บทที่ 723.2 ผู้ดื่มทิ้งชื่อไว้ อาจารย์ผู้เฒ่าอยากจะพลิกอ่านตำรา

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ปีศาจใหญ่หวงหลวนที่หลอมจวนตระกูลเซียนและศาลาหอเก๋งหลายแห่งจนนับไม่ถ้วน ได้ยินว่าก็ถูกอาเหลียงร่วมมือกับเซียนกระบี่เหยาชงเต้าสังหารไปเกินครึ่งแล้ว เป็นเหตุให้ขอบเขตถดถอยไม่หยุด ได้แต่เปลี่ยนเนื้อหนังมังสาใหม่ กลายมาเป็นขอบเขตก่อกำเนิด อยู่ไม่สู้ตาย

ส่วนปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ที่ก่อนหน้านี้ตายอยู่ในฝูเหยาทวีปของใต้หล้าไพศาลเป็นคนแรก มีนามแฝงว่าเหย้าเจี่ย หากเอ่ยตามคำพูดของซิ่วไฉเฒ่าก็คือมีเงินแล้วชอบโอ้อวด เขาไม่ชอบคนประเภทนี้ที่สุดแล้ว

นั่นคือคนที่สังหารสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนของฝูเหยาทวีปเพื่อชดเชยความเสียหายบนมหามรรคาของตัวเองในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ป๋ายเหย่ทยอยออกกระบี่สามครั้ง สุดท้ายสังหารอีกฝ่ายได้ที่ซากปรักของภูเขาห้อยหัว กระบี่แรกใช้สำหรับส่งแขกออกจากฝูเหยาทวีป หลีกเลี่ยงไม่ให้เดือดร้อนไปถึงผู้บริสุทธิ์ กระบี่ที่สองถือเป็นการร่วมเดินทางไปสู่มหาสมุทรใหญ่พร้อมกับเหย้าเจี่ย ใช้สิ่งนี้เป็นของขวัญตอบแทนกลับคืนแก่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง กระบี่ที่สามป๋ายเหย่ออกแรงเต็มกำลังมากที่สุด ถือว่าเซ่นกระบี่ให้กับพวกผู้ฝึกกระบี่ที่รบตายอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างห้าวหาญแบบใกล้ชิดหน่อย

อันที่จริงเดิมทีป๋ายเหย่ควรจะออกกระบี่อีกหนึ่งครั้งหรือสองครั้งถึงจะสามารถสังหารเหย้าเจี่ยได้อย่างแท้จริง

เพียงแต่ว่าตอนนั้นมีคนลงมือ สยบวิชาอภินิหารผลัดเปลี่ยนฟ้าดินของบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่เอาไว้

ไม่อย่างนั้นป๋ายเหย่ก็ไม่ถือสาหากต้องพกกระบี่ออกเดินทางไกล จะได้ไปเห็นกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งที่ยังถือว่าเป็นของใต้หล้าไพศาลได้พอดี

ยามนี้ป๋ายเหย่ลอยตัวอยู่จุดศูนย์กลางของทะเลเมฆเหนืออากาศของหนึ่งทวีป

ทะเลเมฆใต้ฝ่าเท้าคือวิธีการแห่งชะตาชีวิตของปีศาจใหญ่โครงกระดูกป๋ายอิ๋ง ล้วนเป็นปราณอาฆาตเคียดแค้นที่ดุดันของพวกผีร้ายวิญญาณพยาบาท และยิ่งมีหัวกะโหลก มือและแขนกระดูกขาวอีกนับไม่ถ้วนที่หมายจะกรูกันเข้ามาหาป๋ายเหย่ แต่กลับถูกปราณยิ่งใหญ่ไพศาลทั่วร่างของป๋ายเหย่ที่ไม่จำเป็นต้องให้เขาออกกระบี่ซัดสลายไปจนสิ้น

ป๋ายอิ๋งไม่ได้นั่งอยู่บนบัลลังก์โครงกระดูกอีกแล้ว แต่ลุกขึ้นยืน ข้างกายของเขายังมีข้ารับใช้ถือกระบี่ที่แข็งแกร่งซึ่งมีใบหน้าเป็นอาจารย์ค่ายกลหลงจวินในอดีตยืนอยู่

บนโครงกระดูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลโครงหนึ่งที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ปีศาจใหญ่อู่เยว่ยืนอยู่บนหัวกะโหลก ยื่นมือไปกุมหอกยาวที่แทงทะลุหัวกะโหลกนั้นเอาไว้ เสียงฟ้าร้องดังครืนครั่น หอกยาวที่มีสายฟ้าห้าสีล้อมวนและตลอดทั้งลำแขนของปีศาจใหญ่อู่เยว่ปล่อยเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องสะท้อนไปทั้งผืนฟ้าเหนือทวีป เป็นเหตุให้อู่เยว่เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงของกองสายฟ้าที่ปรากฏกายบนโลกมนุษย์อีกครั้ง

มียักษ์สามเศียรหกกรตนหนึ่งนั่งอยู่บนตำราสีทองที่ปูเป็นเบาะรองนั่ง ตรงหน้าอกของมันมีรอยกระบี่เป็นแผลยาว เมื่อผ่านกำแพงเมืองปราณกระบี่มาได้แล้วก็ยังแค่ลบหายไปครึ่งหนึ่ง จงใจเหลืออีกครึ่งหนึ่งไว้

มันต้องการรอให้ทำลายนครบินทะยานของใต้หล้าแห่งที่ห้ากับมือตัวเองได้เสียก่อนถึงจะลบรอยกระบี่นี้ทิ้งไปอย่างสิ้นเชิง

ปีศาจใหญ่หย่างจื่อที่สวมมงกุฎจักรพรรดิ บนร่างสวมชุดคลุมมังกรสีหมึก หัวเป็นคนร่างเป็นงู รอบเรือนกายใหญ่โตมโหฬารมีนางฟ้ากอดผีผาหลายตนล่องลอยล้อมวน แล้วก็ถูกหยวนโส่วเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ที่เดินทางข้ามทวีปมาถึงในเสี้ยววินาทีคว้าเอามาใส่ปากเคี้ยวเหมือนกินถั่วเหลืองแกล้มเหล้า ใช้สิ่งนี้มารักษาบาดแผลได้พอดี กระบองที่ฟาดออกไปในสนามรบนครมังกรเฒ่าสองทีนั้น โดนกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่จากอุตรกุรุทวีปทำลายไปไม่น้อย อาจไม่ถึงขั้นทำร้ายไปถึงรากฐานของมหามรรคา แต่ถึงอย่างไรก็บาดเจ็บไม่เบา และร่างจริงของปีศาจใหญ่ก็แข็งแกร่งถึงปานนั้น หากได้รับบาดเจ็บแล้วเจอกับศัตรูที่เป็นขอบเขตบินทะยานทั่วไปไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่จึงไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว ทว่าตอนนี้กลับต้องมาเผชิญหน้ากับป๋ายเหย่ แต่ไหนแต่ไรมาหยวนโส่วก็ไม่เคยเกรงใจหย่างจื่ออยู่แล้ว หย่างจื่อเองก็ยิ่งไม่ถือสาความเสียหายน้อยนิดแค่นี้ ทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องการให้พลังการสู้รบสูงสุดกลับคืนมา

หยวนโส่วยังคงขี่กระบี่ลอยตัว บนบ่าแบกกระบองยาว ตรงข้อมือรัดกำไลไข่มุกที่หลอมจากขุนเขาจำนวนมาก ทุกวันนี้ไข่มุกบนกำไลมีเพิ่มมาอีกหลายเม็ด ล้วนเป็นขุนเขาใหญ่บางส่วนของใบถงทวีป

โอกาสชนะหรือไม่มีโอกาสชนะอะไรนั่น อันที่จริงไม่ต้องพูดถึง สถานการณ์ที่กุมชัยชนะได้อย่างมั่นคง หลิวชาที่อยู่ฝ่ายตนก็ดี หรืออาเหลียงที่กลับจากฟ้านอกฟ้ามายังกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครั้งก็ช่าง ต่อให้พวกเขามาผลัดเปลี่ยนตำแหน่งกับป๋ายเหย่ก็ยังต้องมีจุดจบเหมือนกันอยู่ดี เรื่องเดียวที่ทำให้หย่างจื่อและหยวนโส่ว หรือควรพูดว่าทำให้ปีศาจใหญ่ทุกตนสนใจอย่างแท้จริง ก็คือพวกเขาหกคน จะตายไปสักคนหรือไม่ และจะเป็นคนใดที่ตายไป นี่เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างถึงที่สุด กระบี่สุดท้ายในชีวิตนี้ของป๋ายเหย่จะต้องลากใครสักคนฝังศพไปเป็นเพื่อนด้วยอย่างแน่นอน ต่อให้จะฆ่าใครไม่ได้ แต่มีจุดจบเหมือนดั่งหวงหลวนก็ไม่เท่ากับว่าตายไปแล้วหรอกหรือ

