ตอนที่ 1660: ไปด้วยกัน

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 1660: ไปด้วยกัน

นอกจากนี้ยังมีจอมยุทธขอบเขตดั้งเดิมจากโลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้งซึ่งยังคงอยู่ในโลกนี้ พวกเขาทั้งหมดแสดงสีหน้าอย่างหวาดกลัวเนื่องจากความกดดันนั้นยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่พวกเขาเคยรู้สึกจากจิตวิญญาณราชันย์

ราชาเทพ… เจี้ยนเฉินจ้องไปยังแสงสีเขียวจากเกาะสามเซียนและบ่นกับตัวเอง เขาเคยเห็นราชาเทพหลายครั้ง ทั้งผู้พิทักษ์ชุยและเอเดรียนน่าได้ลงมายังโลกนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นพลังที่แท้จริงของราชาเทพพวกเขาสามารถทำลายจักรวาลได้ด้วยการดีดนิ้ว

ในส่วนลึกของอวกาศ ทะเลแสงสีม่วงก็ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น สายฟ้าสีม่วงกระจายไปทั่ว ขณะที่พวกเขาพุ่งเข้าหาเอเดรียนน่าอย่างรวดเร็วด้วยการมีอยู่ของโลกที่อธิบายไม่ได้

ตอนนี้ความแข็งแกร่งของเอเดรียนน่าในฐานะราชาเทพได้รับการเปิดเผยแล้ว โลกไม่ยอมรับนางอีกต่อไป ดังนั้นกฏของโลกจึงต้องเข้ามา

กฏเป็นพลังพิเศษ ความจริงที่ว่าเอเดรียนน่าอ่อนแอลงและไม่สามารถใช้พลังของนางได้เต็มที่แม้ว่านางจะอยู่ในสภาพดี นางก็ต้องผ่านพ้นจากการทดสอบเช่นวันนี้ เว้นแต่ว่านางจะใช้สมบัติที่จอมยุทธของเผ่าเทพให้กับนางเพื่อให้นางได้รับการปกป้องจากกฏของโลก

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ทะเลสายฟ้าม่วงจะพุ่งเข้าใส่เอเดรียนน่า โถงเทพเจ้าสงครามได้เข้าไปยังอุโมงค์โลกเซียนพร้อมกับถูกปกคลุมด้วยแสง มันหายไปจากโลกและการปรากฏตัวของเอเดรียนน่าก็หายไปเช่นกัน

เมื่อไม่อาจรับรู้ถึงการปรากฏตัวของเอเดรียนน่าได้อีก ทะเลสายฟ้าม่วงก็หายไปในที่สุด ไม่นานจักรวาลก็กลับเข้าสู่สภาพสงบก่อนหน้านี้

เจี้ยนเฉินนั่งอยู่บนเกาะสามเซียนอย่างเงียบ ๆ ขณะที่เขาดื่มคนเดียว เขาต้องไปยังพื้นที่ที่พึ่งสงบด้วยความงุนงง เขารู้ว่าเถี่ยต้าได้ออกไปแล้ว เขาจากโลกนี้ไปแล้วและเขาก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่พวกเขาจะได้พบกันอีก บางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้พบกันอีก

ผู้คนที่คุกเข่านับไม่ถ้วนที่ภูเขาเทพเจ้าสงครามลุกขึ้นในทวีปแห่งความสูญเปล่า พวกเขาทั้งหมดเต็มไปด้วยความลังเลอย่างหนักที่จะแยกจากเทพเจ้าสงคราม โถงเทพเจ้าสงครามได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของทวีปแห่งความสูญเปล่าได้หายไป ตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยรูปปั้นทองคำ

รูปปั้นสูง 300 เมตรและดูเหมือนกับเถี่ยต้า มันมีพลังลึกลับไหลเวียนอยู่ภายใน มันยืนอยู่อย่างเงียบ ๆ มีชั้นวิญญาณแผ่พลังออกมา มันส่องแสงสีทองสว่างรอบ ๆ ตัวของมัน

นี่คือรูปปั้นที่เถี่ยต้าทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง รูปปั้นบรรจุพลังของเขาไว้ มันกลายเป็นสัญลักษณ์ใหม่ของร้อยเผ่าพันธุ์และยังเป็นการป้องกันที่ทรงพลังในการปกป้องร้อยเผ่าพันธุ์

ความโกลาหลที่เกิดจากการจากไปของเถี่ยต้าก็สิ้นสุดลงไม่นาน การจากไปของเขาทำให้สหายที่ดีที่สุดของเขารู้สึกหดหู่ใจ ขณะที่คนไม่ได้รู้จักเขาไม่สนใจเลย อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็จะนึกย้อนกลับไปเมื่อเถี่ยต้าเป็นผู้นำร้อยเผ่าพันธุ์ต่อสู้กับโลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้งและวิกฤติของโลก และถอนหายใจด้วยเหตุนี้ ขณะเดียวกันเซียนที่ถูกทอดทิ้งที่อาศัยอยู่ในต่างโลกนั้นรู้สึกโล่งใจและดีใจสำหรับการจากไปของเถี่ยต้าโดยไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ ทั้งสิ้น

