เผยเฉียนไม่สนใจการล้อมวงดูคนเล่นหมากล้อม แต่ไหนแต่ไรมาก็มักจะเป็นเช่นนี้อยู่เสมอ นับตั้งแต่เด็กนางก็คร้านจะใช้สมอง ไม่ได้หาเงินได้สักหน่อย ภายหลังอย่างมากก็แค่มองดูพวกเหล่าเว่ยกับเสี่ยวป๋ายฆ่ากันไปฆ่ากันมาบนกระดานหมากเท่านั้น
หลี่เป่าผิงยืนอยู่ด้านหลังของสตรีผู้นั้น มองดูคนเล่นหมากล้อมโดยไม่เอ่ยคำใด
จินเจินเมิ่งกับจูเหมยยืนอยู่ด้านหลังหลินจวินปี้ คนบ้านเดียวกันแน่นอนว่าต้องปกป้องคนบ้านเดียวกัน
หากไม่เป็นเพราะอวี้เจวี้ยนฟูเคยบอกว่าบรรพบุรุษบ้านตนเล่นหมากล้อมไม่เก่ง เพียงแค่ชอบแสร้งทำตัวสง่างาม ยืนกรานจะต้องทำเรื่องไร้สาระพวกนี้ให้จงได้ ไม่อย่างนั้นเผยเฉียนก็คงเข้าใจผิดคิดไปว่าบรรพบุรุษสกุลอวี้ผู้นั้นสามารถเล่นหมากเอาชนะศิษย์พี่เล็กได้อย่างมั่นคงไปแล้ว
จากที่อวี้เจวี้ยนฟูเล่าให้ฟังเป็นการส่วนตัว แม้กระทั่งคำกล่าวที่ว่า ‘เด็กหนุ่มอัจฉริยะ’ ‘เทพผู้องอาจสง่างาม ใฝ่เรียนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย’ อะไรนั่น ก็ล้วนเป็นบรรพบุรุษของนางที่หลังจากได้ขึ้นเป็นประมุขตระกูลแล้วก็ได้เชิญคนให้มาแต่งคำเรียกขานนั่นอย่างส่งเดช อันที่จริงแล้วตอนเด็กเขาคือเจ้าอ้วนน้อยที่รักเงินเท่าชีวิต อายุน้อยๆ ก็เรียนรู้เรื่องการหาเงินและทำกิจการเป็นแล้ว
อวี้ชิงชิงยิ้มกล่าว “หลักการเล่นหมากล้อมของจวินปี้ยิ่งยอดเยี่ยมแล้ว”
กลยุทธ์แหลมแน่นหนาสยบว่างโล่ง (ศัพท์ทางหมากล้อม ภาษาจีนคือ 实尖虚镇 หมายถึงสถานการณ์หมากล้อมที่ฝ่ายตรงข้ามมีการป้องกันอย่างแน่นหนา ให้ใช้การโจมตีแบบ ‘แหลม’ ส่วนการสยบว่างโล่งหมายถึงการสร้างพลังอำนาจให้กับตัวเองบนกระดานด้วยการโจมตีศัตรูในวงกว้าง) ถูกหลินจวินปี้สำแดงศักยภาพจนถึงแก่นสูงสุด เมื่อหลายปีก่อนหลิวจวินปี้มาเป็นแขกที่ตระกูลอวี้ ตอนนั้นฝีมือการเล่นหมากล้อมของหลินจวินปี้แสวงหาในคำว่ามหัศจรรย์สูงส่งยาวไกล มังกรเทพแปรเปลี่ยน ทว่าในช่วงสั้นๆ ที่กองกำลังบนกระดานหมากปะทะกันกลับเหมือนว่าจิตสังหารจะเข้มข้นเกินไป ตอนนี้ลักษณะการเล่นหมากล้อมเปลี่ยนไปแล้ว เริ่มลึกล้ำรัดกุม ไม่ผิดจังหวะไปแม้แต่ก้าวเดียว วิชาการสังหารร้อยเรียงต่อกันเป็นทอดๆ ทว่าหลักการเล่นหมากล้อมและปราณสังหารกลับไม่เข้มข้น ดังนั้นนางถึงได้วิจารณ์ด้วยคำว่ายอดเยี่ยม
