บทที่ 728.2 ห้าสูงสุด สี่กระบี่เซียน หนึ่งป๋ายเหย่

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เห็นเพียงว่าสองข้างทางของเส้นทางเทพในเวลานั้นล้วนมีแต่ผู้สูงศักดิ์หวงจื่อและเทพเซียนที่ฝึกตนของอารามใหญ่แห่งต่างๆ อีกทั้งทุกคนทั้งตกตะลึงทั้งรู้สึกยินดี ตะลึงที่ก่อนเหวินเซิ่งจะมาที่นี่ไม่เคยไปเหยียบย่างจวนตระกูลเซียนแห่งใดนอกเหนือจากสำนักศึกษาและสถานศึกษาของลัทธิขงจื๊อมาก่อน ดังนั้นจึงถือว่าเขาแหกกฎเพื่อภูเขามังกรพยัคฆ์แล้ว อีกทั้งว่ากันว่ายังเป็นเหวินเซิ่งที่เป็นฝ่ายส่งมอบเอกสารให้กับจวนเทียนซือด้วยตัวเอง ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนที่อยู่ในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของภูเขามังกรพยัคฆ์แห่งนี้ก็ยังอดรู้สึกปลาบปลื้มไม่ได้ ที่ยินดีก็เพราะเหวินเซิ่งมาเยือนภูเขามังกรพยัคฆ์ อีกทั้งตอนนั้นยังเป็นช่วงที่เขาเพิ่งจะชนะการโต้วาทีของสามลัทธิมาอีกครั้งด้วย และยิ่งมีการกระทำอันน่าครั่นคร้ามสองครั้งติดต่อกัน ครั้งหนึ่งคือไปเยือนม่านฟ้า ยืดคอบอกกับเต๋าเหล่าเอ้อว่าฟันมาตรงนี้สิ ฟันมาตรงนี้เลย อีกครั้งก็คือหลังการโต้วาทีเสร็จสิ้นได้เชิญให้บรรพบุรุษของพุทธเต๋าสองลัทธินั่งลง

ซิ่วไฉเฒ่ามีเทวรูปอยู่ในตำแหน่งสูงถึงอันดับที่สี่ของศาลบุ๋น ชนะการโต้วาทีสองครั้งติด นี่จึงเป็นเหตุให้ยามนั้นที่เหวินเซิ่งมาปรากฎตัวยังภูเขามังกรพยัคฆ์อย่างที่ไม่มีใครคาดคิด แม้แต่เทียนซือใหญ่ก็ยังออกมาต้อนรับเขาที่หน้าประตูภูเขาด้วยตัวเองอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

สุดท้ายซิ่วไฉเฒ่ากับเทียนซือใหญ่ของรุ่นนั้นก็ไปนั่งอยู่ในห้องโถงด้านหน้าด้วยซ้ำ ปากซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยถ้อยคำที่จริงใจ แต่สายตากลับเหล่มองห้องโถงกลางอยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่ดื่มน้ำชาหนึ่งอึกก็จะหัวเราะหึหึหนึ่งที

ในที่สุดซิ่วไฉเฒ่าก็รู้สึกเกรงใจเกินกว่าจะก้าวข้ามธรณีประตูไป จึงไปเดินเตร็ดเตร่ที่อื่นแทน

เห็นภูเขาบรรพบุรุษของภูเขามังกรพยัคฆ์เป็นราวกับสวนหลังบ้านตัวเองอย่างไรอย่างนั้น ถึงอย่างไรเขาก็มีเหตุผล เกรงใจกับเจ้าบ้านมากเกินไปจะไม่ถือว่าเป็นแขกที่ดีสักเท่าไร

ซิ่วไฉเฒ่าอดไม่ไหวหันกลับไปมองกลอนคู่และกลอนแนวนอนอีกครั้ง ไม่เสียแรงที่ปีนั้นตนเอาทั้งแปรงเอาทั้งกาวขึ้นเขามาด้วย ไม่ต้องรบกวนให้เทียนซือใหญ่ต้องเปลืองแรงติดแผ่นกลอนแม้แต่น้อย

อะไรที่เรียกว่าแขก นี่เรียกว่าแขกผู้ทรงเกียรติต่างหาก!

