สำหรับเรื่องนี้เติ้งเหลียงมองการณ์ไกลยิ่งกว่าฉีโซ่วและเกาเหย่โหว เขาเป็นฝ่ายไปดื่มเหล้ากับคนทั้งสองด้วยตัวเอง ความหมายคร่าวๆ ก็คือการออกกระบี่ของหนิงเหยาไม่เพียงแค่ระบายโทสะ กลับยิ่งคุ้มค่า เพราะเมื่อเป็นเช่นนี้ แม้จะผูกปมแค้นกับผู้ฝึกตนตลอดทั้งใบถงทวีปก็จริง แต่เท่ากับว่าเป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างนครบินทะยานกับผู้ฝึกตนของฝูเหยาทวีปให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น สามารถทำให้ฝ่ายหลังสบายใจขึ้นได้หลายส่วน เกิดความใกล้ชิดกับนครบินทะยานอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น นี่ก็คือใจคนของใต้หล้าไพศาล สามารถเอามาใช้ประโยชน์ในทางที่ดีได้ ส่วนเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของใบถงทวีปพวกนั้น อย่าเห็นว่าทุกวันนี้แต่ละคนเป็นเดือดเป็นแค้นไม่แพ้กัน ในอนาคตสถานะเซียนซือฝ่ายนอกของนครบินทะยาน ขอแค่เปิดช่องให้ อีกฝ่ายมีแต่จะยิ่งยินดีทุ่มเงินไม่น้อยหน้ากัน
หลังจากหนิงเหยากลับมายังนครบินทะยาน อารมณ์ของนางกลับไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
ท่ามกลางม่านสนธยาของวันนี้ หนิงเหยาไปที่ร้านเหล้าอย่างที่หาได้ยาก คนเฝ้าประตูเมืองเล็กถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีต ทุกวันนี้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนเถ้าแก่ของร้านเหล้า มีชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองไม่น้อย ทุกวันพวกผีขี้เหล้าพวกนักพนันที่มาที่ร้านมีมากมาย
หนิงเหยายกชามเหล้า มองไปยังป้ายสงบสุขปลอดภัยที่แขวนไว้บนผนังของร้าน
เจิ้งต้าเฟิงเพียงแค่ยิ้มเอ่ยทักทายหนิงเหยาหนึ่งคำ จากนั้นก็กดเสียงลงต่ำต่อ ในมือถือชามเหล้า นั่งยองอยู่ริมถนนพูดจาเหย้าหยอกพวกลูกค้า หลักๆ คือพูดว่าคืนนั้นเขาฝันดีอย่างไรบ้าง เซียนหญิงฝูหรงยี่สิบสี่คนในฝัน แต่ละคนงามล่มบ้านล่มเมืองปานใด สุดท้ายทอดถอนใจเอ่ยประโยคหนึ่งว่าบุรุษอย่างเราๆ มีใครบ้างที่ในใจไม่กักขังสตรีเอาไว้คนหนึ่ง หนุ่มโสดอะไรกัน อันที่จริงใต้หล้านี้ไม่มีคนโสดอะไรทั้งนั้น โดยเฉพาะคนที่เคยดื่มเหล้าในร้านข้าที่ยิ่งไม่ใช่คนโสด
อันที่จริงเมื่อครู่ตอนที่หนิงเหยาปรากฎตัว บรรยากาศของร้านนี้ก็พลันเปลี่ยนไป
มีเพียงหนิงเหยาเข้าร้านมาแล้ว บรรยากาศถึงได้กลับคืนมาเป็นปกติได้หลายส่วน
ช่วยไม่ได้ เวทกระบี่ของหนิงเหยาสูงขึ้นทุกทีแล้ว บารมีอำนาจยิ่งนานก็ยิ่งมากขึ้น ดังนั้นนครบินทะยานจึงมองนางเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสคนที่สองไปโดยปริยาย
เหนือสามสายอย่างสิงกวาน อิ่นกวานและจวนเฉวียนฝู่ขึ้นไป มีหนิงเหยาคนเดียวที่ได้ครอบครองตำแหน่งเฉพาะเพียงลำพัง นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินแล้ว
โชคดีที่หนิงเหยาไปที่ร้าน ไม่อย่างนั้นเหล้านี้คงต้องดื่มอย่างระมัดระวังกันมากขึ้นแล้ว
มีเด็กหนุ่มที่ฟังความนัยในคำพูดของเจิ้งต้าเฟิงไม่เข้าใจ จึงได้แต่หัวเราะอย่างโง่งม ถามเถ้าแก่เจิ้งว่าพูดเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมถึงกักขังสตรีคนหนึ่งไว้ หรือว่าจะเป็นวิชาอภินิหารที่มีเฉพาะในใต้หล้าไพศาลพวกเจ้า? สามารถเรียนรู้ได้หรือไม่?
