ตอนที่ 1539 มหาจักรพรรดิแยกฟ้า

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ในเมืองอารักษ์มรรค ผู้คนมากมายสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ในใจถูกความหวาดกลัวท่วมท้น นี่ยังใช่คนอยู่หรือไม่ เหตุใดบนโลกนี้จึงมีมกุฎอริยะที่น่ากลัวขนาดนี้

ปี้เจี้ยนฉยงและมกุฎอริยะที่เหลือต่างก็สั่นไปทั้งตัวเช่นกัน ยากจะสงบได้

ที่นี่เป็นถึงโลกมารโลหิต เป็นอาณาเขตของพวกเขา กลับถูกหลินสวินสังหารเหล่ามกุฎอริยะที่นี่ เกิดการนองเลือดท่วมฟ้า นี่ไม่ใช่แค่การตบหน้าและเย้ยหยันต่อหน้าแล้ว

เพียงแค่ความสูญเสียนี้ ก็เพียงพอจะสั่นคลอนรากฐานของดินแดนโบราณมารโลหิตในสมรภูมิเก้าดินแดนแล้ว!

“เขา… เขามาแล้ว…”

บนกำแพงเมืองมีเสียงร้องด้วยความตกใจดังขึ้น

ปี้เจี้ยนฉยงเงยหน้าขึ้นโดยพลัน ก็เห็นว่าไกลออกไปมีเงาร่างหนึ่งก้าวเข้ามา บนร่างมีแสงมรรครุนแรงไหลเวียนกึกก้องไม่หยุด ราวกับเทพสัญจรกลางโลก

หลินสวิน!

หรือเขาคิดจะ…

ปี้เจี้ยนฉยงพลันตัวแข็งค้าง เบิกตาโพลง “นี่เขาจะบุกเข้าเมืองอารักษ์มรรคของเราหรือ”

บ้าระห่ำเกินไปแล้ว!

หากปล่อยให้หลินสวินบุกเข้ามาในเมืองอารักษ์มรรคจริง เช่นนั้นหน้าของดินแดนโบราณมารโลหิตก็จะถูกเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้าอย่างสิ้นเชิง ไม่อาจเงยหน้าขึ้นได้อีก

แม้ในอนาคตไปต่อสู้กับดินแดนอื่น ก็จะกลายเป็นตัวตลก!

“เร็ว! เตรียมเรียกกระบวนค่ายกลอริยะอารักษ์มรรค!”

ปี้เจี้ยนฉยงตะเบ็งเสียง

เหล่ามกุฎอริยะที่อยู่ข้างๆ เริ่มเคลื่อนไหวอย่างไม่ลังเล พุ่งไปยังพื้นที่ที่แตกต่างกันในเมือง

ในสมรภูมิเก้าดินแดน เมืองอารักษ์มรรคทุกแห่งก็คือตัวแทนของสถานที่แห่งรากฐานของดินแดนหนึ่ง เกี่ยวข้องกับเกียรติยศและความเป็นความตาย!

ห่างออกไปหลินสวินก้าวเข้ามา ไม่นานก็มาอยู่ในระยะที่ห่างจากประตูเมืองร้อยจั้ง

เขาเอามือไพล่หลัง เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย จิตรับรู้ยิ่งใหญ่ม้วนแผ่ออกมา ชั่วพริบตาก็ปกคลุมเมืองอันกว้างใหญ่ไพศาล

กำแพงเมืองสี่ทิศล้วนสูงตระหง่านทอดยาวพันลี้ เกรียงไกรอย่างที่สุด

แต่ในสายตาหลินสวิน สิ่งที่เห็นกลับเต็มไปด้วยคาวเลือดและความโหดร้าย!

บนกำแพงเมืองเป็นสีเลือดที่หนาแน่นไม่อาจลบล้างได้ สามารถมองเห็นโครงกระดูกมากมายที่อยู่ในกำแพงเมือง แน่นขนัดนับไม่ถ้วน

หลินสวินนึกถึงเรื่องที่ได้รู้อนมายังสมรภูมิเก้าดินแดน

ในสมรภูมิเก้าดินแดน เมืองอารักษ์มรรคของแปดดินแดนอื่น แต่ละแห่งล้วนสร้างจากเลือดและกระดูกของคนในดินแดนรกร้างโบราณเมื่อครั้งอดีต!

แม้ตายก็ไม่สามารถสู่สุขคติ ถูกใช้เป็นวัสดุก่อสร้างเป็นเมือง ถูกศัตรูมองเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศและชัยชนะ

เดิมทีหลินสวินยังไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ เขาถึงขั้นอยากให้เรื่องทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องจริง!