ไปยังตำหนักเต้าเต๋อซึ่งเป็นศาลบรรพจารย์ของภูเขามังกรพยัคฆ์ ในนั้นแขวนภาพของบรรพจารย์แต่ละยุคแต่ละสมัย และยังมีเทียนจวินที่มีเทวรูปอีกสิบสองท่าน นอกจากลูกศิษย์เอกสองคนของเทียนซือใหญ่ในรุ่นแรกแล้ว คนอื่นๆ ล้วนเป็นเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ในประวัติศาสตร์ของภูเขามังกรพยัคฆ์ทั้งสิ้น

บนเสาใหญ่ในศาลบรรพจารย์มียันต์มังกรทองแปดตัวแปะอยู่ เล่าลือกันว่าขอแค่เซียนเหรินช่วยแต้มนัยน์ตาให้ จากนั้นนำไปไว้บนเมฆขาวก็จะมีมังกรถือกำเนิดขึ้นมาจากก้อนเมฆ ออกไปสยบกำราบปีศาจชั่วร้ายทุกตนที่ทำผิดกฎโดยการเข้ามาในภูเขา

ซิ่วไฉเฒ่าทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง บรรพจารย์เปิดภูเขาของภูเขามังกรพยัคฆ์สมกับเป็นวีรบุรุษเสียจริง ปีนั้นหลี่เซิ่งนำพาทุกคนออกเดินทางไกลไปกำราบกากเดนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เหลืออยู่ แม้ว่าผลลัพธ์ที่ได้จะไม่มาก เพราะถึงอย่างไรความกว้างใหญ่ของนอกฟ้าก็มากเกินกว่าจะจินตนาการได้ถึง ตราผนึกก็ยิ่งมีมากมายจนน่าเหลือเชื่อ แต่อันที่จริงการเข่นฆ่าที่ดุเดือดก็มีอยู่หลายครั้ง เทียนซือใหญ่รุ่นแรกของภูเขามังกรพยัคฆ์ตายไประหว่างที่เดินทางกลับ และการที่คนผู้นี้กายดับมรรคาสลาย ในระดับใหญ่แล้วก็ถือว่าได้ทำให้ภูเขามังกรพยัคฆ์สูญเสียคำกล่าวที่ว่า ‘ผู้นำแห่งสายยันต์’ ในยุคหลังไป แต่ก็ไม่ถือว่าฝูลู่อวี๋เสวียนฉกฉวยโอกาสตอนที่คนอื่นตกอยู่ในอันตราย ก็แค่มาชดเชยความขาดบนมหามรรคาเท่านั้น

ซิ่วไฉเฒ่าประสานมือคารวะอยู่นอกประตู ถือเป็นการคารวะปราชญ์ผู้ล่วงลับอยู่ไกลๆ

บ่อสวรรค์แห่งหนึ่งมีชื่อว่าบ่อสยบปีศาจ ปากบ่อแขวนกระจกหยกดิบไว้บานหนึ่ง คุมขังภูตผีที่ออกอาละวาดซึ่งถูกจวนเทียนซือสยบกำราบมาจากพื้นที่ต่างๆ แล้วเอากลับมาขังบนภูเขา

บริเวณโดยรอบบ่อสวรรค์ล้อมรั้วหยกขาวเอาไว้ป้องกัน แกะสลักเป็นรูปสัตว์ทั้งเก้าซึ่งมีเจียวหลงสีขาวหิมะเป็นหนึ่งในนั้น คือแก่นสายฟ้าที่ผู้สูงศักดิ์หวงจื่อของจวนเทียนซือแต่ละรุ่นหลอมขึ้นมา

ตำหนักใหญ่แห่งหนึ่งที่ไม่เคยเปิดใช้งาน บนประตูใหญ่แปะยันต์ที่เทียนซือใหญ่แต่ละรุ่นใช้ตราประทับเทียนซือซึ่งเป็นของแทนตัวปลุกเสกลงไปชั้นแล้วชั้นเล่า เล่าลือกันว่าด้านในสยบกำราบปีศาจชั่วร้ายไว้นับไม่ถ้วน

