮ่ย เจ้ายั้งมือเร็ว!”
เห็นฉากดังกล่าว ถงฉี่ซานก็เร่งตะโกนออกมาปรามสหายทันที ด้วยกลัวว่าหงจีจะพลั้งมือฆ่าเด็กน้อยของคฤหาสน์เฉวียนโยวที่อายุไม่ทันถึง 100 ปีคนนี้ไปอย่างไม่ตั้งใจ
ถึงแม้ว่าการเข่นฆ่าศัตรูที่นี่จะไม่ถือว่ามีความผิด และคฤหาสน์เฉวียนโยวก็ไม่อาจมาเอาเรื่องอะไรพวกมันได้
แต่เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มอายุไม่ถึงร้อยเบื้องหน้านั้น อ่อนแอเสียจนไม่อาจตอบสนองการโจมตีส่งๆของหงจีได้ด้วยซ้ำ เช่นนั้นมันรู้สึกกระดากใจที่จะเข่นฆ่ารังแกคนอ่อนแอเช่นนี้อยู่บ้าง
“งามไส้แล้วไง! ไอหนูนี่มันอ่อนด้อยขนาดนี้เชียว!?”
พอถงฉี่ซานโพล่งเตือนออกมา หงจีก็หน้าเสียไปทันทีด้วยไม่คิดว่าแค่การลงมือเบาะๆแบบนี้อีกฝ่ายจะถึงกับตอบสนองอะไรไม่ทัน มันก็ได้แต่คลี่ยิ้มขื่นขม ทั้งรีบถอนรั้งพลังคืนกลับทันที
อย่างไรก็ตามในขณะที่ข่ายดาบสีทองของมันเริ่มอ่อนจางลง ลูกตามันก็หดเล็กลงโดยพลันด้วยความตกใจ!
และเพราะความตกใจดังกล่าว ทำให้มันลืมเรื่องถอนรั้งพลังไปหมดสิ้น
ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!
…
ข่ายพลังดาบพุ่งแหวกอากาศไปเสียงดัง!