กระดูกขาวมากมาย สีเลือดด่างพร้อย สร้างเป็นกำแพงเมืองของศัตรู วิธีเช่นนี้เพียงแค่โหดร้ายเสียที่ไหน แต่ชั่วร้ายจนถึงที่สุด!

หลินสวินก็นับว่าเป็นคนที่เดินผ่านภูเขาศพทะเลเลือด ผ่านประสบการณ์เข่นฆ่ามานับไม่ถ้วน แต่ตอนที่เห็นภาพนี้ ในใจพลันเกิดความเดือดดาลที่ไม่สามารถควบคุมได้

วู้ม…

ทันใดนั้นคลื่นที่แปลกประหลาดและยิ่งใหญ่แผ่ออกจากเมืองอันกว้างใหญ่ พุ่งขึ้นฟ้าโดยตรง

ก็เห็นลายมรรคหนาแน่นราวกับกระแสน้ำไหลเวียนขึ้นบนลงล่างทั่วทั้งเมือง ปรากฏพลังต้องห้ามน่ากลัวชวนกดดัน

กระบวนค่ายกลอริยะอารักษ์มรรค!

ดวงตาดำของหลินสวินหรี่ลงเล็กน้อย พินิจอย่างละเอียด

จากนั้นเขาพลันขมวดคิ้ว กระบวนผนึกที่ปกคลุมอยู่ในเมืองแห่งนี้ซับซ้อนมาก มีผนึกนับพันประกอบรวมกัน กลายเป็นกระบวนผนึกขนาดใหญ่ที่ราวกับเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

หากต้องการสลาย สำหรับหลินสวินก็ใช่ว่าไม่มีวิธี แต่กลับต้องเสียเวลา อย่างน้อยต้องประมาณครึ่งเดือนจึงจะสามารถกำจัดผนึกนี้ได้อย่างสิ้นเชิง

เห็นได้ชัดว่าเมืองอารักษ์มรรคเป็นสถานที่สำคัญของดินแดนโบราณมารโลหิต ได้วางพลังกระบวนผนึกที่รัดกุมที่สุดเอาไว้นานแล้ว

“เจ้าสวะ เหตุใดเจ้าจึงไม่กล้าเข้ามาแล้วล่ะ”

ทันใดนั้นบนกำแพงเมือง ปี้เจี้ยนฉยงตะโกนด้วยสีหน้าดุร้าย

ตอนนี้เขากลับมานิ่งสงบเหมือนเดิมแล้ว เพราะกระบวนค่ายกลอริยะอารักษ์มรรคโคจรแล้ว แม้เป็นมกุฎอริยะบุกรุกก็จะถูกสังหาร!

“น่าขัน พวกเราสังหารตลอดทางมาสามหมื่นลี้ ก็ไม่เห็นว่าจะมีคนขวางได้ เจ้าเฒ่าอย่างเจ้ายังจะกล้าคุยโว ไม่อายหรือ”

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่รั่วอู่เองก็เข้ามใกล้แล้ว ไม่ปกปิดความดูถูกของตนสักนิด

ปี้เจี้ยนฉยงชะงัก พูดด้วยสีหน้ามืดทะมึน “อย่ามาปากกล้า ถามตัวพวกเจ้าเองเถอะว่ากล้าก้าวเข้ามาในเมืองหรือไม่”

“ข้าก็ถามพวกเจ้าประโยคหนึ่ง โลกมารโลหิตอันกว้างใหญ่ ถึงกับไม่มีคนกล้าออกมาสู้สักรอบหรือ”

รั่วอู่เอ่ยเสียงเย็น

ปี้เจี้ยนฉยงโกรธจัดจนหัวเราะออกมา เอ่ยว่า “พวกเจ้าคุยโวไปเถอะ รอพวกเซวี่ยชิงอีมาก็ถึงเวลาตายของพวกเจ้าแล้ว!”

รั่วอู่พูดเสียงเรียบ “ข้าถามอีกประโยค มีใครกล้าออกมาสู้ไหม!”

