เพียงไม่นานบนสนามรบเบื้องหน้า ตรงจุดที่ใกล้กับเผ่าปีศาจซึ่งกรูกันมาถึงก็มีแสงสว่างเจิดจ้ากลุ่มหนึ่งเปล่งวาบขึ้นมา
ฝูหนันหัวฟุบตัวลงบนราวระเบียง หันหน้าไปมองซ่งมู่ที่หรี่ตาจับตามองดูทิศทางการดำเนินไปของสนามรบ ฝ่ายหลังยกมือข้างหนึ่งขึ้นคล้ายมีความคิดบางอย่าง จึงเรียกเลขาธิการฝ่ายบุ๋นคนหนึ่งมา ใช้เสียงในใจเอ่ยบอก ฝ่ายหลังจึงทะยานลมตรงไปยังห้องประชุม
ฝูหนันหัวเก็บสายตากลับคืนมา รู้สึกอิจฉาเล็กน้อย
สถานะของอ๋องเจ้าเมือง คุณสมบัติของสิงห์ร้ายผู้เห่อเหิม
นอกจากเบื้องหน้าขุนเขาใต้ที่อยู่ด้านหลังนครมังกรเฒ่าแล้ว กองทัพม้าเหล็กสองกองของต้าหลีได้มารอคอยให้นครมังกรเฒ่าถูกตีแตกอย่างสงบนานแล้ว ทิศตะวันออกเฉียงใต้และทิศตะวันตกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีปก็มีเส้นแนวรบสองเส้นที่เริ่มการเข่นฆ่าแล้วเช่นกัน เพียงแต่ว่าตอนนี้สถานการณ์ยังไม่ดุเดือดรุนแรงเหมือนเส้นแนวรบของนครมังกรเฒ่า เพียงแต่คำว่า ‘ไม่มากเท่า’ นี้ เป็นเพียงแค่การพูดถึงผู้ฝึกตนบนภูเขาเท่านั้น เพราะจำนวนคนของกองทัพชายแดนต้าหลีและกองทัพของแคว้นใต้อาณัติที่รบตายไปล้วนเพิ่มขึ้นพรวดพราดทุกวัน
แน่นอนว่ากองทัพม้าเหล็กต้าหลีที่ปักหลักอยู่เส้นแนวหน้าสุดต้องตายก่อน อีกทั้งยังตายมากยิ่งกว่า
ทว่าก็มีกองทัพชายแดนแคว้นใต้อาณัติบางส่วนที่ราชวงศ์ต้าหลีรู้สึกว่าพลังการต่อสู้ใช้ได้ที่คอยประสานงานให้ความช่วยเหลืออยู่ที่เส้นแนวรบแรกเช่นกัน
ต่อให้เป็นเช่นนี้ ความแกร่งกล้าที่แท้จริงของแคว้นใต้อาณัติหล่านี้ก็ยังคงไม่ถูกกองทัพม้าเหล็กต้าหลีให้ความสำคัญสักเท่าไร
สนามรบของพื้นที่ในการควบคุมแห่งหนึ่งที่สกุลเจียงอวิ๋นหลินเป็นผู้ดูแล สงครามใหญ่เพิ่งปิดฉากลง ภายใต้แสงสายันต์ เลขาธิการฝ่ายบุ๋นบู๊ของต้าหลีรับผิดชอบทำหน้าที่จัดหาพลทหารมาเก็บกวาดสนามรบ คนที่มีชาติกำเนิดจากกองทัพม้าเหล็กต้าหลีค่อนข้างมีน้อย ที่มากกว่าคือคนของแคว้นใต้อาณัติ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาหรือทหารแม่ทัพล่างภูเขาก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ต่อให้ศึกใหญ่ปิดฉากลงแล้ว ทหารกล้าของแคว้นใต้อาณัติที่ไม่ต้องไปพลิกกองศพคนตายก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่สมเหตุสมผล การเข่นฆ่าในแต่ละครั้งที่เกิดขึ้น ความสามารถในการสู้รบต่างกันมากเกินไป ยกตัวอย่างเช่นในอดีตตอนที่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีกรีฑาทัพลงใต้บดขยี้แต่ละแคว้นก็ยิ่งเห็นกันอย่างชัดเจน พวกเขาเพิ่งจะรู้เรื่องหนึ่ง ปีนั้นกองทัพม้าเหล็กแต่ละกองที่ลงใต้ไม่ได้มีโอกาสที่จะแสดงความสามารถที่แท้จริงทั้งหมดสักเท่าไรเลย