อวี้ชิงชิงอาจจะไม่ได้มีวิชาหมากล้อมสูงส่งนัก อย่างมากสุดก็พอจะถือว่าอยู่ในกลุ่มของฉีไต้จ้าวระดับหนึ่งของราชวงศ์เสวียนมี่ได้ เมื่อเทียบกับเซียนซือบนยอดเขาที่เชี่ยวชาญศาสตร์การเล่นหมากล้อมแล้ว ระยะห่างยังนับว่าชัดเจน ทว่าแต่ไหนแต่ไรมานางแววตาดีมาโดยตลอด ถูกบรรพบุรุษยิ้มเรียกขานว่าบุปผาช่างจำนรรจาแห่งตระกูลอวี้
ตอนที่หลินจวินปี้คีบเม็ดหมากขึ้นมาจากโถ อวี้ชิงชิงก็มองคนหนุ่มที่หล่อเหลารูปงามทั้งยังมีสีหน้ามุ่งมั่นแล้วทอดถอนใจอยู่ในใจ โชคชะตาแคว้นรุ่งเรือง โชคชะตาหมากล้อมก็รุ่งเรืองตามไปด้วย
ในราชวงศ์เส้าหยวนที่เจริญรุ่งเรืองในทุกๆ วันแห่งนั้น หลินจวินปี้ต้องได้เป็นว่าที่ราชครูอย่างแน่นอน
สักวันหนึ่งวิชาหมากล้อมของหลินจวินปี้จะต้องสูงถึงขอบเขตที่เรียกว่า ‘กระจ่างชัดปรุโปร่งในรวดเดียว โดดเด่นเหนือผู้ใด’ ไม่ใช่ว่าคนที่เชี่ยวชาญการเล่นหมากล้อมทุกคนจะต้องสามารถประสบความสำเร็จนอกกระดานหมากได้ ทว่าเด็กหนุ่มในอดีตตรงหน้าผู้นี้ ดูเหมือนว่ามหามรรคาจะเชื่อมโยงทะลุถึงหมากล้อมแล้วแตกกิ่งก้านสาขาออกไป
อวี้เจวี้ยนฟูนั่งอยู่ข้างกายเผยเฉียน นางถอดรองเท้าแล้วนั่งขัดสมาธิ ปลดกาเหล้าตรงเอวลงมา ยื่นส่งให้เผยเฉียน
เผยเฉียนรีบหันไปส่งสายตาให้อวี้เจวี้ยนฟู แอบผงกปลายคางชี้ไปยังพี่หญิงเป่าผิงที่มีสีหน้าจริงจังเงียบๆ
อวี้เจวี้ยนฟูหัวเราะแล้วดื่มเหล้าอยู่กับตัวเอง ในใจประหลาดใจอยู่มาก นอกจากอาจารย์พ่อของเผยเฉียนแล้ว ไม่นึกว่านางจะยังมีคนที่กลัวอยู่อีกด้วย?
อวี้เจวี้ยนฟูยืดแขนบิดขี้เกียจ แขนสองข้างวางทาบไว้บนราวรั้วด้านหลัง รวมเสียงให้เป็นเส้นพูดกับเผยเฉียนว่า “เฉาสือที่อยู่บนสนามรบของสองทวีปออกหมัดเยอะมาก นี่เกี่ยวข้องกับการที่อาจารย์พ่อของเจ้าเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตยอดเขาครานั้นอยู่ไม่น้อย”
พอเข้ามาในศาลา เผยเฉียนก็นั่งตัวตรงอยู่ตลอดเวลา สองหมัดกำหลวมๆ วางไว้บนหัวเข่า ได้ยินแล้วก็พยักหน้ารับเบาๆ
อวี้เจวี้ยนฟูเอ่ย “ทุกวันนี้ชื่อเสียงของสำนักศึกษาซานหยาไม่น้อยแล้ว ล้วนต้องยกคุณความชอบให้กับซิ่วหู่ต้าหลีผู้นั้น”
เผยเฉียนกลับไม่ยินดีจะพูดถึงซิ่วหู่มากนัก นางเพียงแค่ยิ้มเอ่ยว่า “ข้ารู้จักพี่หญิงเป่าผิงมาตั้งนานแล้ว อาจารย์พ่อของข้าบอกว่าพี่หญิงเป่าผิงชอบสวมชุดสีแดงมาตั้งแต่เด็ก”
อวี้เจวี้ยนฟูพยักหน้ารับ
แม้ว่าจะยังไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดเผยเฉียนถึงสนิทสนมกับสตรีชุดแดงมากขนาดนั้น แต่นางกลับไม่ยินดีจะซักไซ้ถามให้ถึงที่สุด ก็เหมือนอย่างที่เผยเฉียนไม่เคยพูดถึงไหวเฉียนต่อหน้านาง