เสียงดังสะเทือนฟ้าปกคลุมทั้งเมืองอารักษ์มรรค ผู้แข็งแกร่งดินแดนโบราณมารโลหิตมากมายที่หลบอยู่ในเมืองล้วนได้ยิน

ทันใดนั้นในใจทุกคนต่างเกิดความอับอายยิ่งใหญ่ อัดอั้นอย่างที่สุด

ถูกคนมาโวยวายเหิมเกริมถึงหน้าบ้านตน ความรู้สึกเช่นนี้ทรมานเกินไปแล้ว

แต่ไม่ว่าเป็นใครก็ไม่กล้าออกจากเมืองโดยพลการ

แม้แต่ปี้เจี้ยนฉยง ตอนนี้ก็ยังจนคำตอบ อัดอั้นจนใบหน้าคล้ำเขียวด้วยความโกรธ กัดฟันจนแทบจะแหลกแล้ว

น่าขายหน้าหรือไม่

น่าขายหน้ามากจริงๆ

ถูกบุกมาถึงหน้ารัง กลับทำได้เพียงหดหัวไว้ ช่างทำให้ดินแดนโบราณมารโลหิตขายหน้าจนสิ้นแล้ว

แต่ปี้เจี้ยนฉยงไม่กล้าผลุนผลันลงมืออีก

ถูกการเข่นฆ่าของหลินสวินทำเอาหวาดผวาและหวาดกลัวแล้ว

ตอนนี้เขาเองก็ทำได้เพียงหวังให้พวกเซวี่ยชิงอีรีบหวนกลับมาโดยเร็วที่สุด สามารถสังหารหลินสวินได้อย่างรวดเร็วที่สุด ล้างความอับอายซะ

หลินสวินเงียบมาโดยตลอด

ครู่ใหญ่จึงหายใจเข้าลึกคราหนึ่ง กดไอสังหารเดือดพล่านในใจแล้วพูดออกมาทีละคำ “วันหน้าเมื่อมาอีกครั้ง ข้าจะสังหารทั้งเมือง!”

พูดจบเขาก็หมุนตัวจากไป

รั่วอู่อึ้ง ความรู้สึกซับซ้อน รู้ว่าแม้ชนะการต่อสู้แต่ละศึกก่อนหน้านี้ แต่ในใจหลินสวินยังไม่พอใจ!

เหตุผลก็อยู่ที่กำแพงเมืองซึ่งสร้างจากศพและเลือดของบรรพชนดินแดนรกร้างโบราณจำนวนนับไม่ถ้วน

หลินสวินไปแล้ว

ไม่หันหลังกลับ

บางทีอาจจะกังวลว่าหากหันหลังกลับจะควบคุมไอสังหารในใจไม่อยู่กระมัง

รั่วอู่ไม่รู้ แต่นางรู้ดีว่าวันหน้าเมื่อเขามาอีกครั้ง เมืองนี้จะต้องถูกกวาดล้างสิ้นซากแน่!

“ในที่สุดก็ไปแล้ว…”

เมื่อเห็นเงาร่างของพวกหลินสวินลับตาไปแล้ว ร่างของปี้เจี้ยนฉยงสั่นเทาคราหนึ่ง ล้มนั่งอยู่ตรงนั้นราวกับสูญเสียเรี่ยวแรงทั้งหมด อกสั่นขวัญหาย

การต่อสู้นี้ ดินแดนโบราณมารโลหิตของพวกเขาเรียกได้ว่าเสียหายหนัก เสียหน้าจนไม่เหลือ!

ปี้เจี้ยนฉยงไม่รู้เลยว่าตอนที่พวกเซวี่ยชิงอีหกลับมา ตนจะอธิบายอย่างไร

……

กลางฟ้าดินที่กว้างใหญ่ หลินสวินและรั่วอู่เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กัน

“หลินสวิน เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”

ระหว่างทางหลินสวินเงียบมาโดยตลอด ทำให้รั่วอู่เป็นห่วงเล็กน้อย

หลินสวินพูดง่ายๆ “สังหารสัตว์เดรัจฉานฝูงหนึ่งเท่านั้น ยังไม่ถึงกับทำให้ข้าบาดเจ็บสาหัสได้ แต่ว่าศึกนองเลือดครั้งนี้ กลับทำให้ข้าหยั่งถึงนัยเร้นลับของการสร้างวิชาแห่งตนได้บางส่วนแล้ว”

รั่วอู่ร้องว่าเอ่อคำหนึ่ง อดพูดไม่ได้ “ที่ข้าถามไม่ใช่เรื่องพวกนี้ แต่เป็น…”

หลินสวินยิ้มตบไหล่รั่วอู่เบาๆ “เมืองแห่งนั้นทำให้ข้าโกรธมากจริงๆ แต่ยังไม่ถึงกับส่งผลกระทบต่อสภาวะจิตของข้า”

หยุดไปครู่หนึ่งเขาพูดต่อว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้สมรภูมิเก้าดินแดนเพิ่งจะเปิดไม่ถึงครึ่งปี ในอนาคตสักวันข้าจะเหยียบเมืองอารักษ์มรรคนั่นให้พังทลาย!”