เทียนซือใหญ่แต่ละรุ่น ตลอดชีวิตจะมีการประทับตราก่อนหลังสองครั้ง แบ่งออกเป็นตอนรับตราประทับและตอนลาตราประทับ

เรือนด้านหลังที่พักส่วนตัวของเทียนซือใหญ่ยังปลูกต้นกุ้ยโบราณพันปีที่ร่มเงาไม้ไหวพะเยิบพะยาบไว้ต้นหนึ่ง สูงพ้นเหนือกำแพงไปมาก ซิ่วไฉเฒ่ามองหาบนพื้นอยู่นานก็ยังหาก้อนหินไม้เจอแม้แต่ก้อนเดียว

ต้นกุ้ยต้นนี้คือเผ่าพันธุ์ดวงจันทร์ดั้งเดิมต้นหนึ่งที่เทียนซือใหญ่ได้มายามพกกระบี่ออกเดินทางท่องไปยังแจกันสมบัติทวีปในอดีต ใช้ดอกกุ้ยมาหมักเป็นเหล้ากุ้ยฮวา ฝังอยู่ท่ามกลางน้ำและเมฆ เอามาใช้รับรองแขก รสชาติเลิศล้ำเป็นหนึ่งบนภูเขา

ส่วนการเดินทางไกลข้ามทวีปครั้งนั้น แน่นอนว่าจ้าวเทียนไล่ไปฟันเจ้าคนชุดชมพูที่เป็นเจ้าของหอหลิวหลีซึ่งเผ่นหนีไปตลอดทาง เป็นศิษย์น้องเล็กของเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาวแล้วอย่างไร พี่ใหญ่เทียนไล่ก็ยังดูแลไล่ฟันไม่ขาดตกบกพร่อง

เทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์สะพายกระบี่ลงจากเขา เดิมทีก็เป็นการแสดงบารมีอยู่ไกลๆ ต่อนครจักรพรรดิขาวอย่างหนึ่ง แน่นอนว่าน้องไหวเซียนผู้นั้นก็แค่พิถีพิถันเรื่องมิตรภาพร่วมสำนักน้อยไปหน่อยเท่านั้น

น้อยครั้งนักที่ซิ่วไฉเฒ่าจะรู้สึกเลื่อมใสในความกล้าของคนอื่นเช่นนี้ ทว่าเจ้าคนที่ทุกวันนี้ใช้นามแฝงว่าหลิ่วชื่อเฉิงคนนั้นนับว่าใช้ได้ ถือว่าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันครึ่งตัวกับคนพายเรือเฒ่าแห่งเกาะกุ้ยฮวาลูกศิษย์คนแรกของลู่เฉิน

เคยไปหาเรื่องเทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ โดนยันต์เต่าแบกศิลาของฝูลู่อวี๋เสวียนเล่นงานไปรอบหนึ่ง อยู่ในแจกันสมบัติทวีปกว่าจะรอดพ้นไปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วยังทยอยไปหาเรื่องเสี่ยวฉีกับผิงอันน้อย แล้วยังมีหลี่ซีเซิ่งหนึ่งในเต๋าเหล่าต้า เทพวารีหลี่หลิ่ว…

ช่างสมกับเป็นชายชาตรี เป็นคนมีความสามารถคนหนึ่งจริงๆ

มารดามันเถอะ คราวหน้าที่เจอหน้ากันจะเรียกเจิ้งจวีจงว่าน้องชายก่อนหนึ่งคำ แล้วค่อยให้เรียกเจ้าหลิ่วชื่อเฉิงว่าพี่หลิ่วก็ยังได้

เพราะถึงอย่างไรนครจักรพรรดิขาวกับสายเหวินเซิ่ง แต่ไหนแต่ไรมาก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวอยู่แล้ว เพียงแต่พอซิ่วไฉเฒ่าคิดอีกทีก็อดรู้สึกเศร้าใจไม่ได้ มีความสัมพันธ์อันดีกับผู้นำแห่งวิถีมารนี่นะ