เจิ้งต้าเฟิงยกชามเหล้าขึ้นก็มีคนรีบเติมเหล้าให้เขาจนเต็มทันที เจิ้งต้าเฟิงกระดกดื่มเหล้าไปชามใหญ่ จากนั้นก็มองไปยังโต๊ะเหล้าที่อยู่ใกล้เคียง มีผู้ฝึกกระบี่หญิงของตระกูลชั้นสูงบนถนนอวี้ฮู่เก่านั่งอยู่ ทุกวันนี้นางมักจะพาพวกผู้ฝึกกระบี่หญิงหลายคนมาดื่มเหล้าที่นี่ ใช้เงินมือเติบยิ่งนัก พอเจิ้งต้าเฟิงกวาดตาเขม้นมองม้านั่งอยู่หลายที ผีขี้เหล้าที่อยู่ด้านข้างก็ขยับเส้นสายตาตาม จากนั้นก็พยักหน้าพร้อมกัน เข้าใจแล้วๆ มิน่าเล่ายิ่งนานม้านั่งตัวยาวของร้านเหล้าก็ยิ่งแคบลงทุกที เถ้าแก่เจิ้นสมกับเป็นคนมีความรู้ที่เคยเล่าเรียนเขียนอ่านมาก่อนจริงๆ
ในขณะที่สตรีผู้นั้นจะหันหน้ามา เจิ้งต้าเฟิงก็รีบถอนสายตากลับ เช็ดปากเบาๆ หันหน้าไปพูดกับเด็กหนุ่มว่าน้องชายความคิดของเจ้าช่างต่ำช้า ต่ำช้ายิ่งนัก ไหนเลยจะมีวิชาอภินิหารอะไร ในใจบุรุษคิดถึงสตรีผู้หนึ่งบ่อยๆ ก็ถือว่าได้เป็นคู่รักเทพเซียนที่สาบานว่าจะรักกันไปชั่วชีวิตในใจของตัวเอง อีกทั้งไม่ว่าสตรีผู้นั้นจะเป็นเทพธิดาบนภูเขาหรือสตรีด้านล่างภูเขาก็มักจะมีรูปโฉมของตอนอายุสิบกว่าปีหรือไม่ก็รูปโฉมตอนอายุยี่สิบกว่าปีไปตลอดกาล งดงามหรือไม่เล่า? แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องที่งดงาม
ทุกคนกระจ่างแจ้งในฉับพลัน มารดามันเถอะ ฟังแล้วมีเหตุผลอยู่บ้างจริงๆ นะนี่
เจิ้งต้าเฟิงมือหนึ่งเกาหัว อีกมือหนึ่งยกชามเหล้าให้คนข้างๆ รินเหล้าให้เต็มชามอีกครั้ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า พวกเราพี่น้องลุกขึ้นมาเกาหัว ยกดื่มกันเถิด
เจิ้งต้าเฟิงดื่มเหล้า รอยยิ้มยังคงเดิม เพียงแต่ว่าบางครั้งในสายตายามที่ก้มหน้าลงดื่มเหล้าได้ซุกซ่อนถ้อยคำบางอย่างที่ไม่อาจเอ่ยออกมา ไม่เห็นน้ำสุรา มองเห็นคนอยู่ไกลๆ
หนิงเหยาดื่มเหล้าแล้วก็ไปหาบุคคลอันดับสองของสายสิงกวานอย่างเหนี่ยนซินคนเย็บผ้าด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก
ไม่ว่าผู้ฝึกตนกระบี่คนใดของสายอิ่นกวานที่มาพบคนผู้นี้ บางทีอาจเป็นเรื่องต้องห้าม แน่นอนว่าหนิงเหยาคือข้อยกเว้น
ที่พักของเหนี่ยนซินอยู่ในตรอกเล็กห่างไกลเส้นหนึ่ง ที่พักเรียบง่ายอย่างยิ่ง
ท่ามกลางม่านราตรี หลังจากหนิงเหยาเข้ามานั่งในห้องแล้วก็พูดเข้าประเด็นทันที “ผู้อาวุโสเหนี่ยนซิน เขาทิ้งจดหมายไว้ที่ท่านใช่หรือไม่?”