ในเวลาเดียวกันในใจก็พูดว่า ‘สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า คือจะต้องเอาเลือดและกระดูกของบรรพชนเหล่านั้นไปฝังให้ดี’

รั่วอู่ถอนหายใจพูดว่า “เช่นนั้นก็ดี จากนี้เจ้าจะไปไหน”

หลินสวินพูดอย่างไม่ลังเล “ไปที่แดนลับวังใต้ดิน จากนั้นก็จะไปจากโลกมารโลหิต มุ่งหน้าไปยังโลกรกร้างโบราณ”

“โลกรกร้างโบราณ?”

เนตรดาราของรั่วอู่หดรัดลง

“ที่นั่นคืออาณาเขตดินแดนรกร้างโบราณของเรา แม้ตอนนี้ที่นั่นมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะถูกดินแดนอื่นๆ อีกแปดดินแดนยึดครองไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นที่ของพวกเรา จะไม่เอาคืนได้อย่างไร”

หลินสวินพูดเรียบๆ “นอกจากนี้ ข้าเองก็ต้องการสร้างเมืองอารักษ์มรรคแห่งหนึ่ง ให้ผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณมีที่ตั้งหลักปักฐาน”

ในใจรั่วอู่สะท้านคราหนึ่ง

ความองอาจระดับนี้ ต่างอะไรกับการสร้างบ้านเมืองที่กว้างใหญ่เพื่อคุ้มครองประชาราษฎร์

“ข้าไปกับเจ้า!”

ดวงตาคู่งามของรั่วอู่วาววาบ แฝงความหนักแน่น

หลินสวินยิ้มพูด “ยินดียิ่ง”

……

ส่วนลึกของป่าหลอมจิต

หลินสวินกับรั่วอู่หวนกลับอย่างราบรื่นตลอดทาง ไม่ได้เจอการขัดขวางใดๆ

ภายใต้การนำทางของผีเสื้อมารแยกฟ้า พวกเขาเข้าสู่แดนลับวังใต้ดิน รั่วอู่เริ่มเรียกรวมเหล่าผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณที่ถูกพามาอยู่ในนี้

ส่วนหลินสวินกลับเดินไปตรงหน้าต้นบรรพชนหลอมจิตสีเขียวขจีต้นนั้น

ฮูม…

เพียงแค่เข้าใกล้ กิ่งใบของต้นไม้นี้ก็สั่นสะท้านกะทันหัน ราวกับตกใจอย่างไรอย่างนั้น

ในใจหลินสวินไหวเคลื่อน เอ่ยพูดว่า “ให้ตัวเลือกเจ้า จะไปกับข้า หรือจะให้ข้าลงมือตัดเจ้าด้วยตัวเอง”

ต้นไม้นี้นิ่งเงียบไร้สุ้มเสียง ไม่ขยับสักนิด

ชิ้ง!

หลินสวินถือดาบกระดูกขาวขึ้นมา

คราวนี้ในที่สุดต้นบรรพชนหลอมจิตนั่นก็ขยับแล้ว บนลำต้นปรากฏดวงตาที่ก่อขึ้นจากลายไม้แน่นขนัดคู่หนึ่ง เต็มไปด้วยเพลิงโกรธ

ในเวลาเดียวกันเสียงตะโกนด้วยความเดือดดาลดังก้องข้างหูหลินสวิน “คราวก่อนเจ้าบอกว่าในอนาคตจะตอบแทนมิใช่หรือ นี่คือการตอบแทนของเจ้ารึ”

หลินสวินเก็บดาบกระดูกขาว พูดราวกับคิดอะไรอยู่ “ตามคาด เจ้ามีจิตวิญญาณและสติปัญญาแล้ว เป็นอย่างไร จะพิจารณาไปกับข้าหรือไม่”

“เพิ่งจะบรรลุมกุฎอริยะก็กล้าคุยโวขนาดนี้ ยังคิดจะพาข้าไปอีก เจ้าหนู เจ้าคิดว่าเจ้าคู่ควรหรือ”

ต้นบรรพชนหลอมจิตหัวเราะเยาะ

หลินสวินพลิกฝ่ามือ ดาบกระดูกขาวปรากฏอีกครั้ง

ทันใดนั้นต้นบรรพชนหลอมจิตร้อนรนขึ้นมา ตะโกนว่า “เจ้าหนู นี่เจ้าข่มขู่ผู้อาวุโสเช่นนี้ ไม่กลัวถูกฟ้าผ่าหรือ มหาจักรพรรดิแยกฟ้ายังไม่เหี้ยมเท่าเจ้าเลย!”

——