อวี้เจวี้ยนฟูดื่มเหล้า บางครั้งก็ชำเลืองตามองกระดานหมาก ถึงอย่างไรมองไม่มองก็ล้วนไม่เข้าใจสถานการณ์บนกระดานหมากอยู่ดี นางเล่นหมากล้อมเป็นก็จริง แต่ก็ได้แค่เล่นเท่านั้นจริงๆ
นางชอบหมากรุกมากกว่า ในหอเก็บตำราของสกุลอวี้ก็มีโครงร่าง ‘ตำราหมากรุก’ ที่บรรพจารย์สำนักการทหารท่านหนึ่งเขียนด้วยตัวเอง
ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขามักจะขบคิดลึกซึ้งยาวไกล วางแผนระยะยาวกว่าคนธรรมดาล่างภูเขามากนัก ทว่านอกจากผู้ฝึกตนสำนักการทหารแล้ว ผู้ฝึกตนมักจะเลื่อมใสหมากล้อมดูแคลนหมากรุก
อวี้เจวี้ยนฟูถาม “เจ้าเล่นหมากรุกเป็นหรือไม่?”
เผยเฉียนส่ายหน้า “ไม่เคยเล่นมาก่อน”
ปีนั้นเหล่าเว่ยกับเสี่ยวป๋ายมักจะเล่นหมากรุกกันบ่อยๆ เพียงแต่ว่ามีครั้งหนึ่งถูกศิษย์พี่เล็กพูดจาเหน็บแนม
คิดดูแล้ว เผยเฉียนก็นึกถึงคำพูดประโยคนั้นขึ้นมาได้อย่างครบถ้วน ไม่ตกหล่นไปแม้แต่คำเดียว
ประโยคหนึ่งในนั้นระคายหูที่สุด ‘ระดับความลึกซึ้งของหมากรุกนี้ ก็คือปริมาณความคอแข็งของเว่ยเซี่ยนตอนดื่มเหล้า พวกเจ้าสองคนไม่อายบ้างหรือไร?’
แน่นอนว่าอวี้เจวี้ยนฟูไม่รู้เรื่องนี้ นางยังพูดชวนคุยว่า “ในบรรดาสิบคนตัวสำรองรุ่นเยาว์ มีคนหนุ่มผู้หนึ่งชื่อสวี่ป๋าย เชี่ยวชาญการเล่นหมากรุก เขาได้รับการขนานนามอย่างไพเราะว่า ‘สวี่เซียน’ ครึ่งหนึ่งก็มาจากเรื่องนี้ เพราะว่าตอนที่สวี่ป๋ายเป็นเด็กเคยฝันว่าได้ไปเยือนหอจื๋อโกวของปฐมสำนักของสำนักการทหารในแผ่นดินกลาง ประชันหมากล้อมสิบตากับบรรพบุรุษสกุลเจียงที่หลบเร้นซ่อนตัวจากโลกภายนอกมานหลายพันปี สวี่ป๋ายชนะสี่แพ้หก ดังนั้นก่อนที่สวี่ป๋ายจะกลายเป็นตัวสำรองสิบคน อันที่จริงในบรรดาผู้ฝึกตนบนยอดเขา เขาก็มีชื่อเสียงมากแล้ว ก่อนจะกลายเป็น ‘สวี่เซียน’ ก็ยิ่งมีฉายา ‘เจียงไท่กงวัยเยาว์’ มาก่อนแล้ว”
อวี้เจวี้ยนฟูดื่มเหล้าหนึ่งอึก “มีโอกาสจะต้องขอความรู้จากเขาให้ได้ ประชันแพ้เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว หวังเพียงว่าอย่าแพ้ยับเยินเกินไปนัก”
เผยเฉียนรู้สึกสนใจในตัวสวี่ป๋ายสวี่เซียนอะไรนี่อยู่มาก ดังนั้นจึงเอ่ยว่า “ข้าแค่เคยเจอผู้อาวุโสฝูลู่อวี๋เสวียน สมกับเป็นเซียนมากจริงๆ”
ป๋ายเซียนแห่งบทกวี ซูเซียนแห่งถ้อยคำ อวี๋เสวียนแห่งสายยันต์
สวี่เซียนแห่งหมากรุก?