ปีศาจใหญ่เรือนกายแกร่งกำยำที่สวมเสื้อเกราะสีทองตนหนึ่งมีรูปโฉมไม่ต่างจากเผ่ามนุษย์ แต่กลับมีเรือนกายสูงร้อยจั้ง เสื้อเกราะสีทองยุคบรรพกาลที่สวมบนร่างนั้นเป็นทั้งกรงขังแล้วก็พอจะถือว่าเป็นการปกป้องได้ด้วย เสื้อเกราะสีทองมีแนวโน้มว่าใกล้จะปริแตกเต็มที แสงสีทองแต่ละเส้นที่เข้มข้นราวกับน้ำเหมือนสายธารที่ไหลรินออกมาจากร่องหิน เขาใช้นามแฝงว่า ‘หนิวเตา’ ชื่อนี้ตั้งได้หยาบอย่างยิ่ง เขาไม่ค่อยเหมือนกับปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ตนอื่นที่จับจ้องมองใต้หล้าไพศาล ต่างคนต่างได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ เป้าหมายที่เขาตามหาอย่างแท้จริงยังคงเป็นใต้หล้ามืดสลัว ถึงขั้นที่ว่าไม่ใช่ป๋ายอวี้จิง แต่เป็น ‘เจ้าเฒ่าคนหนุ่ม’ ที่ชอบอยู่ในอารามเต๋าของถ้ำสวรรค์เหลียนฮวา!

ปีศาจใหญ่ตนเดียวที่ไม่ชอบเผยร่างจริงบนโลกก็คือเชี่ยอวิ้นที่รูปโฉมงดงามผิดปกติ ห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอวผู้นั้น

ดังนั้นร่างจึงดูเล็กจ้อยอย่างเห็นได้ชัด เรือนกายพอๆ กับบัณฑิตป๋ายเหย่

ป๋ายอิ๋ง อู่เยว่ หย่างจื่อ หยวนโส่ว หนิวเตา เชี่ยอวิ้น

มาจากตำแหน่งและสนามรบที่แตกต่าง สุดท้ายก็พาตัวมาอยู่ที่ฝูเหยาทวีปในเสี้ยววินาที

ปีศาจใหญ่หกตนที่ล้อมสังหารป๋ายเหย่กลับเป็นปีศาจใหญ่บนบัลลังก์อย่างสมชื่อทั้งหมด

เจ้าอารามดอกบัว หวงหลวน เหย้าเจี่ย ปีศาจใหญ่ทั้งสามตนล้วนกลายเป็นเพียงปฏิทินเหลืองเก่าแก่ไปแล้ว เพียงแต่ว่าทุกวันนี้มีเซียวสวิ้นที่ตำแหน่งที่ตั้งบัลลังก์ค่อนข้างสูงเพิ่มมาอีกหนึ่งคน จากนั้นก็มีขอบเขตบินทะยานอีกสองคนที่ไม่ค่อยได้รับการยอมรับจากฝูงชนสักเท่าไรมาเพิ่มอีก สุดท้ายพวกบัลลังก์ที่อยู่ก่อนหน้าจึงไม่ได้เห็นปีศาจใหญ่บนบัลลังก์สองคนใหม่ที่อยู่ด้านหลังสุดอยู่ในสายตาสักเท่าไร ก็แค่เอามารวมให้ครบจำนวนเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นการล้อมสังหารที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ และก็ไม่แน่ว่าในอนาคตจะยังมีเกิดขึ้นอีกอย่างครานี้ โจวมี่ก็ไม่ได้คิดจะให้พวกเขาโผล่หน้ามาแม้แต่น้อย

ป๋ายเหย่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “บัลลังก์ราชาสิบสี่ตำแหน่งใหม่เอี่ยม ผู้ที่มายังฝูเหยาทวีปมีไม่ถึงครึ่งหนึ่ง เพราะดูแคลนข้าป๋ายเหย่อย่างนั้นหรือ?”