หอชื่อซู

คือสถานที่ที่เก็บรักษากรอบป้าย กลอนคู่ที่จวนตระกูลเซียนใหญ่ทุกแห่งหรือไม่ก็อริยะปราชญ์ของศาลบุ๋นแผ่นดินกลางมอบให้ รวมไปถึงเก็บรักษาพระราชโองการ จดหมายและบทเชิญเทพของฮ่องเต้แคว้นต่างๆ

ด้านในหอเก็บรักษาหนังสือทองแผ่นป้ายหยกและอักษรคำเขียวไว้นับไม่ถ้วน ความเข้มข้นของโชคชะตาบุ๋น ความเปี่ยมล้นของปราณวิญญาณ หากเอ่ยคำตามคำกล่าวของซิ่วไฉเฒ่าก็คือให้คนมองได้แค่แวบเดียวก็ต้องหันหน้าไปทางอื่นไม่มองอีก มองไม่ได้ มองไม่ได้ มองนานไปแล้วง่ายที่จะเกิดความละโมบ

ซิ่วไฉเฒ่าพลันมีสีหน้ากระอักกระอ่วน นักพรตหญิงหน้าตางดงามที่เฝ้าพิทักษ์พื้นที่ต้องห้ามแห่งนี้มีรูปโฉมเป็นหญิงสาว ทว่าลำดับศักดิ์ในจวนเทียนซือกลับสูงมาก เดิมทีนางก็เฝ้าพิทักษ์ฟ้าดินเล็กอยู่แล้ว บวกกับที่มีขอบเขตเป็นเซียนเหริน นางสัมผัสได้ถึงภาพปรากฏการณ์เสี้ยวหนึ่งของซิ่วไฉเฒ่าอย่างเฉียบไวจึงรีบมาปรากฎตัวตรงหน้าประตูทันที คำนับกราบตามพิธีของลัทธิเต๋า ไม่เพียงแต่ไม่ได้ซักไซ้เอาความผิดจากซิ่วไฉเฒ่าที่บุกเข้ามาในที่แห่งนี้โดยพลการ กลับกันยังใช้เสียงในใจถามเบาๆ ว่า “นายท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ไม่ทราบว่าอาจารย์จั่วยังสบายดีหรือไม่?”

ซิ่วไฉเฒ่ากระทืบเท้า “ลูกศิษย์คนนี้ของข้าถูกน้ำมันหมูบดบังใจ เป็นคนตาบอดหรือไร ปีนั้นถึงได้ตัดใจออกกระบี่ทำร้ายให้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของแม่นางจ้าวบาดเจ็บได้ลงคอ เอาเมล็ดพันธ์เซียนกระบี่กลับภูเขามังกรพยัคฆ์ พูดคุยปรึกษากับแม่นางจ้าวดีๆ มันยากนักหรือ?!”

ไม่ต้องสนหน้าอินทร์หน้าพรมอะไร ด่าลูกศิษย์ตัวเองก่อนค่อยว่ากัน ด่าเสร็จซิ่วไฉเฒ่าจึงเก็บสีหน้าขุ่นเคืองกลับคืน เอ่ยปลอบใจเสียงเบาว่า “เจ้าทึ่มจั่วโย่วผู้นั้นยังสบายดี ทำให้แม่นางจ้าวเป็นกังวลแล้ว”

นักพรตหญิงโล่งอก ยิ้มเอ่ยว่า “ลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนนั้นของข้าเป็นผู้สูงศักดิ์หวงจื่อ แต่กลับใช้มรรคกถาพร่ำเพื่อ ออกกระบี่ไร้เหตุผล หากตกมาอยู่ในมือของข้า มีแต่จะถูกลงโทษหนักกว่านั้น”

ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะร่า “ข้าไปเดินเล่นเองก่อนล่ะ ไม่กล้ารบกวนการฝึกตนอย่างสงบของแม่นางจ้าวแล้ว”