เผยเฉียนพลันยิ้มกว้าง “พี่หญิงไจ้ซี ถ้าหาก ข้าบอกว่าถ้าหาก บรรพบุรุษตระกูลอวี้ของพวกท่านแอบเอาเม็ดหมากล้อมขาวดำร้อยกว่าเม็ดนั่นไปเก็บไว้ แล้วแกะสลักชื่อของผู้ฝึกตนที่เคยมาเล่นหมากล้อมลงไป ก็จะทั้งสามารถเก็บรักษาไว้เป็นของสะสม แล้วยังมีมูลค่ามากอีกด้วย”
อวี้เจวี้ยนฟูมีสีหน้าปั้นยาก
เผยเฉียนถาม “ทำไปแล้วหรือ?”
อวี้เจวี้ยนฟูถอนหายใจ “พวกเราสองคนมาแลกเปลี่ยนสถานะกันเถอะ”
เผยเฉียนส่ายหน้า
นางตัดใจเปลี่ยนไม่ลงหรอก
รอกระทั่งหลินจวินปี้กับอวี้ชิงชิงเล่นหมากล้อมจบหนึ่งตา ใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วยาม แล้วยังต้องทบทวนกระดานหมากกันอีก
เพราะถามอวี้เจวี้ยนฟูมาก่อนแล้ว พอได้รับคำอนุญาต เผยเฉียนจึงพาพี่หญิงเป่าผิงไปเดินเล่นด้วยกัน
พอเดินห่างออกมาไกลแล้ว หลี่เป่าผิงก็ลูบศีรษะของเผยเฉียน เอ่ยว่า “เวลาอยู่กับเพื่อนไม่ต้องระมัดระวังตัวมากขนาดนั้นหรอก”
เผยเฉียนคิดแล้วก็พยักหน้ารับ “จะทำตามที่พี่หญิงเป่าผิงบอก”
หลี่เป่าผิงเอ่ยต่ออีกว่า “เจ้าเพิ่งกลับมาจากสนามรบของเกราะทองทวีป เส้นเอ็นหัวใจยังขมวดตึงตามจิตใต้สำนึกก็เป็นเรื่องปกติ แต่เจ้าจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปตลอดไม่ได้ ปีนั้นอาจารย์อาน้อยพาพวกเราออกเดินทางไกล บางครั้งก็ยังมีแอบอู้บ้าง แล้วนับประสาอะไรกับเจ้าที่เป็นลูกศิษย์เล่า”
เผยเฉียนเอ่ยอย่างอัดอั้น “ต่อให้อาจารย์พ่อแอบอู้ก็เพื่อสะสมกำลังกายและกำลังใจ ไม่เหมือนกันหรอก”
หลี่เป่าผิงเพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร
ซิ่วไฉเฒ่าพลันปรากฏตัว ข้างกายมีเด็กชายสวมหมวกหัวเสือเพิ่มมาคนหนึ่ง ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะร่าไม่หยุด เอ่ยแนะนำกับเด็กชายว่า “เรียกพี่หญิงเป่าผิง พี่หญิงเผยเฉียนได้นะ”
เด็กชายชำเลืองตามองซิ่วไฉเฒ่า ซิ่วไฉเฒ่ารีบเอ่ยอย่างขุ่นเคืองทันที “ดื่มมากไปแล้ว ดื่มมากไปแล้ว อย่าโทษข้าล่ะ อย่างอื่นของเจ้าเฒ่าอวี้ไม่ต้องพูดถึง แต่เรื่องสะสมเหล้ามานานหลายปีนี้ เขาทำเต็มที่เลยจริงๆ”