เชี่ยอวิ้นลูบเส้นผมตรงจอนหู ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “นี่ต้องเป็นคำพูดที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์ถึงจะพูดได้เท่านั้นนะ”

ป๋ายเหย่ส่ายหน้า “คำพูดบางอย่าง ต่อให้เป็นปรมาจารย์มหาปราชญ์ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะพูดได้”

ความหมายในถ้อยคำแน่นอนว่าก็คือ มีคำพูดบางอย่างระหว่างฟ้าดินแห่งนี้มีเพียงแค่ข้าป๋ายเหย่คนเดียวเท่านั้นที่พูดได้จริงๆ

ปีศาจใหญ่หกตนต่างก็ไม่เอ่ยอะไร คาดว่าคงจนคำพูดอยู่เช่นกัน

ป๋ายเหย่ยื่นมือไปกุมด้ามกระบี่เบาๆ เอ่ยอย่างสงสัยว่า “มัวยืนอึ้งอยู่ทำไมเล่า เชิญมาฆ่าป๋ายเหย่ได้ตามสบาย ไม่กล้าฆ่าคน? ถ้าอย่างนั้นข้าจะฆ่าปีศาจแล้วนะ”

หนึ่งกระบี่ออกจากฝัก

กระบี่เซียนไท่ป๋าย แสงกระบี่ขาวเจิดจ้าเหลือเกิน

ฟ้าดินพลันมีแสงสว่างนี้เป็นแสงเพียงหนึ่งเดียว

ตราผนึกขุนเขาสายน้ำเส้นแรกบนม่านฟ้าของฝูเหยาทวีปที่ถือว่าเป็นของใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปแล้วพังทลายลงอย่างสิ้นเชิงนับแต่นี้ ฝนห่าใหญ่เทกระหน่ำ ประกายแสงใสแวววาวเจ็ดสี ล้วนมาจากการจำแลงปราณกระบี่ของป๋ายเหย่ ค่ายกลกระบี่ทุ่มเข้าใส่ทะเลเมฆและปีศาจใหญ่หกตน

……

ท่าเรือทางทิศเหนือของใบถงทวีป อาจารย์และลูกศิษย์ของสายมหาสมุทรความรู้แห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีทั้งสิ้นสี่คน เวลานี้กำลังพากันเดินเล่น

โจวมี่อารมณ์ไม่เลว จึงเล่าเรื่องเก่าแก่นานปีให้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสามคนฟังอย่างที่หาได้ยาก

“เจี่ยเซิงผู้ผิดหวังแห่งใต้หล้าไพศาล หลังออกจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาแล้ว หากคิดจะกลายเป็นมหาสมุทรความรู้โจวมี่แห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แน่นอนว่าต้องผ่านกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปให้ได้ก่อน”

“ตอนนั้นบัณฑิตที่มีเป้าหมายว่าต้องสร้างความสงบสุขนับหมื่นปีให้แก่โลกมนุษย์ยังคงไม่ถอดใจต่อบ้านเกิดของตน จึงไปหาเฉินชิงตู เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสผู้ที่วันๆ ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องทำ”

เอ่ยมาถึงตรงนี้ โจวมี่ก็ยิ้มอย่างเข้าใจ “ถือเป็นการถ่ายทอดโองการปลอมกระมัง ตอนนั้นบอกว่าตัวเองได้การยอมรับอย่างเป็นนัยจากรองเจ้าลัทธิท่านหนึ่งของศาลบุ๋นแผ่นดินกลางและผู้อำนวยการสถานศึกษาท่านหนึ่งแล้ว ขอแค่ผู้ฝึกกระบี่หลายหมื่นคนของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสยินดีให้ความช่วยเหลือ ติดตามผู้ฝึกลมปราณของใต้หล้าไพศาลบุกเข้าไปเข่นฆ่ายังภูเขาทัวเยว่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ช่วยบุกเบิกที่ดินให้แก่ใต้หล้าไพศาล สร้างวีรกรรมที่หมื่นปีไม่เคยมีมาก่อน ถ้าอย่างนั้นสถานะนักโทษอาญาหมื่นปีของผู้ฝึกกระบี่ก็จะกลายเป็นปฏิทินเหลืองเก่าแก่ไปนับแต่นี้อย่างแท้จริง ทางศาลบุ๋นยินดียกพื้นที่มงคลขนาดใหญ่มากแห่งหนึ่งมามอบให้ผู้ฝึกกระบี่ ให้ผู้ฝึกกระบี่เป็นผู้กุมอำนาจตัดสินใจด้วยตัวเอง นับแต่นี้ไปเป็นดั่งน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง”

