ซิ่วไฉเฒ่าไปยังพื้นดินใหญ่ของโลกมนุษย์
เหลือบตาไปเห็นชุดสีแดงนั้นโดยบังเอิญ อารมณ์ของซิ่วไฉเฒ่าพลันดีขึ้นมากในฉับพลัน คิดว่าจะไปคุยกับเฉินฉุนอันสักสองสามคำก่อน แล้วค่อยไปหาเป่าผิงน้อย
บนหน้าผาหินริมน้ำแห่งหนึ่ง บัณฑิตผู้รอบรู้คนหนึ่งที่เปลี่ยนจากบนบ่าแบกตะวันจันทรามาเป็นตะวันจันทราลอยกลางนภาของทวีปเอ่ยขึ้นโดยไม่ได้หันหน้ากลับมามอง “หลิวชาไปฝูเหยาทวีป เซียวสวิ้นยังคงขัดขวางจั่วโย่วอยู่ระหว่างทาง”
ซิ่วไฉเฒ่าทอดถอนใจ “แม่นางน้อยมัดผมแกละสองข้างหน้าตาน่ารักมากจริงๆ แต่เวลาลงมือทำอะไรกลับไม่ค่อยน่ารักเท่าไรเลย”
เฉินฉุนอันยิ้มถาม “เจ้าไม่เคียดแค้นในสิ่งที่เซียวสวิ้นทำสักนิดเลยจริงๆ หรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ย “ถึงอย่างไรก็ต้องปล่อยให้คนอื่นได้มีชีวิตอยู่ต่อกระมัง ส่วนเรื่องอื่นๆ ควรจะทำอย่างไรก็ทำไปอย่างนั้น ทำผิดก็ต้องรับผิดชอบความผิดนั้นไว้ก่อน ถึงจะสามารถมาพูดถึงการแก้ไขความผิดได้”
เฉินฉุนอันกล่าว “จั่วโย่วลำบากใจที่สุด”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้า “ในหนังสือกับนอกหนังสือไม่เหมือนกัน บัณฑิตล้วนลำบากใจกันทั้งนั้น”
เฉินฉุนอันร้องเอ๊ะหนึ่งที ก่อนจะเอ่ยสัพยอกอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “นี่ซิ่วไฉเฒ่ากำลังจะด่าคนหรือ? จะด่าก็อย่าด่าแต่สายเหวินเซิ่งสายเดียว บัณฑิตสายบุ๋นสายอื่นๆ ก็เหมารวมไปด้วยเลยสิ”
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าว “ปฏิทินเหลืองสองสามหน้าแรกสุดนั้น เป็นข้าที่ลำบากลำบนไปขอยืมจากตาเฒ่ามาอ่าน เจ้าอยากฟังหรือไม่? อย่าว่าแต่เจ้าเลย แม้แต่อาจารย์ของเจ้าก็ไม่แน่ว่าจะรู้ชัดเจนเท่าข้า อีกอย่างเจ้าก็เป็นคนที่ชอบอ่านแต่ตำราอริยะปราชญ์ไม่ถามเรื่องนอกหน้าต่าง ไม่ชอบสืบเสาะหาฟังเรื่องยิบย่อยเก่าแก่แต่ปีมะโว้พวกนั้น แถมหย่าเซิ่งของพวกเราก็เป็นคนสำรวมระมัดระวัง ดูจากท่าทางของเขา ทุกครั้งที่เปิดหนังสือหนึ่งหน้าคงนึกอยากจะจุดธูปก่อนหนึ่งดอกเลยด้วยซ้ำ ตัวเขาเองไม่เหนื่อย แต่ข้าที่มองดูอยู่กลับเหนื่อยแทนจริงๆ”
เฉินฉุนอันยกมือข้างหนึ่งขึ้น ในมือก็มีเหล้ากาหนึ่งเพิ่มมา เขายื่นมันส่งให้ซิ่วไฉเฒ่า
ซิ่วไฉเฒ่าแกว่งกาเหล้าที่ไม่เหมือนกาเหล้าทั่วไป สุราที่อยู่ด้านในก็ยิ่งมีความมหัศจรรย์ลี้ลับ ซิ่วไฉเฒ่าขมวดคิ้ว โยนคืนให้เฉินฉุนอัน “โชคชะตาขุนเขาสายน้ำของที่แห่งนี้ เจ้าเก็บไว้เองเถิด ข้าไม่ขาดของเล็กน้อยแค่นี้หรอก”
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าว “ตอนนี้เรี่ยวแรงข้ามีไม่มากพอ เจ้าช่วยแบ่งสมาธิมาอำพรางให้สักหน่อยเถอะ หากเกิดช่องโหว่ เผยความลับสวรรค์ออกไป จะโทษเจ้าทั้งหมดเลย”
เฉินฉุนอันรีบช่วยสกัดกั้นฟ้าดินทันที
ขอแค่ต้องพูดเรื่องเป็นการเป็นงาน ซิ่วไฉเฒ่าไม่เคยทำตัวเลอะเลือน