ทหารกล้าของต้าหลีหลายสิบคนที่ทำแผลเรียบร้อยแล้วมานั่งรวมกันอยู่บนเนินเล็กแห่งหนึ่ง มองไปยังสนามรบที่ห่างไปไม่ไกล
อันที่จริงคนเกินครึ่งล้วนมาจากกองทัพชายแดนแคว้นใต้อาณัติของต้าหลี มีเพียงสามคนที่ถึงจะเป็นคนของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีอย่างแท้จริง ทว่าพอทำสงครามกันหลายครั้งที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาถึงได้กลมเกลียวกันมากขึ้น คำว่ากลมเกลียวที่ว่านี้ก็คือสามารถคุยเล่นกันได้หลายคำ
ทหารหนุ่มคนหนึ่งที่มาจากแคว้นใต้อาณัติของต้าหลีเอ่ยเสียงเบาว่า “ใต้เท้าเสี้ยวเว่ย (ตำแหน่งทหารฝ่ายบู๊ที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของจีน) ตามคำกล่าวของเทพเซียนผู้เฒ่าเหล่านั้น ได้ยินมาว่าคนตายก็คือตายไปแล้ว ส่วนใหญ่หากตายก็คือหายไปจริงๆ มีบางส่วนที่อาจกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนซึ่งกลับมาได้ในเจ็ดวันแรก มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ถึงจะมีโอกาสกลายเป็นภูตผี”
แม่ทัพบู๊ที่ถูกเรียกว่าเสี้ยวเว่ยคนนั้นมีใบหน้าสะอาดสะอ้าน หากไม่เป็นเพราะบาดแผลบนร่างของเขา ไม่อย่างนั้นเวลานี้หากโยนเอาไปไว้ในบ้านเกิดที่เป็นแคว้นใต้อาณัติ บอกว่าเขาเป็นปัญญาชนผู้มีความรู้ก็น่าจะมีคนเชื่อ
เพียงแต่ว่าใต้เท้าเสี้ยวเว่ยผู้นี้ แน่นอนว่าเป็นอดีตขุนนางเก่าในกลุ่มของแคว้นใต้อาณัติไปแล้ว ทุกวันนี้อย่าว่าแต่เสี้ยวเว่ยเลย แม้แต่ตูเว่ย (ลำดับขุนนางฝ่ายบู๊ที่เป็นรองจากแม่ทัพใหญ่) ก็ยังเป็นไม่ได้ ได้แต่ช่วงชิงตำแหน่งรองตูเว่ยมาจากกองทัพชายแดนต้าหลีเท่านั้น แล้วยังเป็นเพราะอาศัยคุณความชอบก่อนหน้านี้ไม่นานมาเลื่อนขั้นด้วย ก่อนที่จะเกิดสงครามในวันนี้ เดิมทีเขายังเป็นแค่หนึ่งในรองตูเว่ยสามคนเท่านั้น ตอนนี้กลับไม่มีหนึ่งไม่หนึ่งอะไรแล้ว เพราะคาดว่าต้องรอให้ถึงพรุ่งนี้ก่อนจึงจะกลับมาเป็นหนึ่งในได้อีกครั้ง
เขาพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ทุกวันนี้ขุนเขาสายน้ำอันเป็นบ้านเกิดยังคงอยู่ ตายเร็วหน่อยก็จะได้กลับบ้านเร็วหน่อย ไม่ใช่ว่าตายช้าไป กลายเป็นว่าบ้านไม่อยู่แล้ว ถึงเวลานั้นอยากตายก็คงไม่รู้แล้วว่าจะไปตายที่ไหน เดิมทีโชคดียังได้อยู่มองดูอีกหลายที กลับจะกลายเป็นโชคไม่ดีแทน”