เหนี่ยนซินที่สวมชุดคลุมอาคมตัวใหญ่พยักหน้ารับ “ทิ้งจดหมายไว้ฉบับหนึ่งจริง แต่ตามข้อตกลงระหว่างข้ากับเฉินผิงอัน ตอนนี้ยังไม่อาจมอบให้เจ้าได้ ในความเป็นจริงแล้วจดหมายลับฉบับนี้ แม่นางหนิงเหยาไม่ต้องเปิดอ่านตลอดชีวิตจะดีที่สุด”
ระหว่างที่เหนี่ยนซินพูด สองนิ้วก็ขยี้ไส้ตะเกียงที่วางอยู่บนโต๊ะเบาๆ
หนิงเหยาพยักหน้า เพียงแค่ชำเลืองตามองตะเกียงประหลาดดวงนั้น ไม่ได้ขอจดหมายลับมาจากเหนี่ยนซิน
คิดไม่ถึงว่าเหนี่ยนซินจะหยิบจดหมายลับออกมาจากชายแขนเสื้อ ยิ้มเอ่ย “แต่ข้ารู้สึกว่าเจ้าควรจะแกะออกอ่านเสียแต่เนิ่นๆ ไม่แน่ว่าอาจเป็นนิมิตหมายมงคลอย่างหนึ่ง”
หนิงเหยารู้สึกลังเลเล็กน้อย
เหนี่ยนซินวางจดหมายลับไว้บนโต๊ะ พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ข้ารักษาสัญญา เก็บรักษาจดหมายฉบับนี้ไว้เป็นอย่างดี”
ในความเป็นจริงแล้วเฉินผิงอันทยอยมอบจดหมายออกไปสามฉบับ นอกจากจดหมายฉบับที่มอบให้เหนี่ยนซินแล้ว ยังมีอีกฉบับหนึ่งที่มอบให้กับผู้สืบทอดยอดเขาเพียนหรานสำนักกระบี่ไท่ฮุย ผู้ฝึกกระบี่ป๋ายโส่ว
ตอนนั้นเขาพูดกับเด็กหนุ่มเป็นการส่วนตัวว่า หากอาจารย์ของเจ้าค่อนข้างเสียใจจนถึงขั้นต้องหาเหล้าดื่มเพียงลำพัง ค่อยมอบจดหมายฉบับนี้ให้กับอาจารย์ของเจ้า
บนจดหมายฉบับนั้น เฉินผิงอันขอร้องหลิวจิ่งหลงแค่เรื่องเดียว ช่วยอธิบายเหตุผลกับผีสาวสวมชุดแต่งงานผู้นั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ เฉินผิงอันรู้สึกว่าหลิวจิ่งหลงมีแต่จะทำได้ดียิ่งกว่าตัวเอง
จดหมายอีกฉบับ ตอนนั้นมอบให้กับเหวยเหวินหลงที่เรือนชุนฟาน อันที่จริงถือเป็นจดหมายหนึ่งฉบับที่บรรจุจดหมายไว้สองฉบับ ล้วนเป็นจดหมายที่มอบให้กับทางบ้าน ฉบับหนึ่งมอบให้จูเหลี่ยน อีกฉบับหนึ่งมอบให้หลิวเสี้ยนหยาง
จดหมายทางบ้านที่มอบให้กับภูเขาลั่วพั่วฉบับนั้น เขียนเรื่องมากมายไว้อย่างละเอียด หนึ่งในนั้นคือบอกให้เฉาฉิงหล่างรับหน้าที่เป็นเจ้าขุนเขาคนถัดไป ขณะเดียวกันก็ต้องดูแลเผยเฉียนให้ดี
จดหมายลับในมือหนิงเหยาที่มอบให้เหนี่ยนซินเก็บรักษาฉบับนี้ คือฉบับที่ตอนนั้นอิ่นกวานหนุ่มยกพู่กันขึ้นเขียนก่อนฉบับใด แต่กลับเขียนเสร็จช้าที่สุด
หนิงเหยาแกะจดหมายออก พออ่านประโยคแรกหนิงเหยาก็รีบหันตัวไปอีกด้านทันที
เหนี่ยนซินถอนหายใจเบาๆ อิ่นกวานหนุ่มผู้นั้น ไม่รู้ว่าเขียนประโยคทุเรศอะไรบนจดหมาย ถึงทำให้สตรีอย่างหนิงเหยาต้องหลบเลี่ยงเช่นนี้
เหนี่ยนซินลุกขึ้นยืนเงียบๆ นำตะเกียงดวงที่อยู่บนโต๊ะไปด้วย ทิ้งห้องไว้ให้หนิงเหยาอยู่คนเดียว
หนิงเหยายังคงอยู่ในท่าเดิม อ่านประโยคแรกบนจดหมายที่อ่านไปแล้วรอบหนึ่งซ้ำอีกครั้ง