คนหนุ่มตาบอดที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของตำราเอ่ยว่า “ตามเหตุตามผลและตามสถานการณ์ใหญ่แล้ว ศาลบุ๋นควรจะจ่ายค่าตอบแทนเช่นนี้ ไม่ถูกสิ ต้องบอกว่าควรต้องจ่ายค่าตอบแทนเช่นนี้”

มู่จีแห่งกระโจมเจี่ยเซินในอดีต ในปัจจุบันได้กลายเป็นโจวชิงเกาลูกศิษย์คนสุดท้ายของโจวมี่

อาจารย์บอกว่าวิถีทางโลกแปรเปลี่ยนไปหลากหลาย คำพูดดีๆ มากมายกลายเป็นคำพูดที่ชั่วร้าย ก็เหมือนอย่างชื่อ ‘ชิงเกา’ ที่เขามอบให้นี้ ความหมายดั้งเดิมดีถึงเพียงใด แล้ววิถีทางโลกทุกวันนี้ล่ะ? ถ้าอย่างนั้นเจ้าในฐานะลูกศิษย์คนสุดท้ายของโจวมี่มหาสมุทรความรู้ก็ควรช่วงชิงให้สองคำนี้กลับคืนมาเป็นคำพูดที่ดีในใจคนได้อีกครั้ง

โจวมี่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แน่นอนว่าข้าต้องการให้เฉินชิงตูรับประกันว่า ในขณะที่ศึกใหญ่ปิดฉากลง ผู้ฝึกกระบี่ต้องสามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ครึ่งหนึ่ง เป็นอย่างน้อยที่สุด! ไม่อย่างนั้นแม้แต่บัณฑิตซึ่งรวมถึงเจี่ยเซิงเป็นหนึ่งในนั้นก็เป็นคนประเภทที่เสียใจภายหลังได้ง่ายและกลับคำได้ง่ายที่สุดแล้ว”

โจวชิงเกาถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสท่านนั้นตอบว่าอย่างไร?”

“เฉินชิงตูชอบเอาสองมือไพล่หลังเดินเล่นอยู่บนหัวกำแพง ข้าก็เลยเดินเล่นไปเป็นเพื่อนเขาอยู่หลายลี้ เฉินชิงตูยิ้มเอ่ยว่าเรื่องประเภทนี้ไม่เกี่ยวข้องกับข้าสักเท่าไร ขอแค่เจ้าสามารถพูดโน้มน้าวศาลบุ๋นแผ่นดินกลางและเซียนกระบี่อีกหลายคนนอกเหนือจากข้าได้ ทางฝั่งของข้าก็ไม่มีปัญหาใดๆ”

“ข้าคืออดีตสิงกวานในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เคยเป็นอยู่นานร้อยกว่าปี แน่นอนว่าใช้นามแฝง เฉินชิงตูเองก็ช่วยปิดบังตัวตนที่แท้จริงให้กับข้า คงเดาไม่ถึงสินะ?”