นักพรตหญิงพยักหน้ารับเบาๆ

เทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์คือศิษย์พี่ของนาง

อันที่จริงคำเรียกขานว่าผู้สูงศักดิ์หวงจื่อที่แตกกิ่งก้านสาขาให้กับจวนเทียนซือ ส่วนใหญ่ล้วนไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่แท้จริง ดังนั้นในเรื่องของลำดับศักดิ์จึงค่อนข้างจะพิเศษ มีการแบ่งลำดับศักดิ์ของทำเนียบตระกูลศาลบรรพจารย์และทำเนียบเต๋า จุดที่ประหลาดยิ่งกว่านั้นอยู่ที่ฝ่ายหลังต้องการย้ายไปอยู่ฝ่ายแรก ไม่ใช่ฝ่ายแรกที่ต้องหลีกทางให้ฝ่ายหลัง ดังนั้นนางกับจ้าวเทียนไล่จึงมีลำดับศักดิ์เท่าเทียมกัน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่งในจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์

หลังจากที่ซิ่วไฉเฒ่าจากไปก็ยังรู้สึกเจ็บปวดใจไม่หาย ขอแค่จั่วโย่วฉลาดสักหน่อย อาจารย์อย่างตนก็คงพอจะพึ่งใบบุญเขาได้บ้าง พอจะถือว่าเป็นผู้อาวุโสของจ้าวเทียนไล่ผู้นั้นครึ่งตัวแล้ว ถ้าอย่างนั้นศิษย์น้องเล็กของเจ้าจั่วโย่วก็ไม่ใช่ว่ามีลำดับศักดิ์เท่าเทียมกับเทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์เลยหรอกหรือ? จากนั้นค่อยทำให้ภูเขาลั่วพั่วได้เชื่อมสัมพันธ์ผ่านการแต่งงานกับภูเขามังกรพยัคฆ์ครึ่งตัว ภูเขาพยัคฆ์แห่งนี้จะไม่ดีใจตายเลยหรอกหรือ?

ในสวนร้อยบุปผาแห่งหนึ่ง เล่าลือกันว่าพื้นที่มงคลร้อยบุปผาที่เทียนซือใหญ่ทุกรุ่นต้องไปเที่ยวเยี่ยมเยือน เจ้าบุปผาแห่งพื้นที่มงคลกับเหล่าเทพทั้งสิบสองท่านต่างก็ตั้งใจปลูกดอกไม้หลากหลายชนิดเพื่อนำมาทำเป็นของขวัญแสดงความเคารพต่อจวนเทียนซือ

มีบ่อสายฟ้าขนาดเล็กแห่งหนึ่งตั้งอยู่กลางแท่นฝนหมึกขนาดเท่าฝ่ามือ ตรงด้านล่างสลักตัวอักษรว่าบ่อสายฟ้าแห่งที่สาม วัตถุชิ้นนี้มองดูคล้ายไม่สะดุดตา แต่แท้จริงแล้วกลับมีคำเรียกขานว่าบ่อที่สาม ระดับขั้นเป็นรองแค่บ่อชำระกระบี่ของภูเขาห้อยหัว รวมไปถึงบ่อสายฟ้าบางแห่งที่เล่าลือกันว่าไปหล่นอยู่ในอุตรกุรุทวีปเท่านั้น

ถูกวางไว้บนโต๊ะหนังสือของเทียนซือใหญ่มาโดยตลอด ทุกปีจวนเทียนซือจะต้องมีพิธีเปิดพู่กัน หากเทียนซือใหญ่ปิดด่านหรือออกเดินทางไกลก็จะมอบหน้าที่นี้ให้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่เป็นผู้สูงศักดิ์หวงจื่อแห่งจวนเทียนซือให้ทำหน้าที่ถือพู่กัน ‘จุ่มหมึก’ เขียนยันต์ตำราทองแทน นอกจากจะเอามาใช้ในบ้านตัวเองแล้ว ส่วนที่เหลือบ้างก็นำไปมอบให้จักรพรรดิของราชวงศ์ บ้างก็มอบให้เซียนบนภูเขา ยันต์ห้าอสนีดั้งเดิมแผ่นหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดินำไปมอบให้กับจวนวารีศาลภูเขา เพื่อสยบโชคชะตาของขุนเขาสายน้ำ หรือว่าศาลบรรพจารย์ของสำนักมอบให้แก่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดในทำเนียบวงศ์ตระกูล เอาไว้เป็นสมบัติล้ำค่าในการโจมตีป้องกันกายชิ้นหนึ่ง ก็ล้วนมีประสิทธิผลโดดเด่น หากถูกนำไปบูชาเป็นสมบัติล้ำค่าก็ยิ่งไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด

ไม่พูดถึงค่ายกลขุนเขาสายน้ำที่เชื่อมโยงกับเส้นทางมังกรและยอดเขามากมาย ลำพังเพียงแค่โลงลอยคราบร่างสองร้อยเซียนที่ประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัด ยากจะคาดเดาวิธีการนำไปใช้ที่ลอยอยู่บนหน้าผาพวกนั้น นั่นก็คือการสยบกำราบที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง

พูดถึงแค่ทะเลเมฆนอกหอเด็ดดาวสามแห่งที่สูงต่ำไม่เท่ากัน ต่างก็มีความพิถีพิถันคนละแบบ ต่างก็เป็นการแสดงออกทางมหามรรคาในบางความหมายซึ่งจำแลงออกมาเป็นเทพพิรุณ แม่ทัพฟ้าร้อง ราชาสายฟ้าที่ต่างก็รับผิดชอบเฝ้าพิทักษ์ทะเลเมฆแห่งหนึ่ง

นี่ก็คือรากฐานอันหนาลึกล้ำที่จวนเซียนบนยอดเขาแห่งหนึ่งตั้งใจก่อร่างสร้างขึ้นมานานหลายพันปี

ในประวัติศาสตร์ยุคสมัยที่ภูเขามังกรพยัคฆ์มีพลังอำนาจโชติช่วงที่สุด มีตำหนักเต๋าใหญ่สิบแห่ง อารามเต๋าแปดสิบเอ็ดแห่ง นอกจากนี้ยังมีหกทวีปห้าสิบแคว้นอยู่ในใต้หล้าไพศาล ในบรรดานั้นครอบคลุมไปถึงราชวงศ์ใหญ่สิบแห่งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ต่อให้ต้องเผาผลาญกำลังทรัพย์มหาศาล แต่ก็ต้องสร้างเรือนเต๋า อารามเต๋า สถานที่ประกอบพิธีกรรม ส่งตัวเมล็ดพันธ์ผู้ฝึกตนระดับขั้นสูงสุดในแคว้นขึ้นเขาแห่งนี้มาฝึกตนให้จงได้

ดังนั้นภูเขามังกรพยัคฆ์ในเวลานั้นจึงไม่เพียงแต่มีชื่อเรียกขานที่ไพเราะว่า ‘นครแห่งเต๋าของใต้หล้า’ ยังเป็นผู้นำของสามภูเขาสายยันต์ในนาม เป็นผู้ปกครองลัทธิเต๋าแห่งใต้หล้าอีกด้วย

ยันต์และกระถางโอสถไม่แยกบ้านกัน ถึงอย่างไรก็ล้วนอยู่บนภูเขามังกรพยัคฆ์

สายเต๋าควันธูปทอดยาว ไกลนานแปดพันปี

หากพูดถึงจำนวนของการแกะสลักบนหน้าผาและการเขียนป้ายศิลาจารึก ก็มีมากจนนับไม่ถ้วน ภูเขามังกรพยัคฆ์แพ้ให้แค่ภูเขาสุ้ยซานเท่านั้น

พูดถึงเรื่องทรัพย์สมบัติ เมื่อเทียบกับภูเขาลั่วพั่วของลูกศิษย์คนสุดท้ายบ้านตน ตอนนี้ภูเขามังกรพยัคฆ์ยังเหนือกว่าเล็กน้อย

ปัญหาก็คือภูเขามังกรพยัคฆ์เก็บสะสมของดีที่ไม่ค่อยได้เอามาใช้ประโยชน์มากมายขนาดนี้ จะยืมก็ยืมมาไม่ได้ จะขนไปก็ขนไม่ได้เหมือนกัน จะว่าไปแล้วก็ยังเป็นเพราะจำนวนครั้งที่มาเยือนน้อยเกินไป ความสัมพันธ์ควันธูปที่สะสมไว้ยังไม่มากพอ

แล้วก็โชคดีที่จั่วโย่วไม่อยู่ข้างกาย ไม่อย่างนั้นอาจารย์ต้องมีคำพูดที่จะกล่าว ซิ่วไฉเฒ่าต้องมีเหตุผลที่จะเอ่ยอย่างแน่นอน เป็นลูกศิษย์ไม่มีอะไรให้ต้องพูด ดีเยี่ยมๆ แต่จะเป็นศิษย์พี่ได้อย่างไร?