‘หนิงเหยา วางใจเถอะ ข้าคิดถึงเจ้าตลอดเวลา ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตก็จะยังคงเป็นเช่นนี้’
เนื้อหาต่อจากนั้นบนจดหมาย บางส่วนหนิงเหยาก็อ่านน้อยหน่อย บางส่วนหนิงเหยาก็อ่านหลายรอบ
‘ขอโทษนะ ทั้งๆ ที่สถานการณ์ใหญ่เป็นเช่นนี้ แต่ข้ากลับยังทำอะไรตามแต่ใจ สภาพการณ์ของชีวิตเหมือนยามเยาว์ตอนขึ้นไปบนเก็บสมุนไพรบนภูเขาแล้วยืนอยู่ข้างลำธารอีกครั้ง เพียงแต่ว่าปีนั้นข้ามผ่านไปได้แล้ว จากนั้นก็โชคดีได้เจอกับเจ้า ครั้งนี้ทำไม่ได้ ทำให้เจ้าเสียใจแล้ว หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ควรไปหาเจ้าที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว เพียงแต่ว่าจะเป็นไปได้อย่างไร จะไม่ไปหาเจ้าได้อย่างไร ต่อให้ข้ามีโอกาสอีกหมื่นครั้ง ข้าก็จะยังไปหาเจ้าหมื่นครั้ง’
‘ช่วยไม่ได้ เฉินผิงอันไม่มีทางเป็นเด็กกำพร้าในตรอกหนีผิงไปได้ตลอดกาล แล้วก็ไม่มีทางเป็นลูกศิษย์เตาเผาที่ไม่ว่าเรียนรู้อะไรก็เชื่องช้าไปได้ตลอดกาล ไม่อาจเป็นเจ้าขุนเขาของภูเขาลั่วพั่วเขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลีไปได้ตลอดกาลเช่นกัน แน่นอนว่ายิ่งไม่อาจเป็นอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปได้ตลอด สิ่งเดียวที่พอจะทำได้ก็คือเป็นเฉินผิงอันที่ชอบหนิงเหยา อันที่จริงนับตั้งแต่เติบใหญ่มา ช่วงเวลาหลายปีที่ออกเดินทางไกลก็ดี ช่วงที่ได้หยุดพักก็ช่าง ล้วนไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอิสระ ไม่เคยรู้สึกว่าลำบากอะไร ความผิดหวังนั้นย่อมต้องมีบ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก็แค่ว่ามีความหวังมากกว่าเท่านั้น’
‘เพียงแต่ว่ามีคำพูดจากใจจริงบางอย่างที่เจ้าฟังแล้วมักจะเขินอายจนพานเป็นโกรธอยู่เสมอ ข้าเลยได้แต่เหลือค้างไว้ เจ้าเคยถามข้าว่าชอบคนคนหนึ่ง มีอะไรร้ายกาจนักหนา? ข้าอยากบอกกับเจ้ามาโดยตลอดว่า เฉินผิงอันชอบหนิงเหยา หนิงเหยาชอบเฉินผิงอัน แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ร้ายกาจที่สุดในใต้หล้านี้แล้ว เวลาหมื่นหมื่นปีในโลกมนุษย์ก็จะมีเพียงพวกเราที่ชอบกันและกันไงล่ะ’
ได้พบเจอหนิงเหยา คือเรื่องที่เฉินผิงอันมีความสุขที่สุดหลังจากอายุสี่ขวบ
สวัสดีแม่นางหนิง พ่อข้าแซ่เฉิน แม่ข้าแซ่เฉิน เพราะฉะนั้นข้าจึงชื่อเฉินผิงอัน
หนิงเหยา เจ้าต้องสงบสุขปลอดภัยตลอดไปนะ
หนิงเหยาเก็บจดหมาย หลับตาเงียบงันเนิ่นนาน สุดท้ายก็ลุกขึ้นยืนเดินมาที่หน้าประตู นางยื่นนิ้วไปกดหว่างคิ้วอีกครั้ง
เหนี่ยนซินเดินออกมาจากห้องด้านข้าง ใช้เสียงในใจถามว่า “นี่ก็คือสาเหตุที่เจ้าไม่สามารถฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตเซียนเหรินได้หรือ?”
