ป๋ายเหย่ออกกระบี่ไม่หยุด ไม่เพียงแต่มองเมินสรรพสิ่งสรรพวิชาที่หยุดชะงักอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลา กลับกลายเป็นว่าแสงกระบี่ยังไร้ร่องรอยให้ตามหา ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือนี่ทำให้การเผาผลาญปราณวิญญาณของป๋ายเหย่เปลี่ยนเป็นเชื่องช้าอย่างถึงที่สุด ต่อให้ออกกระบี่มากแค่ไหน นอกจากปราณวิญญาณที่ถูกเผาผลาญไปเล็กน้อยยามปล่อยกระบี่แล้ว สิ่งที่เผาผลาญไปจริงๆ อันที่จริงก็มีแค่บทกวีในใจเท่านั้น
มีน้ำของน้ำตกเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นมาบนฟ้า หวงเหอหล่นลงฟ้าไหลสู่ทะเลบูรพา พอหล่นลงบนโลกมนุษย์ก็กระแทกเข้ากับลำคลองเย่ลั่วที่จำแลงมาจากมหามรรคาของหย่างจื่ออย่างแรง ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์ถาโถม ในม้วนภาพลายเส้นขุนเขาสายน้ำก่อเกิดเป็นหนองน้ำยาวไกลหมื่นลี้ พลังอำนาจไม่แพ้ให้กับการช่วงชิงบนมหามรรคาระหว่างหย่างจื่อและเฟยเฟยเลย
ป๋ายเหย่ใช้กระบี่ฟันร่างกายธรรมงูยักษ์ของหย่างจื่อที่ไม่คงศีรษะมนุษย์ไว้อีกต่อไปให้ขาดออกเป็นสองท่อน
หยวนโส่วก็ใช้ร่างจริงหมื่นจั้งถือกระบี่บุกเข้ามาเข่นฆ่า อยู่ห่างไปแค่ร้อยกว่าลี้ กลายมาเป็นหนึ่งในปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ที่อยู่ใกล้กับป๋ายเหย่มากที่สุด
กระบี่ไท่ป๋ายปาดไปในแนวขวาง ใช้แสงกระบี่เจิดจ้าที่เปิดแหวกฟ้าดินเสี้ยวหนึ่งมาต้านรับกระบองที่ร่างจริงหยวนโส่วฟาดลงมา
กระบองยาวในมือหยวนโส่วแหลกสลายไปอีกครั้ง มือขวาสะบัดข้อมือทำท่ากำ ในมือก็ปรากฏกระบองยาวที่แกะสลักคำว่า ‘ค้ำมหาสมุทร’ ขึ้นมา ถ่มเลือดสดคำหนึ่งทิ้ง ยังดีที่บทกวีในใจของป๋ายเหย่มิอาจเรียกออกมาซ้ำได้อีก ไม่อย่างนั้นสงครามครั้งนี้จะไม่ต้องสู้กันไปจนตราบชั่วฟ้าดินสลายเลยหรือ?