จากนั้นซิ่วไฉเฒ่าก็ยื่นมีดตัดกระดาษไม้ไผ่เหลืองเล่มเล็กกะทัดรัดเล่มหนึ่งให้เผยเฉียน ด้านบนแกะสลักบทกวีเต็มทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ยิ้มเอ่ยว่า “เผยเฉียน นี่ก็คือของขวัญพบหน้าที่ผู้อาวุโสอวี้มอบให้ตามหลัง รับไว้เถอะ จะเกรงใจกันไปไย ผู้ใหญ่ให้ของก็ไม่ควรปฏิเสธ เป็นวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่ง สำหรับผู้อาวุโสอวี้แล้วเรียกได้ว่าเป็นขนเส้นเดียวจากวัวเก้าตัว เป็นเมล็ดแตงเมล็ดเดียวของภูเขาลั่วพั่ว รับไว้ได้อย่างสบายใจ ไม่อย่างนั้นตาเฒ่าอวี้ต้องร้อนใจเป็นแน่”
เผยเฉียนกำลังจะเปิดปากพูด หลี่เป่าผิงก็กระตุกชายแขนเสื้อเข้าเสียก่อน เผยเฉียนเกาหัว รับมีดตัดกระดาษล้ำค่าเล่มนั้นมา นางมีทรัพย์สมบัติเก็บสะสมอยู่บ้างจริงๆ แต่หากไม่มีวัตถุจื่อชื่อก็ต้องปวดหัวแล้วว่าจะเอากลับไปบ้านได้อย่างไร จะคอยยืมวัตถุจื่อชื่อของพี่หญิงไจ้ซีไปตลอดก็คงไม่ได้ เคยพูดไว้แล้วว่าตอนที่ออกจากเกราะทองทวีปจะคืนให้นาง
จากนั้นซิ่วไฉเฒ่าก็บอกว่าจะจากไปแล้ว จะไปที่ภูเขาสุ้ยซาน
ตั้งแต่ต้นจนจบซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้บอกชื่อแซ่ของเด็กชายที่สวมหมวกหัวเสือแม้แต่คำเดียว
พอซิ่วไฉเฒ่าจากไป หลี่เป่าผิงและเผยเฉียนต่างก็ไปจากบ้านตระกูลอวี้
หลี่เป่าผิงต้องกลับสถานศึกษา ตอนนี้ลูกศิษย์ของสำนักศึกษาซานหยาไปขอศึกษาต่อที่นั่น ส่วนเผยเฉียนที่ออกเดินทางไกลมานานหลายปี ในที่สุดก็จะกลับบ้านเกิดแล้ว เพียงแต่ว่าต้องข้ามทวีปไปยังธวัลทวีปก่อน จากนั้นค่อยอ้อมไปยังอุตรกุรุทวีปที่อยู่ทางเหนือแล้วกลับไปยังแจกันสมบัติทวีป
หลี่เป่าผิงมอบดาบแคบเล่มนั้นให้เผยเฉียน ตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้แค่ลูกเดียว สตรีชุดแดงจูงม้าจากไป
เผยเฉียนยืนอยู่ตรงหน้าประตู ตะโกนเรียกพี่หญิงเป่าผิง หลี่เป่าผิงหันหน้ากลับมา ยิ้มจนตาหยี รอยยิ้มเปิดกว้างสดใส เท้าทั้งสองย่ำพื้นเบาๆ มือทั้งสองโบกรัวเร็ว
เผยเฉียนเกาหัว ถึงอย่างไรก็ไม่กล้าทำนิสัยเด็กๆ แบบนี้อีกแล้ว
เผยเฉียนยืนอยู่หน้าประตูนานมากถึงได้หันตัวเดินกลับเข้าไปในจวน รบกวนให้ผู้ดูแลคนหนึ่งช่วยไปแจ้งก่อนว่านางสามารถไปขอบคุณและเอ่ยลาบรรพบุรุษตระกูลอวี้ได้หรือไม่ ผู้ดูแลคนนั้นยิ้มตอบตกลง