หนิงเหยาพยักหน้ารับ
‘เทียนเจิน’ กระบี่เซียนเล่มนี้ถูกบำรุงด้วยความอบอุ่นมานานหลายปี กลับถึงขึ้นคิดอยากจะให้หนิงเหยากลายเป็นคนถือกระบี่ แล้วให้นางที่เดิมทีควรเป็นวิญญาณกระบี่มาเป็นนายแห่งกระบี่แทน
ดังนั้นหลังจากเลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหรินได้แล้ว หนิงเหยาจึงเกือบจะกักขังอีกฝ่ายไว้ในจิตใจของตัวเองโดยตรง หลายปีมานี้ ‘เทียนเจิน’ เล่มนั้นก็เหมือนแม่นางน้อยซุกซนเกเรคนหนึ่งที่คอยหลบหนีไปทั่ว ต่อให้เป็นหนิงเหยาก็ยังยากจะตามหาร่องรอยของมันได้พบ ส่วนเหตุการณ์ผิดปกติที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็เป็นเพราะ ‘ไท่ป๋าย’ ที่เป็นกระบี่เซียนของวิญญาณกระบี่เหมือนกัน ได้เกิดการขานรับที่ลี้ลับมหัศจรรย์กับเทียนเจิน เชื่อว่ากระบี่เซียนอีกสองเล่มอย่าง ‘ว่านฝ่า’ ที่อยู่ในภูเขามังกรพยัคฆ์และ ‘เต้าจ้าง’ ของป๋ายอวี้จิงก็น่าจะมีสภาพการณ์ไม่ต่างกัน
เหนี่ยนซินเอ่ย “ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ”
หนิงเหยาเงียบไม่ต่อคำ
เหนี่ยนซินมองหนิงเหยาแล้วก็พลันยิ้มเอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้เสียใจอย่างที่ข้าคิดไว้”
หนิงเหยาเอ่ย “เพราะข้าเชื่อใจเขา”
……
ซิ่วไฉเฒ่ายังคงแค่มาปรากฎตัวต่อหน้าคนในครอบครัวตัวเองเท่านั้น เขาพูดกลั้วหัวเราะ “แม่นางน้อยล้วนเปลี่ยนเป็นแม่นางใหญ่หมดแล้ว”
เผยเฉียนจะกุมหมัดคารวะตามจิตใต้สำนึก แต่แล้วก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง เห็นพี่หญิงเป่าผิงประสานมือคารวะก็รีบประสานมือคารวะท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งเช่นเดียวกัน
ก่อนหน้านี้ไม่นานเผยเฉียนตามอวี้เจวี้ยนฟูกลับมาที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง จากนั้นก็ได้ยินว่ามีสำนักศึกษาที่อยู่ใกล้กับสกุลอวี้ นางจึงสะพายหีบไม้ไผ่ ถือไม้เท้าเดินป่าเดินทางไกลมาถึงที่แห่งนี้เพียงลำพัง ส่วนเจ้าใบน้อยอาหม่านผู้นั้น เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมย้ายที่ จึงอยู่เป็นคนใบ้ที่บ้านของอวี้เจวี้ยนฟูต่อไป เผยเฉียนจึงได้แต่กำชับเขาว่าอย่าลืมฝึกวิชาหมัด ตอนนั้นเด็กชายยังคงไม่เอ่ยอะไร ทั้งไม่ตอบรับแล้วก็ไม่ปฏิเสธ
สำนักศึกษาแห่งนี้ไม่ได้อยู่ในอันดับเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ หากว่าใช่ กลับกลายเป็นว่าเผยเฉียนจะไม่มาเยือน
เพียงแต่เผยเฉียนคิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับพี่หญิงเป่าผิง
ซิ่วไฉเฒ่าโบกมือให้พวกนาง เอ่ยอย่างสงสัยว่า “ทำไม ไปทะเลาะกับใครมาอีกแล้วหรือ?”