การจากไปของเถี่ยต้าหมายความว่าจอมยุทธขอบเขตดั้งเดิมที่ทรงพลังของโลกน้อยลงไปคนหนึ่ง

โลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้งยังมีรากฐานที่สมบูรณ์และมั่งคงในโลกทวีปเทียนหยวน ไม่ว่าจะเป็นทวีปเทียนหยวน, ทวีปสัตว์เทวะ , ทวีปแห่งความสูญเปล่าหรืออาณาจักรทะเล พวกเขาได้รับอาณาเขตขนาดใหญ่ทุกที่ พวกเขาไม่ได้ขยายตัวต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เนื่องจากระดับสูงของต่างโลกเข้าใจว่า แม้ว่าเจี้ยนเฉินได้บอกพวกเขาว่าพวกเขาสามารถซื้อที่ดินได้ตามที่พวกเขาพอใจ การขยายตัวอย่างประมาทจะนำไปสู่การแทรกแซงของจอมยุทธขอบเขตดั้งเดิม

โลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้งกำลังพยายามหลอมรวมกับผู้คนในโลกนี้อย่างสมบูรณ์ คนที่รับผิดชอบโลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้งไม่ต้องการให้มีข้อพิพาทกับจอมยุทธขอบเขตดั้งเดิมจากต่างโลกเพราะมันเป็นอันตรายต่อการพัฒนาเผ่าพันธุ์ของพวกเขาในอนาคต นอกจากนั้นพวกเขาไม่ทะเยอทะยานจนเกินไปในตอนแรก พวกเขาเพียงต้องการที่จะหาสถานที่ปลอดภัยให้คนที่อ่อนแอกว่า จอมยุทธขอบเขตเซียนจะคงอยู่ในโลกเดิมเป็นส่วนใหญ่

ด้วยการเข้าของเซียนที่ถูกทอดทิ้ง โลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้งก็เปิดตัวเองขึ้นกับผู้คนทั้งสี่เผ่าพันธุ์ พลังงานของโลกที่สมบูรณ์และพลังงานดั้งเดิมในโลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้งได้ดึงดูดจอมยุทธขอบเขตเซียนจำนวนไม่น้อยจากสี่เผ่าพันธุ์ นอกจากนี้ทรัพยากรและสมบัติล้ำค่ามากมายในโลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้งนั้นไม่อาจนำมาเปรียบเทียบได้กับต่างโลก เนื่องจากพลังงานดั้งเดิมยังไม่หมด ทำให้พวกเขาเติบโตในสภาพแวดล้อมที่อุดมไปด้วยพลังงานดั้งเดิม ซึ่งมันก็เพียงพอแล้วที่ผู้เชียวชาญขั้นเซียนหลายคนจะปฏิบัติต่อโลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้งราวกับว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ จอมยุทธขอบเขตเซียนหลายคนออกเดินทางเพื่อหาโชคลาภในการเพิ่มความแข็งแกร่ง

แม้ว่ากฎของโลกในทวีปเทียนหยวนจะค่อย ๆ สมบูรณ์และพลังงานดั้งเดิมจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่ก็ไม่อาจสู้กับโลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้งได้ในเร็ววัน ด้วยเหตุนี้โลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้งจึงกลายเป็นสถานที่ที่จอมยุทธขอบเขตเซียนมากมายต้องการเดินทางไป

ในพริบตา 3 ปีก็ผ่านไปนับตั้งแต่เถี่ยต้าออกเดินทาง ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเจี้ยนเฉินยังคงอยู่บนเกาะสามเซียนโดยไม่เคยก้าวออกไปจากเกาะเลย เขาไม่ได้ใส่ใจกับการพัฒนาของโลกภายนอกและไม่ได้ยุ่งเกียวกับสิ่งใดในทวีปเทียนหยวน เขาใช้ชีวิตอยู่อย่างปลีกวิเวก

เจี้ยนเฉินพาพ่อแม่ของเขามาที่เกาะสามเซียนอย่างรวดเร็ว พวกเขาอาศัยอยู่บนเกาะสามเซียน โหยวเยว่และหวงหลวนกำลังบ่มเพาะอยู่ที่เกาะสามเซียน

เจี้ยนเฉินไม่ได้ปลีกตัวหรือบ่มเพาะใด ๆ ในหลายปีที่ผ่านมา เขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและทำตัวเหมือนคนธรรมดา เขานำเรือออกไปพร้อมกับเจียงหยางป้าและซ่างกวนเอ๋อเจี้ยนเป็นครั้งคราวเพื่อไปตกปลา ดูเหมือนว่าเขาจะพอใจอย่างมาก

ในช่วงหลายปีมานี้ ซ่างกวนเอ๋อเจี้ยนก็ได้หยุดการบ่มเพาะเช่นกัน เขาใช้เวลาอยู่เคียงข้างบิดาของเขา มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าเขาไม่มีความสุขเลยแม้จะยิ้มและหัวเราะบ่อยครั้ง เขากลับรู้สึกว่าจิตวิญญาณของเขาตกต่ำมาก เขารู้จักบิดาของเขา เขาเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงของบิดาของเขา มันเป็นสัญญาณของเขาที่จะออกจากโลกนี้ไปในอีกไม่นาน