ไม่เพียงเท่านี้ท่วงทำนองปณิธานกระบี่ของป๋ายเหย่ที่เหลืออยู่ทำให้จิตธรรมบังเกิดขึ้นอีกครั้ง หยวนโส่วที่ความดุร้ายยิ่งกำเริบหนักจึงฟาดกระบองทุบตีสะเปะสะปะ นึกอยากจะทุบฟ้าดินให้แหลกไปพร้อมกันเสียเลย
ส่วนอู่เยว่ที่อยู่ใกล้กับป๋ายเหย่ที่ถือกระบี่มากที่สุด สภาพการณ์ก็คล้ายคลึงกับป๋ายอิ๋ง
เมฆล่องลอยตะวันตกดิน เส้นทางดินโคลนคดเคี้ยว สกุณาโศกล้อมพงไพร สนแห้งเหี่ยวโก่งโค้งงอ ผาสูงชันอันตราย น้ำกระทบหินดุจเสียงอสนีบาต…มหามรรคาฟ้าคราม มีเพียงข้าที่ไร้ทางออก
ขนาดข้าป๋ายเหย่ยังออกไปไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับอู่เยว่ปีศาจใหญ่ที่อยู่ในฟ้าดินจิตธรรมก็ยิ่งไร้ทางออก
ภาพปรากฎการณ์ประหลาดของฟ้าดินเช่นนี้ทำให้อู่เยว่ที่ต่อให้มีสามเศียรหกกร กายธรรมสูงตระหง่านยิ่งใหญ่จนแทบจะค้ำฟ้ายันดิน ไม่ว่าจะออกหมัดหรือใช้ศาสตราวุธก็ล้วนไม่อาจเปิดฟ้าออกไปได้
เยี่ยมเยือนเซียนป๋ายเหย่
กว่าหย่างจื่อจะชนน้ำของแม่น้ำหวงเหอนั้นให้แหลกไปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย คิดไม่ถึงว่าป๋ายเหย่จะฟันกระบี่มาใส่อีกครั้ง
ผมขาวสามพันจั้ง ข้าเคยตกมังกรขาวได้ ชักดาบตัดน้ำไหล ปล่อยมังกรขาวกลับคืน
กระบี่บินขาวหิมะสามพัน ประหนึ่งฝนพร่างพรมพร้อมกันในธารา กระบี่ฟันปีศาจบนบัลลังก์หย่างจื่อที่ร่างจริงเป็นงูยักษ์
ห่างไปไกลอีกฝั่งหนึ่งของลำธารก็ยิ่งมีขุนพลม้าขาว ควบม้าข้ามลำคลอง ม้าเหล็กจัดเรียงขบวน หนาแน่นดุจภูเขาหิมะ ม้าศึกก้มดื่มน้ำในลำธาร
ลูกธนูสาดยิงอย่างพร้อมเพียง หอกเหล็กพุ่งบุกมาเบื้องหน้า ปราณกระบี่ดุจสายฝน
กวีหน้าด่านป๋ายเหย่
ทำให้หย่างจื่อเจ็บปวดจนพูดไม่ออก
ปีศาจใหญ่หนิวเตาที่หลุดพ้นจากกรงขังเสื้อเกราะสีทองแล้ว เตรียมจะขยับประชิดตัวป๋ายเหย่ ฟ้าดินพลันแปรเปลี่ยน ก้อนเมฆลอยเกลื่อนฟ้า หมื่นลี้เต็มไปด้วยสีสันแห่งใบไม้ร่วง ทุ่งกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ลมเย็นเยือกบังเกิด
จุดที่ลมพัดก็คือจุดที่ปราณกระบี่ผุดขึ้นมา ปราณกระบี่ทับซ้อนหนาหนักดุจเทือกเขาเรียงราย ยอดเขาที่ทอดยาวติดต่อกันขัดขวางธารดวงดาว สกัดกั้นดาวโต้วหนิว