ซิ่วไฉเฒ่ามองไปยังกระแสน้ำกว้างใหญ่ที่อยู่นอกหน้าผาหิน แล้วเริ่มพูดเจื้อยแจ้วถึงปฏิทินเหลืองบางช่วงตอนให้เฉินฉุนอันฟัง
เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน เผ่ามนุษย์เดินขึ้นเขาแล้วจึงเดินขึ้นสู่ยอดเขา ก่อนจะเดินขึ้นสู่สวรรค์ ทำลายสรวงสวรรค์เสียจนปริแตกพังทลายในคราวเดียว บ้างก็สังหาร บ้างก็ขับไล่บุคคลที่อยู่สูงส่งเหนือผู้ใดเหล่านั้น บุคคลที่มองเผ่ามนุษย์เป็นดั่งต้นกำเนิดควันธูป ควบคุมความเป็นความตายของเผ่ามนุษย์ทุกคนอย่างกำเริบเสิบสานจึงสลายหายวับไปราวกับฝุ่นควันนับแต่นั้น ในความเป็นจริงแล้วเมื่อนาทีนั้นมาถึงจริงๆ เผ่ามนุษย์แทบทุกคนล้วนไม่กล้าเชื่อสายตาของตัวเอง ไม่กล้าเชื่อว่าตัวเองชนะแล้วจริงๆ ดูเหมือนว่านับแต่นี้ไปตลอดทั้งฟ้าดินจะมีเผ่ามนุษย์เป็นผู้รับผิดชอบบุกเบิกสันติสุขหมื่นปีแล้วจริงๆ
เผ่าปีศาจที่ดำรงอยู่มานานยิ่งกว่าเผ่ามนุษย์มีทั้งความผิดแล้วก็มีทั้งความชอบ อันที่จริงก็ยังคงผูกปมแค้นลึกล้ำอยู่กับเผ่ามนุษย์ แต่สุดท้ายก็ยังได้ฟ้าดินหนึ่งในสี่ส่วนไปครอง ซึ่งก็คือใต้หล้าเปลี่ยวร้างในยุคหลัง อาณาเขตของขุนเขาสายน้ำกว้างใหญ่ไพศาล แต่ทรัพยากรกลับแร้นแค้นเป็นที่สุด ปราณวิญญาณค่อนข้างจะบางเบา หลังจากนั้นมาผู้ฝึกกระบี่ที่สร้างคุณูปการอย่างใหญ่หลวงก็เกิดความขัดแย้งภายในกันเองที่ใหญ่เทียมฟ้าน่าพรั่นพรึง จึงถูกเนรเทศให้มาอยู่แถบกำแพงเมืองปราณกระบี่ในทุกวันนี้ สร้างกำแพงสูงขึ้นมา บรรพจารย์สามท่านทยอยกันปรากฎตัว สุดท้ายร่วมแรงกันสร้างค่ายกลใหญ่ให้กับกำแพงเมืองปราณกระบี่ สามารถมองข้ามฟ้าอำนวยของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แบ่งพื้นที่หนึ่งมาครอบครองตั้งตนเป็นอิสระ หยัดยืนตระหง่านไม่ล้มลง
เฉินฉุนอันถาม “ปีนั้นผู้ฝึกกระบี่ยุคบรรพกาลเหล่านั้นยอมแตกหักกับทุกฝ่ายอย่างไม่เสียดาย เพราะเกิดจากสาเหตุใดกันแน่? ข้ารู้แค่ว่าตอนนั้นหากไม่เป็นเพราะฝ่ายในของผู้ฝึกกระบี่แตกแยกกันเองก่อน สภาพการณ์ของใต้หล้าในทุกวันนี้จะเป็นอย่างไรก็บอกได้ยากจริงๆ”
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าวอย่างสะท้อนใจ “ยังจะเป็นอย่างไรได้อีก ผู้ฝึกกระบี่คือผู้ฝึกกระบี่ที่พลังพิฆาตรุนแรงที่สุดในฟ้าดิน คือคนที่ขึ้นฟ้าไปสังหารสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้มากที่สุด ผู้ฝึกกระบี่กลุ่มหนึ่งในนั้นมีนิสัยเห่อเหิมทะเยอทะยาน รู้สึกว่าซากปรักของสรวงสวรรค์ที่แม้แต่บรรพจารย์ของสามลัทธิก็ไม่คิดจะไปแตะต้องควรถูกร่ายตราผนึกให้เป็นพื้นที่หวงห้าม แต่ผู้ฝึกกระบี่กลุ่มนี้กลับยังรู้สึกว่าควรให้พวกเขาได้เป็นผู้ครอบครอง กากเดนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่หนีไป พวกเขารับปากว่าจะไล่สังหารไปทีละตนจนสิ้นซาก ไม่ต้องให้คนอื่นเป็นกังวลใจ ส่วนผู้ฝึกกระบี่อีกกลุ่มหนึ่งที่มีพวกเฉินชิงตู หลงจวินและกวนจ้าวเป็นผู้นำกลับรู้สึกว่าไม่ควรทำเช่นนี้ สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเขตอิทธิพลที่ใหญ่ยิ่งกว่าเดิมในโลกมนุษย์ เลือกที่จะพักรักษาตัว ผลลัพธ์ก็คือผลลัพธ์นั้น เกิดการต่อสู้กันอย่างรุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง สู้กันจนเกือบจะฟ้าพลิกแผ่นดินคว่ำอีกรอบ”