ในความเป็นจริงแล้วใต้เท้าเสี้ยวเว่ยที่มีชื่อว่าเฉิงชิงผู้นี้มีชาติกำเนิดมาจากจิ้นซื่ออย่างสมชื่อจริงๆ
เฉิงชิงหันหน้าไปมองใต้เท้าตูเว่ยที่อยู่ข้างกายแล้วเอ่ยสัพยอกว่า “ต้าหลีของพวกเจ้าอยู่ทิศเหนือสุด ไปได้ง่าย”
ตูเว่ยหวังจี้มีชาติกำเนิดจากทหารลาดตระเวนชายแดนของกองทัพต้าหลี อายุพอๆ กับเฉิงชิง แต่ตอนที่เข้าร่วมกองทัพ เฉิงชิงกลับยังเป็นเด็กหนุ่ม ยังคงตรากตรำศึกษาตำราอริยะปราชญ์
เฉิงชิงเคยถามคำถามที่อยากได้คำตอบมานานแล้วข้อหนึ่ง เหตุใดกองทัพม้าเหล็กต้าหลีถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้
ชายฉกรรจ์ที่เป็นตูเว่ยกองทัพต้าหลีมาหลายปี อันที่จริงก็แค่หน้าแก่ เขาเพิ่งจะอายุสี่สิบกว่าๆ เท่านั้นชายฉกรรจ์คิดอยู่นานถึงได้ให้คำตอบที่ไม่ถือว่าเป็นคำตอบ บอกว่าตอนที่ข้าเพิ่งมาเข้าร่วมกองทัพชายแดน ครั้งแรกที่โดนดาบจากกองทัพศัตรู พอเห็นกระดูกของตัวเองโผล่ ถูกนายกองผู้เฒ่าแบกขึ้นหลังไปทำแผลก็ยังไม่กล้าแหกปากร้องดังสักเท่าไร อันที่จริงนายกองผู้เฒ่าคงไม่ตำหนิ มีแต่ตัวข้าที่โทษตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นลูกผู้ชายมากพอ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องแสร้งทำเป็นลูกผู้ชายให้ได้ กระทั่งภายหลังถึงได้เคยชินไปเอง
ทหารกองทัพชายแดนที่เป็นคนต้าหลีแต่กำเนิดซึ่งมีใบหน้าเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “อะไรที่เรียกว่า ‘ต้าหลีพวกเจ้า’? เจ้าอธิบายให้นายท่านอย่างข้าฟังให้ชัดเจนเดี๋ยวนี้!”
หวังจี้หน้าแก่ก็หน้าแก่จริงๆ ส่วนใบหน้าเด็กหนุ่มก็คือเด็กหนุ่มจริงๆ เพิ่งจะอายุสิบหกปี แต่กลับเป็นทหารกองทัพชายแดนต้าหลีอย่างแท้จริง
เด็กหนุ่มนินทาในใจไม่หยุด ตอนแรกที่พล่ามคำพูดสวยหรูก็อดทนกับเจ้าแล้ว ว่ากันว่าไอ้หมอนี่เป็นคนที่โยนพู่กันมาร่วมกองทัพอะไรนั่น สรุปก็คือเคยอ่านตำรามาสี่ห้าเล่มรู้จักตัวอักษรมากหน่อย พอเห็นแสงสนธยาที่อาบขอบฟ้าก็บอกว่าเหมือนแก้มแดงๆ ของสตรีที่ชื่นชอบ แล้วยังบอกด้วยว่าแสงจันทร์ก็ประจบสอพลอผู้มีอำนาจ ปั้นปึ่งกับผู้ที่มีฐานะต่ำกว่าเช่นเดียวกัน ไม่อย่างนั้นแสงจันทร์ยามค่ำคืนอาบทออยู่บนผ้าแพรต่วน แต่เหตุใดแสงจันทร์จะต้องงดงามกว่ายามที่สาดส่องผ้าป่านผ้าฝ้ายด้วยเล่า?