เชี่ยอวิ๋นยืนนิ่งไม่ขยับ ดึงเนื้อหนังมังสาออกอีกครั้งเบี่ยงหลบกระบี่ของป๋ายเหย่มาเล็กน้อย ตั้งท่ารอคอย มองม่านฟ้าแวบหนึ่ง เดิมทีนึกว่าจุดที่ปราณกระบี่จะหล่นกระแทกคือจุดที่ฟ้าลดตัวลงตรงหน้าโลงศพหยกขาว ก้มหน้าลงมองโลกมนุษย์อีกที เดาว่าจะเป็นภาพชนบทที่รวงข้าวแตกหน่อในเดือนสามหรือไม่ คิดไม่ถึงว่าจะไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ภาพที่เห็นคือภาพร้านเหล้าข้างทางในหมู่ชาวบ้าน เด็กหนุ่มเรียนวิชากระบี่ เมามายใต้ต้นหลิว ดื่มเหล้าร่วมจอก เขาองอาจห้าวหาญตั้งแต่เด็ก จอมยุทธหนุ่มน้อยออกเดินทาง ก้มหน้ายิ้มกับจอกเหล้า ปลิดชีพคนแม้ผู้คนพลุกพล่าน
จอมยุทธพเนจรป๋ายเหย่
ครั้งนี้เชี่ยอวิ้นมิอาจหลบกระบี่ของจอมยุทธพเนจรหนุ่มน้อยคนนั้นได้
นาทีถัดมาเชี่ยอวิ้นเพิ่งจะประสานเรือนกายได้สำเร็จ ร่างก็มาอยู่ในม่านราตรีที่มีดวงดาวลอยอยู่บนฟ้าอีกครั้ง เขาได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน ขนาดตนยังรู้สึกหงุดหงิดเต็มทีแล้ว คาดว่าจิตสังหารของปีศาจบนบัลลังก์ตนอื่นก็คงยิ่งยืนหยัดหนักแน่น ปณิธานในการสังหารยิ่งเปี่ยมล้น
ในฝันขี่กวางขาวไปยังขุนเขาตะวันตก ขุนเขาสูงตะหง่านเสียดฟ้า ยอดเขาสามสิบสองรวมกลุ่ม เทพธิดานับพันลอยล่องตามเมฆา ขับขานบทกวีเทพเซียนแสงม่วงเรืองรอง ทุกท่านร่วมกันเปิดสวรรค์ให้แก่ข้า เจินหลิงหลอมหยกพันปี เหยียบข้ามสะพานสายรุ้ง เจ๋อเซียนย่างก้าวมรกตล้อมพัน ลืมตนสู่ไร้ที่สิ้นสุด ไท่ป๋ายกว้างใหญ่ไพศาล ดวงดาวดารดาษเรียงร้อย ดื่มเหล้าเมาหัวปักหัวปำ ถือกระบี่พิงสนโบราณหมื่นปี ใครเล่าบอกว่าธารฟ้าใต้ฝ่าเท้าคือสายน้ำกว้าง ในดวงตาเห็นว่าแคบดุจแถบผ้า พลันหันหน้ากลับมามอง ยิ้มยื่นมือกวักเรียกเด็กหนุ่ม…
สนามรบอีกแห่งหนึ่ง
ฝูลู่อวี๋เสวียนคือคนประเภทที่ว่าไม่จำเป็นต้องม้วนชายแขนเสื้อลงมือด้วยตัวเอง บวกกับที่ป๋ายอิ๋งเองก็มีวิธีการไม่ต่างกัน ดังนั้นอวี๋เสวียนจึงสอนคำสุภาษิตแก่ป๋ายอิ๋งไปหลายคำ อะไรที่บอกว่าไม่ว่าจะแย่งอะไรก็อย่าแย่งไปนอนในโลง กบต้องการชีวิตงูต้องการกินอิ่ม อะไรที่บอกว่าอย่างข้าผู้อาวุโสนี้เรียกว่านกไร้ขนแต่สวรรค์คอยให้การดูแล อย่างเจ้านั้นเรียกว่าแม่หมูถูกอัดอยู่มุมกำแพงยังร้องอู๊ดๆๆ สามที…
พูดจาเหลวไหลส่งเดชได้โดยที่ไม่ถ่วงรั้งการทำเรื่องใหญ่ที่สำคัญอันดับหนึ่งของอวี๋เสวียน
เขาใช้ยันต์กระดาษทองสองแผ่นซึ่งด้านในซุกซ่อนยันต์หลากชนิดหลายระดับขั้นนับพันใบ ให้พวกมันไปลอยตัวตรงฝั่งตะวันออกและตะวันตกของฟ้าดินเล็กอย่างเงียบเชียบ แบ่งออกเป็นยันต์ตะวันและยันต์จันทราที่แยกกันอยู่ฝั่งตะวันออกกับฝั่งตะวันตก สุดท้ายกลายมาเป็นยันต์อักษร ‘สว่าง’