“แม้ว่าผู้ฝึกกระบี่กลุ่มของเฉินชิงตูต่างก็ไม่ได้ลงมือ ทว่ามีบรรพจารย์ผู้บุกเบิกขุนเขาของสำนักการทหารที่ยืนอยู่ข้างผู้ฝึกกระบี่ฝ่ายที่ออกกระบี่มานานแล้ว อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวจริงๆ พวกเขาก็เกือบจะชนะแล้ว”
เฉินฉุนอันถามอีก “ตอนนั้นเผ่ามนุษย์คว้าชัยชนะมาอย่างสะบักสะบอม แล้วจะวางใจในตัวผู้ฝึกกระบี่ที่เหลืออยู่หรือ? ไม่กลัวหนึ่งในหมื่นหรือไร? ผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเฉินชิงตูนี้ แม้ว่าตอนนั้นจะไม่ได้ออกกระบี่ แต่เมล็ดพันธ์ความเกลียดแค้นมีมากมายขนาดนั้น ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องกลายมาเป็นต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ปราณกระบี่พวยพุ่งทะลุชั้นเมฆ ขอแค่พวกเฉินชิงตู กวนจ้าวเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา หรือไม่ผู้ฝึกกระบี่เกิดความขัดแย้งกับเผ่ามนุษย์ฝ่ายอื่นอีก ก็จะต้องออกกระบี่จริงๆ แล้ว”
“ดังนั้นไงล่ะ”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยอย่างจนใจ “ดังนั้นถึงได้กลายเป็นนักโทษอาญา น่าสงสารหรือไม่? แน่นอนว่าน่าสงสารอย่างถึงที่สุด แต่เจ้าก็ต้องรู้ว่า ในเวลานั้นแม้แต่นักโทษอาญา พวกผู้ฝึกกระบี่ที่เหลืออยู่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะได้เป็น! เจ้าลองดูพวกผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ยุคหลังสิ ศาลบุ๋นของพวกเราเคยไปบังคับกะเกณฑ์สักนิดไหม? ตอนนั้นบรรพจารย์รองของสำนักการทหารท่านหนึ่งสูญเสียคู่รักไป ก็ป่าวประกาศไปโดยตรงว่า เจ้าพวกคนดุร้ายพยศยากกำราบพวกนี้ มีนิสัยใกล้เคียงกับพวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากที่สุด สักวันหนึ่งต้องกลายมาเป็นปัญหาใหญ่เทียมฟ้า ผู้ฝึกกระบี่กลุ่มก่อนหน้านี้ก็ไม่ยอมศิโรราบไม่ใช่หรือ? รู้สึกว่าตัวเองมีคุณูปการใหญ่หลวงก็เลยอยากจะยึดครองซากปรักสรวงสวรรค์ ดีมาก ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่อยากจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์กลุ่มใหม่ พวกคนที่เหลืออยู่ซึ่งเปลี่ยนใจทยอยกันเข้าร่วมสนามรบเพื่อออกกระบี่ก็มีไม่ใช่น้อย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่สู้ทั้งสองฝ่ายทำอะไรให้ฉับไวหน่อย อย่างมากทั้งสองฝ่ายก็แค่ตีกันอีกไม่กี่ร้อยปี แล้วค่อยมาดูกันว่าฝ่ายใดจะถูกสังหารจนสิ้นซากก่อนกัน แบบนี้กลับจะสบายมากกว่า วันหน้าพันปีหมื่นปีถึงจะได้มีสันติสุขที่แท้จริง!”
