“พิภพหลักล้าน สิบล้านในจักรวาลนี้ ล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของสายจ่างเทียนเต้า การที่ให้เจ้าส่งเศษใจแห่งศุภรออกมานั้น เป็นการให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่ง เจ้าอย่าไม่รู้จักรักษาโอกาส!”แววตาของมู่หมิงดูเยือกเย็นเล็กน้อย ซึ่งเป็นการข่มขู่โดยนัย

เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าเวลานี้ตัวเองต้องแสดงความแข็งกร้าวที่มากพอออกมา ขอเพียงสามารถทำให้หลัวซิวเกิดความหวาดกลัว เขาก็จะไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามเอง

“ดูเหมือนกับว่าเจ้าจะไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ ณ บัดนี้เท่าไหร่นะ”

การข่มขู่ของฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ทำให้หลัวซิวรู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้มีรอยยิ้มที่ดูเย้ยหยันปรากฏบนใบหน้าเขาเล็กน้อย

เขาแทงหอกออกไปเร็วปานสายฟ้า สีหน้าอารมณ์ของมู่หมิงเปลี่ยนไปในทันที ภายใต้การต้านทานทำให้เขากระอักเลือดและร่างกายกระเด็นออกไป

เงาร่างของหลัวซิวดับสูญ หอกยุทธ์มังกรดำจี้อยู่กลางหว่างคิ้วมู่หมิง ขอเพียงเขาใช้จิตนึกคิด หอกยุทธ์มังกรดำก็จะทะลวงกะโหลกของคนดังกล่าว

“บัดนี้เราสามารถพูดคุยกันใหม่อีกครั้งได้แล้ว เจ้าเข้าใจเกี่ยวกับแดนปริศนามกุฎเทพแห่งนี้มากน้อยเท่าไหร่?”เสียงอันเย็นชาดังเข้าไปในหูมู่หมิง

“เจ้า……”มู่หมิงกลัวสุดขีด เขานึกไม่ถึงเลยว่าหลัวซิวจะแข็งกร้าวเช่นนี้ นี่มันการเจรจาต่อรองที่ไหน นี่มันการข่มขู่ชัด ๆ

โลกของนักยุทธ์ ศักยภาพเป็นอำนาจสูงสุด ผู้แข็งแกร่งเป็นเจ้า การเจรจาต่อรองจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อพื้นฐานศักยภาพของทั้งสองฝ่ายไม่แตกต่างกันมากนัก

และวินาทีนี้ศักยภาพของหลัวซิวสามารถบดขยี้มู่หมิงได้อย่างง่ายดาย เจ้ามีคุณสมบัติอะไรถึงมาต่อรองเงื่อนไขกับข้า?

ข้าแค่ใช้จิตนึกคิดก็สามารถสังหารเจ้าได้แล้ว!

มู่หมิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าวินาทีนี้หากตนอยากรักษาชีวิตไว้ ก็ต้องทำตามทุกอย่างที่หลัวซิวบอก

หลัวซิวทราบมาจากปากมู่หมิงว่าในแดนปริศนามกุฎเทพแห่งนี้ มีโอกาสและโชคชะตาที่มกุฎเทพดาราอุดรทิ้งไว้จริง ๆ ซึ่งจุดประสงค์ของเขาก็คือบ่มเพาะผู้แข็งแกร่งในโลกาดาราอุดรที่สามารถบรรลุเป็นมกุฎเทพได้ เพื่อใช้สำหรับการครองวิญญาณ

ใช่ว่าการครองวิญญาณเช่นนี้จะไร้ข้อจำกัดแต่อย่างใด จะทำการยึดครองได้เพียงเก้าครั้งเท่านั้น ไม่ว่าจะยึดสำเร็จหรือไม่ ผู้ถูกยึดครองก็จะดับสลายสูญสิ้น