ตะวันจันทราส่องแสงสว่างเรืองรอง และภายใต้แสงสว่างที่สะท้อนเจิดจ้านั้นก็ไม่มีจุดใดที่มืดมน ดังนั้นบนภูเขาจึงมีคำชมบอกว่าเมื่อยันต์นี้ของอวี๋เสวียนปรากฎตัว บนโลกก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยันต์จุดตะเกียงอีกแล้ว
เพียงแต่ว่าอวี๋เสวียนเรียกยันต์สองแผ่นนี้ออกมาก็เพื่อยืนยันเรื่องหนึ่งให้มั่นใจ ระดับความเร็วในการไหลรินของแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่อยู่ท่ามกลางตราผนึกฟ้าดินของฝูเหยาทวีปนั้น สรุปแล้วเร็วหรือช้ากันแน่ หากมีการแบ่งช้าเร็วอยู่จริงแล้วความต่างที่แน่ชัดคืออย่างไรกันแน่ ทว่าต่อให้ยันต์ตะวันจันทราจะรวมกันเป็นยันต์อักษรสว่าง กระนั้นก็ยังมิอาจตรวจสอบเรื่องนี้ได้ คิดจะมองระดับขั้นของกาลเวลาท่ามกลางกรงขังที่มีตราผนึกหนาชั้น มีฟ้าดินเล็กแห่งแล้วแห่งเล่ากั้นขวางให้เห็นได้อย่างชัดเจน ไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งยังลำบากอย่างยิ่ง
ฝูลู่อวี๋เสวียนโยนยันต์กระดาษสีเขียวออกไปอีกสองแผ่น แบ่งสมาธิออกไปสองทาง ด้านหนึ่งท่องคาถา ส่วนในจักรวาลชายแขนเสื้อข้างหนึ่งก็เรียกเอายันต์แสงอาทิตย์และยันต์นาฬิกาน้ำอีกสองแผ่นออกมา
“นาฬิกาแดดหยุดนิ่ง แสงดาวเคลื่อนคล้อย หอมกลิ่นฝนอวลอยู่ด้านข้าง น้ำค้างหวานลอยตัวสูง แสงตะวันบอกเวลา น้ำไหลกำหนดเวลา จงรีบมารับคำสั่ง ณ บัดนี้!”
“แสงอยู่บนเทียน น้ำอยู่บนลูกศร ส่องสว่างกลางอากาศ แก่นบริสุทธิ์ล้อมวน ปราณฟ้าล้วนขาวโพลน นาฬิกาแดดเล็ก ละลายเมฆทะลุฟ้า! จงมา!”
อวี๋เสวียนกัดฟันโยนยันต์กระดาษเขียวออกไปอีกแผ่น นั่นคือยันต์ตระหง่านที่เขาสร้างขึ้นมาเอง
ในภูเขาไร้เครื่องบอกเวลา เซียนปลูกฝูหรงสิบสองดอกกลางน้ำพุใสกระจ่าง เมื่อริ้วคลื่นไหลรินผ่านจึงกำหนดเวลาเป็นสิบสองชั่วยาม ไม่ต่างจากการดูผ่านแสงตะวัน
เมื่อยันต์สามแผ่นนี้ปรากฏตัว พริบตานั้นมหามรรคาก็ปรากฏจนหมดสิ้น
แม้ว่ายันต์สีเขียวทั้งสามแผ่นจะเผาไหม้จนสิ้นในชั่วพริบตา ทว่าต่อให้จะได้เหลือบมองเพียงแค่แวบเดียว อวี๋เสวียนก็มองไปเห็นความลับสวรรค์แล้ว จึงเอ่ยเตือนป๋ายเหย่ว่า “ระวังแม่น้ำแห่งกาลเวลาจะไหลทวนย้อนกลับ…”
แล้วฝูลู่อวี๋เสวียนก็พลันหลุดหัวเราะพรืด
ที่แท้ตอนที่ฝูลู่อวี๋เสวียนเอ่ยเสียงในใจออกไปได้ครึ่งหนึ่งก็มีกระบี่เซียนสามเล่มทยอยกันแหวกตราผนึกสามชั้นของฟ้าดินฝูเหยาทวีปเข้ามาถึงพอดี กระบี่เซียนสามเล่มนั้นสลายสามคำกล่าวของฝูลู่อวี๋เสวียนที่ว่า ‘ระวัง’ ‘แม่น้ำแห่งกาลเวลา’ ‘ไหลทวนย้อนกลับ’ พอดี