ในใจเฉินฉุนอันพลันกระจ่างแจ้ง
ซิ่วไฉเฒ่าโบกชายแขนเสื้อเบาๆ “ดูให้ดีล่ะ บางเรื่องเป็นตาเฒ่าที่เอ่ยด้วยตัวเอง บางเรื่องกลับเป็นภาพที่ข้าจินตนาการขึ้นมาเอง แต่เมื่อเอาสองอย่างมารวมกันก็ต้องอยู่ห่างจากความจริงอีกไม่ไกลแน่นอน”
เฉินฉุนอันทอดสายตามองไป ริมตลิ่งลำคลองใหญ่เวลานี้ปรากฎเงาร่างในยุคบรรพกาลอันห่างไกลมากมาย
เงาร่างแต่ละเงาที่อยู่ตรงริมตลิ่งนั้นคล้ายอยู่ห่างกันไม่ไกล แต่ก็คล้ายว่าอยู่ไกลกันคนละฟ้าดิน
อาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งยืนอยู่ริมน้ำ เวลาเหมือนสายน้ำที่ไหลริน เขาคล้ายจะกระจ่างแจ้งถึงอะไรบางอย่าง
ภิกษุสีหน้าเฉยชาคนหนึ่งยืนอยู่บนริมตลิ่งฝั่งตรงข้ามกับอาจารย์ผู้เฒ่า มองมายังฝั่งนี้
นักพรตเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ริมน้ำ กำลังวักน้ำล้างหน้า มีวัวดำตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่ด้านข้าง จากนั้นนักพรตเด็กหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมา คล้ายกับว่าคลี่ยิ้มบางๆ ให้กับซิ่วไฉเฒ่าและเฉินฉุนอันที่อยู่ในช่วงกาลเวลาของอีกหมื่นปีให้หลัง
บุรุษร่างกำยำสองมือกุมดาบ สวมเสื้อเกราะคนหนึ่งขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา ทว่าปราณสังหารกลับพวยพุ่ง มองไปยังคนหนุ่มสะพายกระบี่คนหนึ่งที่อยู่ใกล้กับเขามากที่สุด
การปรึกษาหารือริมลำน้ำครั้งนี้
มีผู้ฝึกกระบี่คนเดียวที่เข้าร่วมด้วย นามว่าเฉินชิงตู
นอกจากนี้ยังมีบรรพจารย์สองท่านของเผ่าปีศาจที่มาเข้าร่วมประชุมด้วย คนหนึ่งในนั้นก็คือเจ้าแห่งภูเขาทัวเยว่ในยุคหลัง บรรพบุรุษใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง อีกท่านหนึ่งก็คือป๋ายเจ๋อ
ข้างกายป๋ายเจ๋อมีบุรุษสวมชุดเขียวใบหน้าเป็นชายวัยกลางคน ก็คือหลี่เซิ่ง
ห่างออกไปไกลยิ่งกว่านั้นมีเรือนกายใหญ่โตมโหฬารที่เปี่ยมไปด้วยปณิธานเก่าแก่นับไม่ถ้วน เพียงแต่ว่าค่อนข้างพร่าเลือน ต่อให้เป็นเฉินฉุนอันก็ยังมองไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของอีกฝ่าย
ห่างไปไกลที่สุด จุดที่ห่างจากทุกคนไกลมากที่สุด มีเรือนกายสูงใหญ่เรือนกายหนึ่งคล้ายกำลังนั่งรวบเส้นผมสีนิลอยู่