พล่ามคำพูดไร้สาระที่คนข้างๆ ฟังไม่เข้าใจแม้แต่น้อยพวกนี้ มารดาเจ้าเถอะ เจ้ามีความรู้มากขนาดนี้ก็ยังไม่เคยเห็นเจ้าตัดหัวเดรัจฉานเผ่าปีศาจได้มากกว่าข้าผู้อาวุโสสักกี่หัวเลย ทำไมไม่ไปเป็นเจ้ากรมพิธีการเสียเลยเล่า?
เฉิงชิงหัวเราะ “ก็ได้ๆๆ นายกองหม่าพูดถูกแล้ว”
เด็กหนุ่มแซ่หม่ามักบอกว่าตัวเองแซ่หม่า (ม้า) ดังนั้นถึงได้มาเกิดที่ต้าหลีของพวกเรา ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมาเป็นส่วนร่วมกับกองทัพม้าเหล็กต้าหลีให้จงได้!
เด็กหนุ่มเห็นว่าเฉิงชิงเอ่ยเช่นนี้ก็ไม่ถือสาอีก เพราะถึงอย่างไรทุกวันนี้เฉิงชิงก็เป็นรองตูเว่ยครึ่งตัว ทำไมถึงบอกว่าครึ่งตัว เพราะถึงอย่างไรเขาก็คือคนนอกอย่างไรล่ะ
หวังจี้ไม่ได้เอ่ยปรามการพูดจาของเด็กหนุ่ม เพียงแค่ยื่นมือมากดหัวของเด็กหนุ่มเอาไว้ ไม่ให้เจ้าลูกกระต่ายน้อยผู้นี้พูดเช่นนี้ต่อ เพราะจะทำลายความปรองดอง หวังจี้ยิ้มเอ่ย “คำพูดบางอย่างที่เกิดจากความเคยชินนั้นไม่เป็นไร นับประสาอะไรกับที่แม้แต่ความเป็นความตายพวกเราต่างก็ไม่ได้ให้ความสนใจแล้ว ยังจะมีอะไรให้ต้องพิถีพิถันอีก ทุกวันนี้ทุกคนล้วนเป็นสหายร่วม…”
ฟังมาถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มเตรียมจะพูดต่อ กลับถูกใต้เท้าตูเว่ยเพิ่มแรงที่ฝ่ามือกดหัวเอาไว้ จึงหุบปากทันใด
ทุกคนที่มีชาติกำเนิดมาจากกองทัพแคว้นใต้อาณัติทั้งหมดของต้าหลี หากอิงตามกฎของต้าหลีแล้ว อย่างน้อยที่สุดระดับขั้นของขุนนางจะต้องถูกลดขั้นลงไปสามขั้น คนที่ไม่ได้เป็นขุนนาง ถ้าอย่างนั้นก็จงยอมเป็นพลทหารตัวเล็กๆ ของเจ้าไปแต่โดยดี
เฉิงชิงเอ่ยสัพยอกว่า “นายกองหม่า เทพธิดาซ่งที่มองดูเหมือนจะอายุเท่ากับเจ้าคนนั้น ครั้งนี้เห็นหรือไม่? คราวนี้ช่วยพวกเจ้าทำแผล เทพธิดาซ่งได้ร้องไห้หรือเปล่า?”
เด็กหนุ่มหน้าแดงก่ำ สบถด่าเสียงดัง “บัณฑิตอย่างพวกเจ้าล้วนไม่ใช่คนซื่อสัตย์ หัวเราะเยาะแม่นางน้อยคนหนึ่งจะถือเป็นวีรบุรุษชายชาตรีได้อย่างไร! ลุกขึ้นมา พวกเรามาประลองฝีมือกัน!”