ไม่เพียงเท่านี้ เชี่ยอวิ้นที่อยู่ในฟ้าดินจิตธรรมของป๋ายเหย่ก็ยิ้มบางๆ เอ่ยกับป๋ายเหย่พอดีว่า “ผู้ที่ภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์ ป๋ายเหย่ช่างสมคำเล่าลือจริงๆ”
‘เชี่ยอวิ้น’ ผู้นี้แน่นอนว่าไม่อาจควบคุมกระบี่เซียนทั้งสามเล่มได้ แต่ ‘เชี่ยอวิ้น’ กลับสามารถควบคุมแม่น้ำแห่งกาลเวลาในตราผนึกสามชั้นนั้นได้
ดังนั้นต่อให้ฝูลู่อวี๋เสวียนจะตรวจสอบจนรู้ความลับสวรรค์ก็มิอาจบอกความจริงส่วนหนึ่งแก่ป๋ายเหย่ได้
ป๋ายเหย่เอ่ย “เจี่ยเซิง”
วิชาตัวตายตัวแทน อยู่ที่ป๋ายอิ๋ง แต่วิชาสลับตัวกลับอยู่ที่เชี่ยอวิ้น ดังนั้นเชี่ยอวิ้นที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ จะบอกว่าเป็นหรือตายก็ล้วนได้ทั้งนั้น
ฟ้าดินอีกแห่งหนึ่ง โลกมนุษย์ที่ ‘สมชื่อ’ อีกแห่งหนึ่ง
กระบี่เซียนสี่เล่มปรากฏตัวพร้อมกันข้างกายป๋ายเหย่ และป๋ายเหย่ก็ทยอยถือไท่ป๋าย เต้าจ้าง เทียนเจิน และว่านฝ่า แล้วออกแรงเต็มกำลังในทุกๆ กระบี่ที่ฟาดฟันออกไป
สี่กระบี่สังหารปีศาจบนบัลลังก์สี่ตนที่นอกเหนือจากป๋ายอิ๋ง ‘เชี่ยอวิ้น’ สี่กระบี่พิฆาตอู่เยว่ หย่างจื่อ หย่วนโส่วและหนิวเตา ตายจนตายไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
เรือนกายของเชี่ยอวิ้นสลายหายไป ไม่ได้โดนกระบี่แม้แต่ครั้งเดียว ทว่าเป็นการสลายหายไปของมหามรรคาที่กายดับมรรคาสลาย โจวมี่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ใช้กระบี่ในอนาคตมาสังหารคนปัจจุบัน ป๋ายเหย่ก็ได้แต่ต้องจากไปแล้ว”
สุดท้ายโจวมี่เอ่ยว่า “วันหน้ามาถามกระบี่กับข้าอีกครั้ง หากเจ้าและข้าต่างก็ยังมีโอกาส”
หนึ่งกระบี่ฟันมาถึง
ป๋ายเหย่ใช้กระบี่ปัจจุบันสังหาร ‘เชี่ยอวิ้น’ ปีศาจบนบัลลังก์ที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่ลังเล
โจวมี่กลับถึงขั้นปล่อยให้แสงกระบี่หล่นลงบนร่าง
ฟ้าดินของหนึ่งทวีปพลันพลิกกลับ แม่น้ำแห่งกาลเวลาสับสนวุ่นวายอย่างถึงที่สุด
หย่างจื่อและหยวนโส่วหันมามองหน้ากันเอง คล้ายไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนถึงยังมีชีวิตอยู่?
หนิวเตาและอู่เยว่มีสีหน้าเคร่งเครียด มองไปยังป๋ายอิ๋งที่ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ มหามรรคาก็พลันแหลกสลาย
ข้อสงสัยที่ใหญ่ที่สุดก็คือ ป๋ายเหย่อยู่ที่ไหน?
อีกอย่างเหตุใดปราณของเชี่ยอวิ้นถึงเหมือนกับป๋ายอิ๋งไม่มีผิดเพี้ยน ราวกับว่ามหามรรคาขาดสะบั้น แต่กลับเหมือนจะมีเส้นใยบางๆ หลงเหลืออยู่ ดั่งว่าอยู่ดีๆ เชี่ยอวิ้นก็เปลี่ยนไปกลายเป็นโจวมี่?