ริ้วคลื่นในใจกระเพื่อมขึ้นมา ตามมาด้วยคำถามของเทียนซือใหญ่ภูเขามังกรพยัคฆ์ “ดูพอแล้วหรือยัง?”

ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง เดินก้าวหนึ่งก็ไปถึงขั้นบันไดของหอเด็ดดาว เห็นภาพอันงดงามที่หางจิ้งจอกสีขาวหิมะสิบหางปูเต็มพื้นที่แล้วก็ร้องโอ้โหหนึ่งที ตะโกนเสียงดังว่า “แม่นางเลี่ยนเจิน ยิ่งงดงามมากกว่าเดิมแล้ว งามจนไร้คำบรรยาย สิบทัศนียภาพของภูเขามังกรพยัคฆ์จะเพียงพอได้อย่างไร ภาพอันงดงามของโลกมนุษย์ที่หิมะกดทับหอเด็ดดาวเช่นนี้ ต้องเป็นทัศนียภาพอันดับที่สิบเอ็ดของภูเขามังกรพยัคฆ์ถึงจะถูก ไม่ถูกสิ ไม่ถูกสิ ลำดับขั้นต่ำเกินไป…”

เลี่ยนเจินรีบโคจรวิชาอภินิหารเก็บหางจิ้งจอกทั้งสิบมา พริบตาเดียวก็มาอยู่ขั้นบันไดด้านล่าง กราบคำนับ แล้วเอ่ยเรียกซิ่วไฉเฒ่าด้วยความเคารพว่านายท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งเหมือนอย่างเซียนนักพรตหญิงที่ดูแลหอชื่อซูผู้นั้น

ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มพลางโบกมือ “ไม่ใช่คนอื่นคนไกลกันสักหน่อย แม่นางเลี่ยนเจินจะเกรงใจกันเช่นนี้ไปไย ทำให้ข้ากระวนกระวายใจแล้วนะ”

จ้าวเทียนไล่มาหยุดอยู่บนบันไดขั้นแรก แล้วเดินขึ้นที่สูงเคียงข้างซิ่วไฉเฒ่าไปช้าๆ

นักพรตน้อยนั่งขัดสมาธิอยู่ริมขอบของหอเด็ดดาว ทอดสายตามองทะเลเมฆไกลๆ อยู่กับตัวเอง ทำเป็นว่าไม่มีซิ่วไฉเฒ่าคนนี้อยู่

ซิ่วไฉเฒ่าถามเสียงเบา “เหตุใดปีนั้นถึงได้ปฏิเสธข้อเสนอของฮว่อหลงเจินเหริน? ไม่ให้นักพรตน้อยรับตำแหน่งเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ต่อ? ภูเขามังกรพยัคฆ์ขาดทุน จวนเทียนซือยิ่งขาดทุน ด้วยนิสัยของฮว่อหลงเจินเหรินคนนั้น ต่อให้จะออกจากตำแหน่งนี้ ก็มีแต่จะยิ่งปกป้องภูเขามังกรพยัคฆ์มากยิ่งกว่าในอดีต”

จ้าวเทียนไล่ถามกลับ “หากข้าต้องกายดับมรรคาสลายไปเพราะเหตุนี้ หรือขอบเขตถดถอยกลายเป็นเซียนเหริน เทียนซือใหญ่ต่างแซ่คนหนึ่งที่อายุน้อยอีกทั้งขอบเขตยังไม่สูงมากพอ มีแต่ตำแหน่งที่ว่างเปล่า แต่กลับต้องแบกรับบุญคุณความแค้นมากมายบนภูเขาไว้แต่เนิ่นๆ สำหรับพวกเขาสองอาจารย์และศิษย์แล้วล้วนไม่ใช่เรื่องดีอะไร แทนที่จะปล่อยให้ถูกสถานการณ์ใหญ่หอบหุ้มไว้ภายใน ก็ไม่สู้ให้คนหนุ่มได้เดินบนเส้นทางของตัวเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ฮว่อหลงเจินเหรินก็ไม่ต้องรู้สึกผิดต่อภูเขามังกรพยัคฆ์ ถือว่าเป็นการพบเจอกันที่ดีและจากลากันที่ดีก็แล้วกัน”