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ย “ตอนนั้นประโยคแรกที่เฉินชิงตูเปิดปากพูดช่างแข็งกระด้างเหมือนเอากระดูกสันหลังไปค้ำยันฟ้าดินเอาไว้ แค่ประโยคเดียว! เฉินชิงตูพูดว่าตีกันก็ตีสิ”
ราวกับว่าคนหนุ่มสะพายกระบี่ที่อยู่ริมตลิ่งของแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้าจะเอ่ยเช่นนี้จริงๆ
ซิ่วไฉเฒ่าชี้ไปยังบริเวณใกล้เคียงกับคนหนุ่มสะพายกระบี่ ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ยักษ์ที่เอาสองมือกุมดาบคนนั้นเปลี่ยนเป็นเอามือข้างหนึ่งกุมดาบ อีกมือหนึ่งนวดคลึงปลายคาง ‘ดีมาก’
ห่างไปไกลยิ่งกว่า ป๋ายเจ๋ออยากจะเปิดปากพูด แต่กลับถูกหลี่เซิ่งกระตุกชายแขนเสื้อเบาๆ ส่ายหน้าบอกเป็นนัยว่าไม่ต้องรีบร้อน
เรือนกายสูงใหญ่ที่อยู่ไกลที่สุดนั้น แม้ว่าร่างจะพร่าเรือนแต่น้ำเสียงเย็นชากลับชัดเจนยิ่ง ‘ข้าช่วยเฉินชิงตู’
ภิกษุที่อยู่ฝั่งตรงข้ามส่ายหน้า
ส่วนนักพรตเด็กหนุ่มกลับถอนหายใจเบาๆ ‘ศัตรูใหญ่ที่แท้จริงบนมหามรรคา ล้วนมองไม่เห็นกันหรือ?’
ต่อให้จะแค่มองม้วนภาพแห่งกาลเวลาของเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนอยู่ไกลๆ ต่อให้จะรู้ดีถึงผลลัพธ์ในท้ายที่สุด อารมณ์ของเฉินฉุนอันก็ยังหนักอึ้งอย่างห้ามไม่ได้
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะหึหึ “ต่อจากนี้ก็ถึงคราวที่ตาเฒ่าของพวกเราจะออกหน้าบ้างแล้ว ใจกว้างๆ ใจกว้างแค่ไหน เจ้าคิดว่าคำพูดจากใจจริงของข้าเหล่านั้นเป็นแค่คำประจบสอพลอเท่านั้นจริงๆ หรือ? แค่นั้นยังไม่พอหรอก!”
เฉินฉุนอันเห็นเพียงว่าอาจารย์ผู้เฒ่า หรือก็คือปรมาจารย์มหาปราชญ์ของใต้หล้าไพศาลโบกมือ จากนั้นก็เดินมาหยุดอยู่ข้างคนหนุ่มสะพายกระบี่ กดด้ามกระบี่เอาไว้เบาๆ ขณะเดียวกันก็เงยหน้ายิ้มกล่าว ‘ข้าจะดูแลผู้ฝึกกระบี่เอง ข้าขอสาบานว่า ไม่ว่าวันหน้าผู้ฝึกกระบี่เลือกอย่างไร จะออกกระบี่แก่ใคร สายลัทธิขงจื๊อของพวกเราจะเป็นผู้แบกรับผลกรรมและความรับผิดชอบทั้งหมดเอง’
ภิกษุที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพนมสิบนิ้ว นักพรตริมลำคลองพยักหน้าเบาๆ