ส่วนฝูลู่อวี๋เสวียนกับกระบี่เซียนสี่เล่มนั้นไปอยู่ที่ไหนก็ยิ่งทำให้ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ทั้งกลุ่มที่ฟื้นคืนกลับมาจากความตายมึนงงไม่เข้าใจ
ป๋ายเหย่ผู้นั้นสังหารเชี่ยอวิ้นกับป๋ายอิ๋งภายใต้เปลือกตาของโจวมี่ได้อย่างไร?
หลิวชาสอดกระบี่กลับเข้าฝัก สีหน้าซับซ้อน
ใต้หล้าไพศาลไม่มีป๋ายเหย่ขอบเขตสิบสี่อีกต่อไป
ส่วนกระบี่เซียนไท่ป๋ายเล่มนี้ นอกจากฝักกระบี่ที่ยังอยู่ก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว ตัวกระบี่ยาวได้แบ่งออกเป็นสี่ส่วน กระจายไปหล่นร่วงตามที่ต่างๆ พลังอำนาจยามพุ่งไปดุจสายรุ้ง
ปลายกระบี่ไท่ป๋ายท่อนหนึ่งในนั้นไปหล่นลงในบริเวณใกล้เคียงกับซากปรักของภูเขาห้อยหัว
ส่วนผู้เฒ่าชุดเทาก็เหมือนว่าจะถูกฝ่ามือหนึ่งตบศีรษะจึงจมดิ่งร่วงลงไปยังน้ำวนที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า
ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง โจวจื่อพลันยื่นมือออกไปคว้า หยิบแสงกระบี่เส้นหนึ่งในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกหนึ่งของหลิวไฉมาใส่ไว้ในน้ำเต้า
แล้วจึงคืนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ให้กับหลิวไฉ ให้ผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นผู้สืบทอดคนนี้หันไปคารวะขอบคุณบัณฑิตผู้นั้น
เฝ่ยหรานที่ยอมรับว่าตัวเองแค่เบื่อหน่ายถึงได้ปกป้องนครเซิ่นจิ่งเอาไว้พลันเบิกตากว้าง เห็นเพียงว่าเบื้องหน้ามีตัวกระบี่ท่อนหนึ่งมาลอยตัวอยู่
แสงกระบี่เส้นที่สามไล่ตามกระบี่เซียนเทียนเจินเล่มนั้นแหวกม่านฟ้าของใต้หล้าแห่งที่ห้าแล้วทิ้งตัวลงดิ่งอย่างรวดเร็ว สุดท้ายไปหล่นลงเบาๆ ข้างกายจ้าวเหยาลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่สวมชุดเขียว
แสงกระบี่เส้นสุดท้ายทะลุประตูมองข้ามจางลู่เซียนกระบี่ใหญ่ที่ทำหน้าที่เฝ้าประตู คนเฝ้าประตูแค่ขัดขวางคนเท่านั้น กระบี่ผุๆ ท่อนหนึ่งมีอะไรให้น่าขัดขวางกัน อีกอย่างจางลู่ก็รู้ตัวเองดีว่าต่อให้อยากขวางก็ขวางไม่อยู่
แสงกระบี่เส้นนั้นจึงพุ่งไปยังกำแพงมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งที่เหลืออยู่ทันที
เฉินผิงอันพลันเงยหน้าขึ้น แม้ว่าจะมีตราผนึกฟ้าดินของกระโจมเจี่ยจื่อกั้นขวางก็ยังคงสัมผัสได้ถึงปราณกระบี่ขุมนั้น
หลีเจินทำท่าจะพูด แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแค่มองชุดคลุมสีเทาที่เพื่อขัดขวางไม่ให้กระบี่เซียนท่อนนั้นหล่นลงบนมือเฉินผิงอันจึงพุ่งผ่านหัวกำแพงเมืองทางทิศเหนือเป็นครั้งแรกเงียบๆ
เฉินผิงอันเซสะดุดล้ม กายธรรมร่างหนึ่งพลันผงาดขึ้นมา นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเฉินชิงตูที่ถือกระบี่ยาว เงื้อกระบี่ฟาดเข้าใส่ชุดสีเทา “หลงจวินรับกระบี่”