โจวมี่หัวเราะ ไม่รู้ว่าเหตุใด ตอนนั้นแม้ว่าเฉินชิงตูจะเอ่ยคำพูดที่น่าฟังมากเป็นพิเศษ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่คิดว่าโจวมี่จะทำได้สำเร็จมาตั้งแต่แรกแล้ว

เซียนกระบี่โซ่วเฉินยิ้มเอ่ย “คาดเดาไม่ถึงจริงๆ”

หลิวป๋ายพลันถามว่า “อาจารย์ เหตุใดป๋ายเหย่ถึงยินดีพกกระบี่ไปเฝ้าพิทักษ์ฝูเหยาทวีปเพียงลำพัง”

อาจารย์เพียงแค่หัวเราะเสียงดังลั่น แต่กลับไม่เอ่ยอธิบายอะไรให้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนนี้ฟัง

โจวชิงเกาจึงได้แต่ช่วยอธิบายให้ศิษย์พี่หญิงฟังแทนอาจารย์ด้วยความอดทน “ศิษย์พี่หญิงรู้สึกว่าป๋ายเหย่จะตายเปล่าหรือ?”

โจวชิงเกาส่ายหน้าอยู่กับตัวเอง ก่อนเอ่ยเนิบช้าว่า “ใช่แล้วก็ไม่ใช่ ถูกแล้วก็ไม่ถูก ตอนที่โจวเสินจืออยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาแทบทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทพเซียนผู้เฒ่าในใจของผู้ฝึกกระบี่ท้องถิ่น หนึ่งในอันดับสิบคนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ต่อให้ลำดับจะอยู่ไม่สูง แค่อันดับเก้าเท่านั้น แต่ก็ยังถูกมองว่าเวทกระบี่ของเขาไร้เทียมทานจากใจจริง”

“ผลคือหลังจากถูกปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ของเราตนหนึ่งฆ่าจนตายทั้งเป็น คนมากมายในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็เริ่มโอดครวญทวงความไม่เป็นธรรมให้กับไหวอินผู้ที่ ‘เอาแต่ดีดลูกคิด’ ซึ่งอยู่อันดับสิบเป็นอันดับสุดท้าย ถึงขั้นที่ว่ายังมีคนไม่น้อยที่รู้สึกว่าโจวเสินจือคือเศษสวะเฒ่าที่ฝีมือไม่สมกับชื่อเสียง เซียนกระบี่อะไรกัน ไม่แน่ว่าหากไปอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่สถานที่ป่าเถื่อนแห่งนั้น โจวเสินจืออาจไม่สามารถแกะสลักชื่อให้เป็นที่เลื่องลือได้เสมอไป พอโจวเสินจือตายไป ก็ยังมีหวานเหยียนเหล่าจิ่งที่ทรยศเผ่ามนุษย์อีก หากเปลี่ยนเป็นเจ้า เป็นขอบเขตบินทะยานแล้วจะยังเดินลงไปในน้ำขุ่นบ่อนี้อีกไหม?”

“ป๋ายเหย่ไม่ได้มีเวทกระบี่สูงกว่าโจวเสินจือหรอกหรือ? สามกระบี่สังหารปีศาจบนบัลลังก์เพื่อแก้แค้นให้โจวเสินจือหรือ? ถ้าอย่างนั้นหากป๋ายเหย่ตาย แล้วจะอย่างไรเล่า? แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่า ป๋ายเหย่ไม่ไปฝูเหยาทวีป ใครจะไปได้ ใครจะกล้าไป? ฝูเหยาทวีปก็ดี ใบถงทวีปก็ช่าง นั่นใช่สถานที่ที่จะตัดสินชัยชนะว่าใต้หล้าจะตกเป็นของใครหรือ?”

อันที่จริงหลิวป๋ายไม่ได้โง่เขลา ไม่อย่างนั้นตอนนั้นที่อยู่ในกระโจมเจี่ยเซินก็ไม่มีทางเป็นแขนซ้ายแขนขวาในเรื่องการวางแผนให้กับมู่จีได้ จึงพยักหน้าเอ่ยว่า “สุดท้ายก็ยังต้องดูสถานการณ์การสู้รบที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ขอแค่ใต้หล้าไพศาลพิทักษ์ไว้ได้อยู่ ก็จะอยู่ในสภาวะที่ยืนหยัดแข็งแกร่งมิพ่ายแพ้ พวกเราจะเจอกับปัญหายุ่งยากอย่างมาก ข้อได้เปรียบจากการชิงลงมือก่อนที่สะสมมาไว้หลายครั้งจะค่อยๆ กลายเป็นภัยแฝงน้อยใหญ่ที่ทยอยกันผุดลอยขึ้นมาพ้นผิวน้ำ”