จากนั้นอาจารย์ผู้เฒ่าก็เก็บสายตากลับมา ยิ้มเอ่ยกับคนหนุ่มสะพายกระบี่ว่า ‘เฉินชิงตู เชื่อข้าเถอะ ในอนาคตข้าจะต้องมีคำอธิบายให้แก่ผู้ฝึกกระบี่ให้จงได้ ไม่กล้าบอกว่าจะต้องดีมากถึงเพียงใด แต่รับรองว่าไม่ถือว่าเลวร้ายอย่างแน่นอน’
‘เฉินชิงตู หากเจ้าไม่เชื่อใจข้า นั่นก็ยิ่งไม่เป็นปัญหาเข้าไปใหญ่ ต่อจากนี้เจ้าก็แค่ออกกระบี่ให้สาแก่ใจ ข้าจะเป็นผู้ปกป้องผู้ฝึกกระบี่แห่งใต้หล้าให้เอง ถึงอย่างไรก็เคยชินกับเรื่องแบบนี้มานานแล้ว’
เฉินฉุนอันพลันมีสีหน้าจริงจัง สีหน้าของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อผู้มีความรู้ลึกซึ้งถึงแก่นผู้นี้ยิ่งเคร่งขรึมเข้มงวด ก่อนจะหันหน้าหาปรมาจารย์มหาปราชญ์เมื่อหมื่นปีก่อน แล้วประสานมือคารวะอยู่ไกลๆ
คารวะอริยะที่แท้จริงในใจของเฉินฉุนอัน
เรือนกายสูงใหญ่ที่อยู่ห่างไปไกลที่สุดเอ่ยอย่างเฉยชา ‘หากตีกันจริงๆ ย่อมดีที่สุด หากไม่ตีกัน วันหน้าข้าจะไปยังถิ่นของพวกเจ้า’
ซิ่วไฉเฒ่าเก็บม้วนภาพแห่งกาลเวลากลับมา
ลำน้ำใหญ่นอกหน้าผาไม่มีเงาร่างใดๆ เหลืออยู่อีกแล้ว
นี่ก็คือเรื่องจริงและความจริง
ไม่อย่างนั้นปีนั้นใครเล่าจะให้คำจำกัดความแก่ผู้ฝึกกระบี่ที่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่ามากที่สุดว่านักโทษอาญาได้?! คือทุกคนที่เว้นจากผู้ฝึกกระบี่! ไม่เพียงแค่เผ่ามนุษย์ แม้แต่บรรพบุรุษสองท่านของเผ่าปีศาจก็รวมอยู่ด้วย
แล้วนับประสาอะไรกับที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นยึดครองเหตุผลไปเสียทั้งหมด
ฝักกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ไม่อาจควบคุมกระบี่ได้อยู่ จิตแห่งมรรคาของผู้ฝึกตนมิอาจควบคุมเวทคาถา วันหน้าไม่ว่าจะผ่านไปกี่พันกี่หมื่นปี เผ่ามนุษย์ก็มีแต่จะกลายเป็นเพียงดินโคลนเหลวเละกองหนึ่งเท่านั้น!
เมื่อก่อนสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่สูงส่งบนม่านฟ้า เห็นเผ่ามนุษย์ทุกคนที่อยู่บนพื้นดินเป็นดั่งหุ่นเชิดที่จะชักใยอย่างไรก็ได้ หรือว่าวันหน้าเผ่ามนุษย์ก็จะนอนหมอนสูงหลับสนิทได้อย่างไร้กังวลแล้ว? จากนั้นก็เริ่มหันมาเข่นฆ่ากันเอง?