เฉิงชิงโบกมือ “มิกล้าๆ ยอมแพ้ๆ”
ทุกคนที่ไม่ว่าจะใช่ท้องถิ่นของต้าหลีหรือไม่ต่างก็พากันหัวเราะครืน
เบื้องหลังสนามรบในทุกวันนี้ผู้ฝึกตนสำนักโอสถ ผู้ฝึกตนพรรคกระถางโอสถ ก็คือเทพเซียนบนภูเขาสองประเภทที่มีฐานะสูงส่งที่สุดในใจของกองทัพต้าหลีทุกคน เหตุผลนั้นง่ายดายอย่างถึงที่สุด ฝ่ายหนึ่งสามารถช่วยชีวิต อีกฝ่ายหนึ่งสามารถทำให้โอกาสที่คนจะรอดชีวิตมีมากขึ้น
สตรีไม่ว่าจะขอบเขตสูงหรือต่ำ ไม่ว่าจะหน้าตาเป็นอย่างไร ล้วนถูกเรียกขานว่าเทพธิดาด้วยความจริงใจ ส่วนบุรุษก็จะเรียก ‘เทพเซียน’ สองคำตามด้วยแซ่ ต้องรู้ว่าแต่ไหนแต่ไรมากองทัพต้าหลีก็ดูแคลนเทพเซียนบนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปเป็นที่สุด ก่อนที่จะเกิดสงครามใหญ่ซึ่งพอเปิดฉากขึ้นแล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหนครั้งนี้ คนที่ฝึกตนบนภูเขา ไม่สนว่าเจ้าจะเป็นใคร หากกล้าทำตัวกร่างต่อหน้าข้าผู้อาวุโส เห็นดาบศึกของต้าหลีนี่หรือไม่ ข้าฟันเจ้าไม่ตาย กองทัพม้าเหล็กต้าหลีของพวกเราก็สามารถเปลี่ยนคน เปลี่ยนดาบเล่มใหม่ ทำให้เจ้าตายโดยที่ไม่กล้าเอาคืนได้
ส่วนแม่นางน้อยที่เฉิงชิงเรียกว่า ‘เทพธิดาซ่ง’ ผู้นั้นก็คือผู้ฝึกลมปราณสำนักโอสถคนหนึ่ง นางใจกล้าไม่น้อย ถึงขั้นกล้ามาร่วมสนามรบที่นี่พร้อมกับผู้อาวุโสในสำนัก แต่กลับชอบไปแอบร้องไห้อยู่คนเดียว
เด็กหนุ่มไม่ยินดีให้เจ้าพวกตะพาบเหล่านี้เอ่ยเย้าหยอกเทพธิดาซ่งที่เขารู้จัก จึงรีบเปลี่ยนเรื่องพูดใหม่ ถามว่า “ใต้เท้าตูเว่ย ได้ยินมาว่าปีนั้นท่านติดตามแม่ทัพของพวกเราไปที่กรมกลาโหมในเมืองหลวงด้วยหรือ เป็นอย่างไร ที่ว่าการใหญ่โตโอ่อ่าหรือไม่? ใต้เท้าเจ้ากรมเป็นเหมือนอย่างที่เล่าลือกัน บอกว่าแค่จามทีก็เสียงดังสนั่นเหมือนฟ้าผ่าหรือไม่?”
ตูเว่ยที่ไม่ชอบพูดคุยยิ้มแย้มกระตุกมุมปาก ถือว่าเป็นรอยยิ้มแล้ว “ปีนั้นข้าทำหน้าที่เป็นองค์รักษ์ให้กับท่านแม่ทัพถึงได้มีโอกาสไปเยือนเมืองหลวงมารอบหนึ่ง หากไม่มีเอกสารทางการก็ไม่อาจเข้าไปในประตูที่ว่าการกรมกลาโหมได้ แอบเข้าไปก็เท่ากับรนหาที่ตายโดยแท้ ได้แต่รอท่านแม่ทัพอยู่ข้างนอกแต่โดยดี หน้าประตูจวนที่ว่าการมีคนเดินไปเดินมาอยู่ตลอด ข้าก็เลยปลุกความกล้าไปลูบขนสิงโตหิน ยังไม่ทันลูบจนพอใจท่านแม่ทัพก็ออกมาแล้ว บอกว่าคุยธุระเสร็จแล้ว จึงจะเปลี่ยนสถานที่ เขามีสหายคนหนึ่งทำงานอยู่ในที่ว่าการซึ่งอยู่ใต้อาณัติของกรมกลาโหม ไม่ได้ดิบได้ดีไปยังไง มีหมวกขุนนางใหญ่เหมือนกัน ตราชุดขุนนางบนร่างก็เหมือนกัน อยู่ในที่ว่าการทุกวันเอาแต่ดื่มน้ำชา จะเทียบกับบนสนามรบที่ต้องดื่มเยี่ยวม้าทุกวันได้อย่างไร?”