หลี่เป่าผิงพยักหน้ารับ
เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาก็คือคนที่วิพากษ์วิจารณ์ผู้รอบรู้ ไม่เพียงเท่านี้ยังเขียนบทความมากมายที่เต็มไปด้วยความฮึกเหิมห้าวหาญ ชี้ให้เห็นถึงความผิดของเหตุการณ์ปัจจุบัน เป็นบทความที่ให้เจ้าขุนเขาสำนักศึกษาที่มีชาติกำเนิดจากสายหย่าเซิ่งผู้นี้เอาไว้ด่าอริยะปราชญ์บ้านตัวเองโดยเฉพาะ ทำให้เขาได้รับคำชื่นชมนับไม่ถ้วนมาจากล่างภูเขา เพียงแต่ได้ยินว่ามีผู้ฝึกตนที่กลับคืนบ้านเกิดและปัญญาชนของฝูเหยาทวีปกับทักษินาตยทวีปบางส่วนอยากจะมาถกเถียงกับเจ้าขุนเขา แต่ดูเหมือนจะถูกปฏิเสธไม่ให้ขึ้นเขามา ไปๆ มาๆ เจ้าขุนเขาจึงเขียนบทความออกมาอีก บอกว่าขนบธรรมเนียมบนโลกเลวร้ายลงทุกวัน ช่างน่ากลัดกลุ้มเป็นกังวลยิ่งนัก
หลี่เป่าผิงเคยถกเถียงกับลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งของเจ้าขุนเขามาก่อน หลี่เป่าผิงยอมรับในคำวิจารณ์บางอย่างของเจ้าขุนเขาที่เอามาใช้ประโยชน์ได้ บอกว่าใต้หล้าไพศาลและศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางย่อมต้องยอมรับคนที่พูดจากใจจริงได้แน่นอน เพียงแต่ว่าพอหลี่เป่าผิงเตรียมจะพูดถึงเรื่องที่ปรึกษาหารือกันได้ ยกตัวอย่างเช่นถ้อยคำจากใจจริงของเจ้าขุนเขา คำว่าถ้อยคำที่แท้จริงนั้นจะต้องเป็นความจริงเสมอไปหรือ? อ่านตำราจนกระทั่งได้เป็นเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษา ก็ควรจะย้อนมองตัวเองเสียหน่อย มีความอดทนมากสักหน่อยหรือไม่ ควรจะลองฟังดูก่อนว่าสรุปแล้วคนรุ่นเยาว์ที่มีความเห็นต่างพูดถูกหรือไม่…คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะทำหน้าเย้ยหยัน สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปทันที
ตอนนั้นหลี่เป่าผิงเพียงแค่ถอนหายใจ เป็นแบบนี้อีกแล้ว
ส่วนเผยเฉียนเวลานั้นก็ยืนอยู่ข้างกายหลี่เป่าผิงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ตลอดเวลา หันไปด่าแผ่นหลังนั้นคำหนึ่งว่า ‘ช่างหัวมารดามันเถอะ’
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าขุนเขาคนนั้นเปลี่ยนจากหูหนวกมาเป็นหูดี หันขวับกลับมาถามเผยเฉียนทันทีว่าพูดอะไร แน่จริงก็พูดอีกครั้งหนึ่งสิ
ดังนั้นเผยเฉียนจึงเอ่ยอีกครั้งว่าช่างหัวมารดาเจ้าเถอะ
คงเพราะไม่อยากสูญเสียภาพลักษณ์อันสง่างาม ปัญญาชนผู้นั้นถึงได้หัวเราะเสียงดังไม่หยุด หันหน้าไปพูดกับหลี่เป่าผิงว่าเจ้าดูสิ นี่ก็คือท่าทีของคนที่มีความเห็นต่างอย่างพวกเจ้า คู่ควรให้เจ้าขุนเขาอาจารย์ของข้าฟังแม้แต่ครึ่งคำไหม?