โซ่วเฉินพลันเอ่ยว่า “ป๋ายเหย่ควรจะหยุดแต่พอสมควร แค่กลับไปที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็พอแล้ว การที่เขาบุกเบิกใต้หล้าใหม่เอี่ยมแห่งหนึ่งขึ้นมาก็ถือว่ามีคุณูปการยิ่งใหญ่ติดตัวแล้ว สังหารปีศาจบนบัลลังก์ก็มากพอให้ถามใจแล้วไม่ละอาย ควรจะเปลี่ยนให้คนอื่นขึ้นเวทีมาแสดงฝีมือบ้างได้แล้ว”

โจวชิงเกาส่ายหน้า “หากขนาดป๋ายเหย่ยังคิดเช่นนี้ เป็นคนแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็คงยึดครองใต้หล้าไพศาลมาได้ง่ายจริงๆ แล้ว”

หลิวป๋ายนับถือลูกศิษย์คนสุดท้ายที่เพิ่งได้รับการประทานชื่อจากอาจารย์ และทุกวันนี้ก็คือศิษย์น้องเล็กของนางผู้นี้มาก

ปีนั้นที่อยู่ในกระโจมเจี่ยเซิน อันที่จริงหลิวป๋ายก็นับถือความสามารถในการวางแผนของมู่จีผู้นำแห่งกระโจมทัพมากพอแล้ว

ตอนนี้กลายเป็นคนร่วมสำนัก หลิวป๋ายก็ยิ่งละอายใจที่ตัวเองสู้อีกฝ่ายไม่ได้

ยามอยู่กับอาจารย์ โจวชิงเกาไม่เคยมีท่าทางขลาดกลัว ราวกับว่าไม่เคยกลัวว่าตัวเองจะพูดผิดหรือทำผิด

ยามที่พูดคุยกับศิษย์พี่โซ่วเฉิน ก็ยิ่งไม่ตกเป็นรองแม้แต่น้อย อีกทั้งในเรื่องของคำพูดคำจาก็ยังไม่เคยจงใจว่าศิษย์น้องต้องเอาชนะศิษย์พี่ให้ได้

โจวมี่ยิ้มเอ่ย “พวกเจ้ายังคิดตื้นเขินเกินไปหน่อย”

“อย่าได้รู้สึกว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งหนึ่งขัดขวางพวกเรามานานหลายปีก็เลยรู้สึกว่าใต้หล้าของบ้านตัวเองไม่แข็งแกร่งมากพอ อืม พวกเจ้าจะรู้สึกเช่นนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร ส่วนบ้านเกิดของอาจารย์เช่นข้า ล่างภูเขาและกึ่งกลางภูเขาของใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ ทุกคนรู้สึกเช่นนี้ก็ยิ่งดี ดีมากเลยล่ะ บางครั้งมีอยู่แค่ไม่กี่คน เช่นซิ่วหู่ เช่นป๋ายเหย่ ที่ถึงจะกล้าตื่นมีสติเพียงลำพังในขณะที่ทุกคนล้วนกำลังเมามาย คนที่มากกว่านั้นกลับกลัวเรื่องนี้เป็นที่สุด ถูกคำวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงของพวกปัญญาอ่อนล่างภูเขาทำให้รำคาญใจครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่รู้จักจบจักสิ้น ถ้าเช่นนั้นความเจ้าอารมณ์ของเทพเซียนบนภูเขาก็ไม่เคยมีน้อยเลย”

กำแพงเมืองปราณกระบี่ยากที่จะยึดครองมาได้ เป็นทั้งเรื่องร้าย และอันที่จริงก็ถือว่าเป็นเรื่องดี

หลังจากตีกำแพงเมืองปราณกระบี่แตกแล้ว ค่อยมายึดครองใบถงทวีปและฝูเหยาทวีปกลับง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ ขวัญกำลังใจบนสนามรบไม่เพียงแต่ไม่ลดน้อยลง กลับกันยังเพิ่มขึ้นมาอีกส่วนหนึ่ง และยังมีทักษินาตยทวีปที่ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกตีแตกจนได้ และต้องทำลายเกราะทองทวีปให้เละ รวมไปถึงแจกันสมบัติทวีปที่อยู่ตรงหน้านี้ด้วย