เผยเฉียนได้เจอกับบรรพบุรุษสกุลอวี้ จากนั้นก็เอ่ยลากับอวี้เจวี้ยนฟู อวี้เจวี้ยนฟูจะไปส่งนางที่ท่าเรือตระกูลเซียน เผยเฉียนพาลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อซึ่งตั้งชื่อให้ว่าอาหมานไปด้วยกัน ผลคือพอไปถึงท่าเรือ อวี้เจวี้ยนฟูก็เกิดความคิดกะทันหัน บอกว่าในเมื่อเจ้าเผยเฉียนจะไปศาลเหลยกง ข้าเองก็อยากจะไปเที่ยวเล่นที่นั่นพอดี ไปดูสิว่าจะขอความรู้วิชาหมัดจากผู้อาวุโสเพ่ยอาเซียงได้หรือไม่
บรรพบุรุษสกุลอวี้ยืนอยู่ในศาลาของสวนดอกไม้ส่วนตัวที่แขวนกรอบป้ายคำว่า ‘มู่เหย่หู’ (อีกหนึ่งชื่อเรียกของหมากล้อมจีน) ข้างกายอวี้พ่านสุ่ยมีคุณชายหนุ่มชุดขาวรูปงามยืนอยู่
อวี้พ่านสุ่ยหัวเราะร่าพลางถูมือเอ่ยว่า “อาศัยบารมี อาศัยบารมี โชคดีที่มีพี่ฉีอยู่ โชคจึงเข้าข้างข้า วันนี้ซิ่วไฉเฒ่าถึงได้ลงมือไม่หนัก”
‘คุณชายหนุ่ม’ ที่มาเป็นแขกในตระกูลอวี้ชั่วคราวผู้นี้ก็คือฉีถิงจี้ ตอนอยู่ถ้ำสวรรค์ซานสุ่ยของฝูเหยาทวีปมิอาจช่วยโจวเสินจือเอาไว้ได้ โชคดีที่ภายหลังสามารถสังหารหวานเหยียนเหล่าจิ่งที่เกราะทองทวีปได้ แม้ว่าเกินครึ่งขอบเขตบินทะยานผู้นั้นจะไม่ได้ตายไปอย่างสิ้นซาก เพียงแต่ว่าคุณความชอบทางการสู้รบครั้งนี้ได้หล่นลงบนร่างของเซียนกระบี่ผู้อาวุโสจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ท่านนี้อย่างแท้จริง ส่วนขอบเขตบินทะยานในท้องที่ของฝูเหยาทวีปผู้นั้นก็ยิ่งซาบซึ้งใจในตัวฉีถิงจี้อย่างยิ่ง เขานัดหมายกับฉีถิงจี้เรียบร้อยแล้วว่า รอให้เขาออกจากด่านที่ถ้ำสวรรค์ป๋ายฉือหลิวเสียทวีปเมื่อไหร่ จะไปหาสถานที่เหมาะๆ ดื่มเหล้าด้วยกัน
คำเรียกขานว่าเซียนกระบี่อาวุโส คือพูดถึงอายุในการฝึกตนและการแกะสลักตัวอักษรบนหัวกำแพงเมืองของฉีถิงจี้ แต่ในความเป็นจริงแล้วฉีถิงจี้กลับมีรูปโฉมอ่อนเยาว์อย่างถึงที่สุด อันดับแรกฉีถิงจี้เริ่มมีชื่อเสียงในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก่อน จากนั้นชื่อเสียงถึงได้เลื่องลือไปทั้งทวีป เพียงแต่ว่าฉีถิงจี้กลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย มีข่าวลือบอกว่าเทพเจ้าแห่งโชคลาภสกุลหลิวของธวัลทวีปได้ทุ่มเงินก้อนใหญ่เชื้อเชิญให้ฉีถิงจี้ไปรับหน้าที่เป็น ‘ผู้ถวายงานไท่ซ่าง’ ของตระกูล คำว่าเงินก้อนใหญ่ของสกุลหลิวต้องเป็นเงินก้อนใหญ่ที่เกินกว่าคนจะจินตนาการได้ถึงอย่างแน่นอน ดังนั้นทุกวันนี้ฉีถิงจี้จึงเป็นแขกผู้ทรงเกียรติของสกุลหลิวแล้ว