ซิ่วไฉเฒ่าฟังหลี่เป่าผิงบรรยายอย่างกระชับเรียบง่ายแต่ครบถ้วนกระบวนความจบ แล้วก็ยิ้มตาหยีพยักหน้ารับ “เป่าผิงน้อยอธิบายเหตุผลได้ดี เผยเฉียนก็ด่าได้ดี ดีทั้งคู่ ดีทั้งคู่”
สายของเหวินเซิ่ง นอกจากลูกศิษย์คนสุดท้าย ลูกศิษย์ผู้สืบทอดทุกคนล้วนด่าได้ ทว่าลูกศิษย์ผู้สืบทอดของลูกศิษย์ผู้สืบทอด แน่นอนว่าไม่ว่าซิ่วไฉเฒ่าจะชื่นชมมากแค่ไหนก็ยังไม่เพียงพอ
เผยเฉียนเขินอายเล็กน้อย ยกมือเกาหัวด้วยความเคยชิน เดิมทียังกังวลว่าอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งจะตำหนิตน หรือถ้าจะด่าตนก็ยังไม่เป็นไร แต่หากเดือดร้อนไปถึงอาจารย์พ่อคงไม่ดีแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่าบอกให้พวกนางรอก่อน เขาจะไปหาเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาที่ด่าฟ้าด่าดินด่าอริยะปราชญ์ กลัดกลุ้มกังวลกับอาณาประชาราษฎร์และใต้หล้าคนนั้นเสียหน่อย
ผลคือตอนแรกเจ้าขุนเขาคนนั้นยังจำซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้ หลังจากเถียงกันไปพักหนึ่ง ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าขุนเขาก็พึมพำคำหนึ่งว่าเจ้าใหญ่แค่ไหนกันเชียว
ซิ่วไฉเฒ่าด่ากลับไปทันทีว่า “ข้าใหญ่เป็นอันดับที่สี่!”
เจ้าขุนเขาอึ้งตะลึง จากนั้นก็เริ่มเข้าใจ กลับกลายเป็นว่ายิ่งเกิดปณิธานอันฮึกเหิม ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายของความเด็ดเดี่ยวผึ่งผาย ซักถามว่าซิ่วไฉเฒ่าที่ไม่ได้เป็นเหวินเซิ่งมาตั้งนานแล้ว คิดจะใช้สถานะของอดีตอริยะปราชญ์มาทำให้ข้าปิดปากงั้นรึ?
ซิ่วไฉเฒ่าคร้านจะพูดอะไรให้มากความอีก เขากลับมาหาหลี่เป่าผิงและเผยเฉียนอีกครั้ง ไปที่บ้านตระกูลอวี้ด้วยกัน ฝีมือเล่นหมากล้อมของตาเฒ่าอวี้ย่ำแย่จริงเสียด้วย
ซิ่วไฉเฒ่าพลันเงยหน้าขึ้น
ยอดเยี่ยม!
กระบี่เล่มหนึ่งพุ่งออกมาจากจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ ตรงดิ่งไปยังฝูเหยาทวีปก่อน
จากนั้นก็มีกระบี่อีกเล่มแหวกม่านฟ้าที่ ‘เชื่อมโยง’ ระหว่างใต้หล้ามืดสลัวกับใต้หล้าไพศาล
ต่อมาก็มีกระบี่เซียนเล่มที่สามที่แหวกม่านฟ้าของใต้หล้าแห่งที่ห้าไปยังฝูเหยาทวีปเช่นกัน
ทะลุทะลวงตราผนึกฟ้าดินสามชั้นติดต่อกัน
รวมกับกระบี่เซียนที่ป๋ายเหย่ถืออยู่ในมือ กระบี่เซียนสี่เล่มได้มารวมตัวกันในใต้หล้าไพศาลเป็นครั้งแรก
ป๋ายเหย่ ไท่ป๋าย
เต๋าเหล่าเอ้อแห่งป๋ายอวี้จิง เต้าจ้าง
เทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ ว่านฝ่า
กำแพงมืองปราณกระบี่ กระบี่เซียนเล่มที่สี่ เทียนเจิน
ข้างกายของคนผู้หนึ่ง กระบี่เซียนรวมตัวกันครบถ้วน
——