กระบี่สุดท้ายในชีวิตนี้ของเฉินชิงตูกลับเป็นกระบี่ที่มีไว้สังหารหลงจวินหลังจากร่างดับไปนานหลายปีแล้ว
หลีเจินนั่งยองอยู่บนหัวกำแพงเมือง สองมือกุมหัว ไม่มองภาพที่ตนเคยเห็นมาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง
มุมหนึ่งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ดอกหลีเบ่งบานขาวสะพรั่ง บุปผาผลิดอกขาวพร่าตาเกินไปแล้ว
ใต้ต้นไม้มีเด็กน้อยคนหนึ่งปรากฏตัวมาจากความว่างเปล่า เขากวาดตามองไปรอบด้าน ท่าทางมึนงงเล็กน้อย สุดท้ายแหงนหน้ามองไปยังดอกหลีต้นนั้น
หมวกหัวเสือใบหนึ่งพลันหล่นลงบนศีรษะของเด็กน้อย ซิ่วไฉเฒ่าคนหนึ่งลูบหมวกหัวเสือที่เตรียมไว้อย่างตั้งใจใบนั้นพลางพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “โชคชะตาก็เป็นเช่นนี้ เมื่อเข้ามาอยู่ในแก้วแล้วก็ยกขึ้นดื่มเสียเถิด น้องป๋ายเหย่ ข้าพาเจ้าไปดื่มเหล้าดีไหม?”
กำแพงมืองปราณกระบี่ พอเฉินผิงอันลุกขึ้นได้อย่างไม่ง่ายนักก็มองเห็นผ้าขาดๆ กองหนึ่งสีขมุกมัวห่อหุ้มปลายกระบี่ท่อนหนึ่งลอยอยู่เบื้องหน้าตน นี่มันเรื่องอะไรกัน? หมาแก่หลงจวินกับเจ้าโจรน้อยหลีเจินรู้จักใช้แผนการแล้วหรือ? ดูท่าแล้วจะลงทุนไม่น้อยเลยนะ
เรือนกายของผู้เฒ่าคนหนึ่งมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ค้อมเอวตบศีรษะอิ่นกวานหนุ่ม เอ่ยว่า “ถือเป็นการชดเชยให้กับการผิดสัญญาก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง กลับเห็นภาพที่ร่างของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสค่อยๆ สลายหายไป ไม่รอให้เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เฉินชิงตูก็เป็นฝ่ายนั่งลงบนพื้นด้วยตัวเอง สองมือวางแนบหน้าท้อง กำเป็นหมัดเบาๆ ผู้เฒ่ายิ้มถาม “กระบี่นี้เป็นอย่างไร?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็รู้สึกว่าจะไปสนใจเรื่องอื่นกะมารดามันอะไรนักหนา จึงพูดไปตามตรงว่า “ร้ายกาจ”
เฉินชิงตูหัวเราะ “แค่ขยับปากก็พูดส่งเดชจริงๆ เหมือนข้าในปีนั้น”
ริมลำคลองในปีนั้น ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มเอ่ยประโยคว่า ‘ตีกันก็ตีสิ’
เฉินผิงอันเอ่ย “วางใจเถอะ”
เฉินชิงตูพยักหน้า “ดีมาก”
เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรอีก
แล้วร่างของเฉินชิงตูก็จางหายไปจากโลกมนุษย์เช่นนี้
อิ่นกวานหนุ่มที่สวมชุดคลุมอาคมสีแดงสดกำสองหมัดวางไว้บนหัวเข่า ครู่หนึ่งต่อมาชุดคลุมอาคมบนร่างของเฉินผิงอันก็พลันเปลี่ยนเป็นชุดสีขาว เขาลุกขึ้นยืน เดินมายังหัวกำแพงเมือง มองไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
จากนั้นเรือนกายหนึ่งก็มาปรากฏตัวอยู่ด้านข้าง ชายฉกรรจ์เคราดกสะพายกระบี่ มือกระบี่หลิวชา
——