“หากไม่เป็นเพราะโจวเสินจือรนหาที่ตาย เขาก็จำเป็นต้องตายอยู่ดี ไม่อย่างนั้นจะขัดขวางทิศทางการดำเนินไปของสถานการณ์ในฝูเหยาทวีปเล็กน้อย บวกกับไอ้หมอนี่ยังเป็นพวกหัวดื้อยอมรบตายไม่ยอมถอยร่น อันที่จริงข้าเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะมอบโอกาสสร้างชื่อเสียงยิ่งใหญ่ให้เขาครั้งหนึ่ง ภายหลังป๋ายเหย่จะยังออกกระบี่สังหารปีศาจบนบัลลังก์ได้อีกหรือ? ป๋ายเหย่ไม่มีโอกาสจะออกกระบี่เลยด้วยซ้ำ เพราะก่อนหน้านั้นโจวเสินจือก็ได้ใช้หนึ่งกระบี่ทำร้ายปีศาจใหญ่บัลลังก์ตนหนึ่งให้บาดเจ็บสาหัสไปแล้ว นี่แสดงให้เห็นว่า เซียนกระบี่เอย ผู้ฝึกกระบี่เอยของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ล้วนมีแต่พวกกระดาษเปียกไม่ต่างจากมดตัวน้อย ลองหันมามองดูโจวเสินจืออันดับที่เก้าของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางพวกเราสิ ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์รวมกันแล้วก็มีแค่สิบสี่ตนไม่ใช่หรือ เซียนกระบี่ผู้เฒ่าโจวของพวกเราที่อยู่ในถ้ำซานสุ่ยใช้แค่กระบี่เดียวก็จัดการปีศาจตนหนึ่งได้แล้ว ดังนั้นสงครามครั้งนี้ อันที่จริงเป็นสงครามที่รบง่ายยิ่งนัก พวกสัตว์เดรัจฉานเผ่าปีศาจพวกนั้น ทุ่มเทกำลังของครึ่งใต้หล้าตามความหมายที่แท้จริงแล้วอย่างไร ไม่เห็นจะมีค่าพอให้พูดถึงเลย”

“เพราะฉะนั้นก็เลยแค่โชคดีได้พื้นที่ของสองทวีปไปครอง”

“แล้วก็แค่เพราะว่าศาลบุ๋นแผ่นดินกลางระมัดระวังมากเกินไป พวกอริยะของลัทธิขงจื๊อทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เกินไป อีกทั้งไม่มีความรับผิดชอบในฐานะอริยะปราชญ์มากเกินไป ช่างน่าหัวเราะและน่าผิดหวัง น่าเศร้ารันทดชวนเจ็บแค้นยิ่งนัก”

หลิวป๋ายรับฟังด้วยอาการปากอ้าตาค้าง

โจวมี่ส่ายหน้าเบาๆ มองไปทางทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ยิ้มเอ่ยว่า “ใต้หล้าไพศาลยังคงไม่เปลี่ยนเลยนะ มักจะทำให้คนหัวเราะจนน้ำตาแห้งเหือดได้เสมอ”

“ผู้แข็งแกร่งไม่ถามใช่หรือไม่ ไม่แบ่งถูกผิด ขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องไร้ห่วงให้พะวงหา ขอแค่ผู้แข็งแกร่งยิ่งใหญ่แกร่งกล้าได้มากพอจริงๆ นั่งอยู่บนตำแหน่งที่สูงที่สุดได้มั่นคง คำพูด การลงมือ ต่อให้เงียบงัน ทุกอย่างก็ล้วนเป็นเหตุผล ถึงขั้นที่ว่าตลอดทั้งใต้หล้าต่างก็กำลังช่วยเขาอธิบายเหตุผล”

โจวมี่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ป๋ายเหย่ต้องตายเปล่า ถึงเวลานั้นใต้หล้าไพศาลจะได้มองเห็นความจริงอย่างหนึ่งกับตาตัวเอง ป๋ายเหย่ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจมากที่สุดถูกหลิวชาแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างฆ่าตายด้วยหนึ่งกระบี่ เพียงแค่นี้เท่านั้น ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าทุกคนไม่กลัวแม้แต่น้อยหรือ ตอนนี้จะทำให้พวกเจ้าตกใจกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อเชียวล่ะ”

——