ตอนนั้นผู้นำสองท่านของเผ่าปีศาจที่เป็นตัวแทนเข้าร่วมประชุม อันที่จริงก็มีความเห็นต่างอย่างใหญ่หลวงต่อการที่จะเนรเทศผู้ฝึกกระบี่ คนหนึ่งยอมรับ คนหนึ่งไม่ยอมรับ
แต่ในเมื่อได้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างส่วนหนึ่งมาเป็นของตนแล้วก็ไม่มีอะไรให้ต้องพูดมากความอีก เพียงแต่ผู้ครองใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนผู้ฝึกกระบี่เป็นนักโทษอาญานั้น กลับไม่มีทางคิดได้เลยว่าสถานที่ที่นักโทษอาญาจะไปปักหลักอยู่อาศัยจะเป็นระหว่างใต้หล้าเปลี่ยวร้างกับใต้หล้าไพศาล
เพราะถึงอย่างไรเมื่อเทียบกับผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นเผ่ามนุษย์ซึ่งถือว่าเป็นคนกันเองแล้ว บุญคุณความแค้นระหว่างเผ่าปีศาจและเผ่ามนุษย์ก็ย่อมซับซ้อนมากยิ่งกว่า
ตอนนั้นที่ริมลำคอง บรรพบุรุษใหญ่สองคนของเผ่าปีศาจที่เข้าร่วมการประชุม คนหนึ่งคือเจ้าของภูเขาทัวเยว่ อีกคนหนึ่งก็คือป๋ายเจ๋อที่ภายหลังถูกสยบไว้ในหอพิทักษ์เมืองในนาม
เหตุใดกากเดนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลที่มีมากมายขนาดนั้นซึ่งยอมอยู่เฉยมานานหมื่นปี อยู่ดีๆ ถึงได้พากันโผล่พรวดออกมา อีกทั้งยังมุ่งหน้ามาหาใต้หล้าไพศาลของพวกเราด้วย? ไม่ได้ไปต่อสู้กับป๋ายอวี้จิง ไม่ได้ไปกระทืบเท้าใส่ภูเขาทัวเยว่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง? นั่นก็เพราะใต้หล้าไพศาลยอมรับผู้ฝึกกระบี่ทั้งหมดในใต้หล้าเอาไว้ แรกเริ่มสุดบัณฑิตสองคนเป็นผู้แบกรับภาระในการรักษาควันธูปไว้ให้กับผู้ฝึกกระบี่ในใต้หล้า! ไม่อย่างนั้นอย่างมากใต้หล้าไพศาลกับใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็เป็นแค่ฟ้าดินสองแห่งที่ตัดขาดออกจากกัน ไหนเลยจะยังต้องทำสิ่งที่เกินความจำเป็น สร้างกำแพงเมืองปราณกระบี่ขึ้นมาเพื่อให้มีคนตายอยู่ที่นั่นนานเป็นหมื่นๆ ปี? แล้วยังทำให้ใต้หล้าไพศาลกับกำแพงเมืองปราณกระบี่เห็นกันและกันเป็นศัตรูอีกด้วย?
ไม่ว่าจะอย่างไร ในเมื่อลัทธิขงจื๊อกล้าใช้หลักการเหตุผลเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนเพื่อเรื่องนี้ ต้องยอมรับการโจมตีจากนอกฟ้านานนับหมื่นปี!
อริยะปราชญ์ที่มีรูปปั้นซึ่งนั่งพิทักษ์ม่านฟ้าทุกคนล้วนต้องดึงมหามรรคาของตัวเองออกมา ส่วนร่างจริงก็ไปอยู่ฟ้านอกฟ้า ติดตามหลี่เซิ่งเข้าร่วมการเข่นฆ่าสังหารของที่แห่งนั้น ทิ้งไว้เพียงจิตหยินให้อยู่ในบ้านเกิด เรื่องมาถึงตอนนี้ มีใครบ้างที่ไม่ใช่ครึ่งคนครึ่งผี? ไม่ได้มีจุดจบดั่งวิญญูชนจงขุยแห่งใบถงทวีป? เป็นเช่นนี้มาตั้งนานแล้ว
กากเดนยุคบรรพกาลที่สามารถรอดพ้นหายนะครั้งหนึ่งมาได้ กลุ่มที่เคยอยู่ในตำแหน่งสูงอย่างถึงที่สุด บ้างก็ร่างทองแหลกสลายไปอย่างสิ้นเชิง บ้างก็ถูกบีบให้ลงมาจุติเกิดเป็นมนุษย์
ส่วนอื่นๆ ที่เหลือ จำนวนไม่นับว่ามาก แต่มีคนใดบ้างที่ไปมีเรื่องด้วยง่าย?
เหตุใดเฉินชิงตูถึงได้ยินดีพกกระบี่ไปยังภูเขาทัวเยว่ ก็เพื่อชดใช้คืนน้ำใจ เหตุใดถึงยินดีเฝ้าพิทักษ์อยู่บนหัวกำแพงนานนับหมื่นปี นั่นก็เพราะต้องการทวง ‘คำอธิบาย’ ที่เหมาะสมถูกต้องจากปรมาจารย์มหาปราชญ์มาให้กับผู้ฝึกกระบี่!
ไม่อย่างนั้นในสายตาของพวกเจ้า เขาเฉินชิงตูจะไม่ใช่เศษสวะ เศษสวะไร้ความสามารถที่ใหญ่เทียมฟ้าหรอกหรือ?
——