มรรคกถาในใต้หล้า กลุ่มผู้กล้าพากันประชันขันแข่ง ต่างคนต่างมีความสูงส่งเป็นของตัวเอง

สำหรับฝูลู่อวี๋เสวียน สำหรับฮว่อหลงเจินเหริน จ้าวเทียนไล่ล้วนมีความคิดเช่นนี้

ผู้สูงศักดิ์หวงจื่อหลายคนของจวนเทียนซือ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังยอมรับยศ ‘ฝูลู่’ ไม่ได้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้ แต่หากจ้าวเทียนไล่ที่เป็นเทียนซือใหญ่ผูกติดความคิดอยู่แต่กับเรื่องนี้ นั่นต่างหากถึงจะทำให้ระบบการสืบทอดของภูเขามังกรพยัคฆ์มีอันตรายซ่อนแฝงอย่างแท้จริง ไม่ใช่ว่าจะไม่ประชันขันแข่งเสียเลย แต่จะแข่งขันกันในจุดที่ใหญ่ยิ่งกว่าบนมหามรรคา ไม่อย่างนั้นหากยอดเขาของบ้านอื่นผุดสูงขึ้นมาจากพื้นราบ ภูเขามังกรพยัคฆ์ก็จะต้องใช้กระบี่ปาดยอดเขาทิ้งไป ไม่ก็ใช้ตราประทับตบไม้เด่นเกินไพรเหล่านั้นให้แหลก หรือไม่ก็เป็นอวี๋เสวียนที่ใช้ยันต์สยบข่มยอดเขา ชายแขนเสื้อข้างหนึ่งของฮว่อหลงเจินเหรินใช้ย้ายภูเขา…หากเป็นเช่นนี้ สายมากมายของระบบเต๋าในพื้นที่ของใต้หล้าไพศาลก็ยอมรับสามสายของป๋ายอวี้จิงเป็นบรรพบุรุษไปเลยแล้วกัน

ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ารัวๆ เป็นไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก “ใช่ๆๆ วีรบุรุษไม่พูดถึงผลได้ผลเสีย เพียงแค่ในใจรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดเท่านั้น มหามรรคา มหามรรคา จะดีแต่ปากพูดอย่างเดียว ทว่าเท้ากลับแอบขัดขากันไม่ได้”

คำพูดประโยคนี้ของซิ่วไฉฟังแล้วควรต้องปล่อยผ่านไป

จ้าวเทียนไล่ถามตรงๆ ว่า “มาเพื่อป๋ายเหย่หรือ?”

ซิ่วไฉเฒ่าเองก็ไม่ได้ปิดบัง ทำตัวอวดฉลาดต่อหน้าเทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์มีแต่จะเป็นการปล่อยไก่ ดังนั้นจึงพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “การกระทำของตาเฒ่าบนภูเขาสุ้ยซาน เจ้าต้องมองออกอย่างแน่นอน จั่วโย่วลูกศิษย์คนนั้นของข้าถูกเซียวสวิ้นขัดขวางเป็นอุปสรรคใหญ่เกินไป ส่วนลู่จือที่ออกมาจากทักษินาตยทวีป ถึงอย่างไรก็ยากจะสู้หลิวชาได้ ดังนั้นพูดไปพูดมา สนามรบของฝูเหยาทวีป สุดท้ายจะมีแค่ป๋ายเหย่กับอวี๋เสวียน คนทั้งสองเผชิญหน้ากับปีศาจบนบัลลังก์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเจ็ดตน หากหลิวชาออกกระบี่อย่างเต็มกำลังขึ้นมาต้องทำให้ขุนเขาสายน้ำของทวีปหนึ่งเปลี่ยนสีแน่นอน”

——