มกุฎเทพดาราอุดรครองวิญญาณไปเก้าครั้งแล้ว ตราชีวีที่ผสมรวมเข้ากับกมลโลกาของเขาก็สลายหายไปดั่งเถ้าธุรีตั้งนานแล้ว และสาเหตุที่มู่หมิงหายตัวไปสามปีหลังจากมาถึงโลกาดาราอุดรนั้น ก็เพราะเขาไปตามหาการถ่ายทอดสืบสาน รวมไปถึงสถานที่ที่มกุฏเทพทิ้งสมบัติไว้

อิงจากมู่หมิงที่กล่าวมา ภายในแดนปริศนามกุฏเทพนี้มีสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดสามชิ้น ชิ้นแรกคือโอสถเวทย์ธรรม คุณภาพของมันอยู่ระดับเจ็ดถึงเก้า ซึ่งผู้แข็งแกร่งราชาเทพสามารถใช้มันเพื่อยกระดับผลการฝึกตนได้

ส่วนชิ้นที่สองนั้นคือโอสถมกุฎเทพปุถุชน ซึ่งเป็นยาที่อยู่เหนือขอบเขตระดับเก้า มีเพียงปรมาจารย์โอสถเซียนเท่านั้นที่สามารถกลั่นได้ อีกทั้งยาวิเศษเป็นสิ่งที่หายากและล้ำค่าอย่างยิ่ง ผู้แข็งแกร่งราชาเทพขั้นสูงสามารถใช้มันเพื่อบรรลุสู่มกุฎเทพได้ อีกทั้งยังเพิ่มอัตราการบรรลุสำเร็จได้ด้วย

ส่วนชิ้นที่สามนั้นก็คือกมลโลกา!

กมลโลกาที่สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพใช้บุกเบิกพิภพนั้น ระดับของกมลโลกาชิ้นนั้นบรรลุถึงชั้นสูง ซึ่งอยู่สูงกว่าชั้นกลางที่หลัวซิวได้รับครั้นเมื่ออยู่ในโลกาอสูรฟ้า

“กมลโลกาชั้นสูงหนึ่งชิ้น เมื่อนำไปในมหาโลกาพันสามและแปดโลกมหาพิภพแล้ว ก็เพียงพอที่จะขายได้ในราคาที่สูงเทียมฟ้าเลย!”มู่หมิงพูดอย่างตื่นเต้นหวั่นไหวเล็กน้อย

เขาไม่เคยพูดเรื่องกมลโลกาต่อจี้เฟิงแต่อย่างใด และนี่ก็เป็นหนึ่งในจุดประสงค์ที่สำคัญที่สุดของการเดินทางในครั้งนี้ของเขาเช่นกัน

และเมื่อหลัวซิวได้ยินว่าสถานที่แห่งนี้มีกมลโลกาชิ้นหนึ่ง สีหน้าท่าทางของเขาก็ดูหวั่นไหวเช่นกัน เนื่องจากถ้าเกิดมีกมลโลกาละก็ เขาก็จะสามารถเปิดจุดลมปราณที่สามได้แล้ว!

และจุดที่สำคัญมากกว่าคือกมลโลกาในสถานที่แห่งนี้ ยิ่งเป็นกมลโลกาชั้นสูงด้วย!

เนื่องจากกฎที่ตัวเขาฝึกนั้นคือกฎการเวียนว่ายตายเกิดและห้วงเวลา เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ระดับความยากในการเปิดจุดลมปราณของเขาจึงยากกว่านักยุทธ์ทั่วไปมาก ๆ

การเปิดจุดลมปราณบนร่างกายของนักยุทธ์คนอื่น ๆ นั้น แค่ต้องการกมลโลกาชั้นล่างหนึ่งชิ้นก็ได้แล้ว ส่วนเขากลับต้องการชั้นกลาง หากได้รับกมลโลกาชั้นสูงหนึ่งชิ้น หลัวซิวมั่นใจว่าตัวเองสามารถเปิดจุดลมปราณได้หลายจุด!