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ตูเว่ยหวังจี้ก็เอ่ยว่า “อันที่จริงในบรรดาสหายของท่านแม่ทัพ คนที่พอจะได้ดิบได้ดีในเมืองหลวงก็มีอยู่สองคน ข้าล้วนสนิทสนมคุ้นเคย เมื่อก่อนยังโดนตีโดนด่ามาไม่น้อย ล้วนเป็นคนที่ออกไปจากค่ายอักษรเหล่าของท่านแม่ทัพในปีนั้น เพียงแต่ว่าท่านแม่ทัพค่อนข้างรักหน้าตา ไม่มีหน้าจะไปรับสายตาดูถูกจากใคร ทุกครั้งที่ท่านแม่ทัพทำธุระในเมืองหลวงเสร็จ ขอแค่ไม่ต้องรีบกลับหน้าด่านก็จะต้องไปเยือนสหายในเมืองหลวงรอบหนึ่ง หากกล่าวตามคำพูดของท่านแม่ทัพก็คือสหายเก่าเหล่านี้เป็นขุนนางล้วนไม่ใหญ่เท่าเขา”
สหายเก่าที่ว่ามานี้ อันที่จริงกลับไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องอายุมาก แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะต้องมีชีวิตที่ไม่ดี แต่หมายถึงสหายที่ตายไปนานแล้ว
เฉิงชิงถอนหายใจอยู่ในใจ
คนพูดไร้เจตนา คนฟังกลับมีใจ
คำพูดสัพเพเหระที่เหมือนพูดไปเรื่อยเปื่อยพวกนี้ อันที่จริงกลับมีความหมายยิ่งใหญ่มากสำหรับคนที่เป็นบัณฑิตอย่างเฉิงชิง
ทว่าตูเว่ยหวังจี้กลับไม่รู้ว่ารองตูเว่ยเฉิงคิดมากแล้ว เขาเพียงเอ่ยเนิบช้าต่อไปว่า ข้าก็เลยตามเขาไปยังที่ว่าการของกองคลังยุทธโทปกรณ์ที่อยู่ใต้การปกครองกรมกลาโหมโดยตรง ผลคือสหายของท่านแม่ทัพคนนั้นมีธุระพอดี ข้าเลยได้แต่นั่งรออยู่ในห้องข้างเป็นเพื่อนท่านแม่ทัพ ตลอดทั้งบ่ายดื่มน้ำชาจนเต็มท้อง ใบชาในน้ำมีอยู่ไม่กี่ใบ แต่กลับมีน้ำให้ดื่มจนอิ่ม ท่านแม่ทัพกลับอารมณ์ดีมาก บอกว่าขุนนางในกรมกลาโหมของพวกเราช่างยากจนยิ่งนัก ยากจนจริงๆ เทียบกับพวกกรมพิธีการที่ดีแต่จะเป็นหลานแสร้งทำตัวยากจนกับผู้อาวุโสไม่ได้เลย แต่ไหนแต่ไรมาท่านแม่ทัพก็พูดจาเสียงดังอยู่แล้ว คำพูดนี้ไปเข้าหูคนที่ทำงานอยู่ด้านนอกพอดี เพียงไม่นานก็มีคนเอาใบชากล่องเล็กๆ กล่องหนึ่งมามอบให้ ยิ้มเอ่ยกับท่านแม่ทัพว่าใส่ใบชาได้เต็มที่ ทุกวันนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เมื่อก่อนกรมครัวเรือนนั่นต้องเรียกว่าเค็มเป็นเกลือ จะมอบใบชาให้ทั้งทียังต้องชั่งเป็นตำลึง ทุกวันนี้มือเติบแล้ว ในที่สุดก็รู้จักชั่งเป็นจินเสียที ท่านแม่ทัพของพวกเรากำลังรอประโยคนี้อยู่พอดีเชียว จึงรีบลุกขึ้นยืนแล้วกุมหมัด บอกว่าได้พึ่งใบบุญท่าน ได้พึ่งใบบุญท่าน โชคดีที่เมื่อก่อนข้าเคยติดตามเสี้ยวเว่ยผู้เฒ่าหลิว ทุกวันนี้ได้เลื่อนขั้นเป็นรองเจ้ากรมครัวเรือนแล้ว”