คุณูปการที่สะสมมาจากสนามรบสองทวีปมากพอจะให้ฉีถิงจี้ก่อสำนักตั้งพรรคอยู่ในใต้หล้าไพศาลแล้ว
แต่ฉีถิงจี้กลับยังลังเล หากลงหลักปักฐานในใต้หล้าไพศาลเมื่อไหร่ ใช้สถานะของบรรพจารย์เปิดภูเขามาสร้างศาลบรรพจารย์ ก็เท่ากับว่าเป็นฝ่ายสละนครบินทะยานและใต้หล้าแห่งที่ห้าทิ้ง ประตูใหญ่สองบานของที่ฝูเหยาทวีปและใบถงทวีปนั้นคงประคับประคองตัวอยู่ได้แค่ไม่กี่ปี รายงานขุนเขาสายน้ำของใต้หล้าไพศาลที่เกี่ยวกับนครบินทะยานแทบจะเรียกได้ว่าว่างเปล่า ไม่อย่างนั้นก็เป็นข่าวเล็กๆ น้อยๆ ที่แต่งเรื่องกันขึ้นมาส่งเดช
ก่อนหน้านี้ซิ่วไฉเฒ่ามาหาถึงที่ ฉีถิงจี้เป็นฝ่ายหลีกเลี่ยงไม่พบหน้า คิดไม่ถึงว่าจะทำให้เขาพลาดเจอกับเด็กชายสวมหมวกหัวเสือคนนั้น
อวี้พ่านสุ่ยถึงขั้นไม่กล้าเรียกชื่อของอีกฝ่ายออกมา เพราะเขาพูดอึกๆ อักๆ ฉีถิงจี้จึงเดาผลลัพธ์สุดท้ายของศึกที่ฝูเหยาทวีปได้คร่าวๆ ศาลบุ๋นของลัทธิขงจื๊อต้องจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อย
อวี้พ่านสุ่ยยิ้มเอ่ย “เจ้าหลิวจวี้เป่าผู้นั้นมือเติบใจป้ำ จิตใจก็ยิ่งเด็ดเดี่ยวมากกว่า ดังนั้นจึงสู้ข้าไม่ได้ ไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่เหรียญเดียวก็สามารถทำให้พี่ฉีมาเป็นเค่อชิงที่แขวนชื่อในจวนสกุลอวี้ได้แล้ว วิญญูชนคบหากันบริสุทธิ์ดุจน้ำเปล่านี่นะ”
ฉีถิงจี้ยิ้มรับคำกล่าว
อวี้พ่านสุ่ยเก็บรอยยิ้ม ถามว่า “คิดจะตอบแทนสกุลหลิวอย่างไร?”
ฉีถิงจี้เอ่ย “ข้าจะลองไปพบท่านเทพเจ้าแห่งโชคลาภของสกุลหลิวผู้นี้ดูก่อน”
อวี้พ่านสุ่ยพยักหน้ารับ ในสวนดอกไม้ เพียงชั่วพริบตาร้อยบุปผาก็พากันเบ่งบาน นาทีถัดมาบุรุษวัยกลางคนเรือนกายสูงเพรียว สวมชุดเรียบง่ายแต่สง่างามคนหนึ่งก็เหมือนกับว่ายืนอยู่ท่ามกลางมวลบุปผา เขาเดินเข้ามาในศาลา กุมหมัดยิ้มเอ่ยกับฉีถิงจี้ “หลิวจวี้เป่าคารวะเซียนกระบี่ฉี”
ฉีถิงจี้กุมหมัดคารวะกลับคืน
อวี้พ่านสุ่ยยิ้มเอ่ย “พวกเจ้าคุยกันไปก่อน ข้าจะไปพบเด็กรุ่นเยาว์คนนั้นสักหน่อย ดูสิว่าจะล้างสมองเจ้าเด็กนั่น ให้เขาเป็นเขยที่แต่งเข้าสกุลอวี้ของข้าได้สำเร็จหรือไม่”
หลิวจวี้เป่ากระตุกมุมปาก
อวี้พ่านสุ่ยตบศีรษะตัวเอง ดีดนิ้วหนึ่งที ริมกรอบป้ายก็มีควันเขียวกลุ่มหนึ่งปรากฎ สุดท้ายรวมตัวกลายเป็นสตรีหน้าตางดงามเรือนกายอรชรที่คอยติดตามอยู่ด้านหลังบรรพบุรุษสกุลอวี้