“ผู้เฒ่าที่ทำงานอยู่ที่นั่นหัวเราะร่าเสียงดังทันที บอกว่าถ้าอย่างนั้นพวกเราสองพี่น้องก็ถือว่าเป็นคนบ้านเดียวกันครึ่งตัวแล้ว ผลัดกันถามเรื่องประวัติความเป็นมาในกองทัพ คราวนี้ล่ะดีเลย ทำตัวเป็นญาติสนิทกันจริงเสียด้วย ที่แท้ตอนที่รองเจ้ากรมหลิวของกรมครัวเรือนยังเป็นเสี้ยวเว่ย ท่านแม่ทัพของพวกเราก็คือตูเว่ยหน่วยลาดตระเวน ทั้งยังคิดไม่ถึงว่าตอนที่รองเจ้ากรมหลิวเพิ่งจะเข้าร่วมกองทัพ ท่านผู้เฒ่าได้เป็นถึงหัวหน้ากองแล้ว ท่านแม่ทัพจึงบอกให้ผู้เฒ่านั่งลงดื่มชา เขาจะไปช่วยเฝ้าประตูให้แทน ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ยว่าไม่ได้หรอก เรื่องหนึ่งก็ส่วนเรื่องหนึ่ง อยู่ที่ด่านชายแดนสุราลงทัณฑ์อร่อย แต่ทำงานอยู่ในจวนที่ว่าการทุกวันนี้ สุราลงทัณฑ์มิได้รสชาติดีนักหรอก”
ฟังมาถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มก็ถามว่า “ใต้เท้าตูเว่ย ตอนนั้นท่านไม่ได้ขอไปเป็นเทพทวารบาลด้วยตัวเองหรือ?”
หวังจี้อึ้งตะลึง ส่ายหน้าเอ่ย “ตอนนั้นเอาแต่รื่นรมย์ เลยไม่ทันได้คิดถึงเรื่องนี้”
เด็กหนุ่มจุ๊ปาก “ใต้เท้าตูเว่ยเอ๋ย ท่านสมควรเป็นทหารปราบโจรจริงๆ ข้าจะยกนิ้วโป้งสองนิ้วให้ท่านตูเว่ยยังรังเกียจว่าน้อยไป แต่ท่านตูเว่ยไม่ใช่คนที่เหมาะจะเป็นขุนนางเลยสักนิด หากเปลี่ยนมาเป็นข้า คงวิ่งไปเฝ้าดูต้นทางให้แต่แรกแล้ว จะดีจะชั่วก็ให้หัวหน้ากองผู้เฒ่าได้ดื่มชากับท่านแม่ทัพสักกา”
หวังจี้ยื่นมือมากดหัวของเด็กหนุ่ม ยิ้มเอ่ย “ท่านแม่ทัพบอกว่าข้าไม่เหมาะจะเป็นขุนนาง ข้ายอมรับ แต่เจ้าหนุ่มอย่างเจ้ากลับกล้ามาบอกใต้เท้าตูเว่ยเช่นข้าด้วยหรือ?”
เดิมทีหวังจี้คิดจะหยุดพูดแต่เพียงเท่านี้ เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าสหายร่วมรบที่อยู่ข้างกายคล้ายจะชอบฟังเรื่องหยุมหยิมในอดีตพวกนี้มากทีเดียว บวกกับเด็กหนุ่มที่ซักถามไม่หยุด ถามว่าสรุปแล้วเมืองหลวงเป็นอย่างไรกันแน่ ชายฉกรรจ์จึงเอ่ยต่ออีกว่า “ไม่ได้เข้าไปในที่ว่าการของกรมกลาโหม ทว่าตรอกอี้ฉือกับถนนฉือเอ๋อร์ ท่านแม่ทัพกลับพาข้าไปเยือนโดยเฉพาะมารอบหนึ่ง”
——