ที่ชายฝั่ง เจี้ยนเฉิน, ซ่างกวนเอ๋อเจี้ยน, ซ่างกวนมู่เอ๋อ, เจียงหยางป้า,ไป๋หยุนเทียน, โหยวเยว่, หวงหลวนและคนอื่น ๆ กินปลาย่างด้วยความสนใจอย่างมาก ทั้งครอบครัวดื่มสุราและพูดคุยกับสิ่งต่าง ๆ อย่างร่าเริง

แม้ว่าหวงหลวนและโหยวเยว่จะเป็นคนที่แต่งงานกับเจี้ยนเฉินอย่างเป็นทางการ แต่พวกนางก็ไม่มีความลังเลที่จะยอมรับซ่างกวนมู่เอ๋อเลย พวกนางยอมรับว่าซ่างกวนมู่เอ๋อเป็นพี่ใหญ่ของพวกนาง เนื่องจากมีหลายกรณีที่ผู้ชายมันจะพาภรรยาเข้าบ้านในทวีปเทียนหยวน ไม่เว้นแม้แต่เจี้ยนเฉิน

ในขณะนี้ท่าทางของเจี้ยนเฉินที่กำลังกินปลาของเขาก็เปลี่ยนไป เขาค่อยๆวางปลาที่กินชั่วคราวและพูดกับทุกคน ข้ามีเรื่องที่ต้องจัดการ ข้าขอตัวก่อน ข้าจะรีบกลับมา จากนั้นเจี้ยนเฉินก็หายไป ในเวลาเดียวกันมีแสงสีม่วงอยู่บนท้องฟ้าที่ไกลออกไปและหายลับไปกับขอบฟ้า

ตรงข้ามภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในทวีปเทียนหยวน ในเวลาเดียวกันมันก็เป็นเขตต้องห้ามสำหรับผู้บ่มเพาะมนุษย์มากมาย แม้แต่เซียนผู้คุมกฏก็ไม่อาจก้าวเข้ามาในนี้ได้เพราะตระกูลสัตว์อสูรที่ทรงพลังได้ครอบครองเทือกเขาอยู่ มันเป็นตระกูลกิลลิกัน

แม้ว่าสถานการณ์ของโลกจะเปลี่ยนแปลงไป ตระกูลกิลลิกันก็ไม่ได้รับผลกระทบ เพราะที่อยู่อาศัยของพวกเขาเป็นสถานที่ที่มนุษย์ไม่กล้าย่างเท้าเข้ามา พร้อมกับการต่อต้านของพยัคฆ์ปีกเทวะ ที่แม้แต่เซียนจักรพรรดิก็ไม่กล้าที่จะกระตุ้นพวกเขา ทำให้ตระกูลเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ในตอนนี้บนยอดเขาที่สูงเสียดเมฆมีชายกลางคนที่มีท่าทางธรรมดานั่งอยู่บนหิน เสื้อผ้าของเขาเรียบง่ายและผมสีดำราวกับหมึกของเขาก็ปลิวไปด้านหลังโดยไม่มีแรงลม

ด้านหน้าชายกลางคนมีโต๊ะหิน มีถ้วยหยกสองใบที่ทำขึ้นอย่างปราณีตและกาสุราที่ไม่ใหญ่นัก มันส่งกลิ่นหอมอย่างมีเสน่ห์

ในตอนนี้มีแสงสีม่วงกระพริบเข้ามา ชายหนุ่มที่ดูอายุราว ๆ 20 ปีก็มาถึงยอดเขา ชายหนุ่มหล่อเหลามาก ใบหน้าของเขาหนักแน่นและคิ้วของเขาก็ตรงอย่างหมดจรด เขาให้ความแหลมคมในขณะที่ดวงตาของเขาส่องประกายราวกับกระบี่ที่ซ่อนไว้อยู่

ชายหนุ่มคือเจี้ยนเฉิน

เฉินเจี้ยน เจ้าเรียกข้ามาที่นี่ทำไม ? เจี้ยนเฉิมมองไปที่ชายกลางคนและถามอย่างใจเย็น

ชายกลางคนคือผู้ปกครอสูงสุดของโลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้ง จิตวิญญาณราชันย์

เฉินเจี้ยนผายมือเชิญเจี้ยนเฉินให้นั่งลงและกล่าวว่า ข้าเรียกเจ้ามาเพาะข้ามีบางอย่างที่ต้องการคุยกับเจ้า

เจี้ยนเฉินนั่งลงด้านหน้าเฉินเจี้ยนและจากนั้นก็เทสุราลงจอกของตน เฉินเจี้ยนกล่าวว่า เรื่องของโลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้งถูกจัดการโดยพื้นฐานแล้ว แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่ความแข็งแกร่งของข้าจะเพิ่มขึ้น ถ้าข้ายังอยู่ที่นี่ ดังนั้นข้าวางแผนที่จะไปยังโลกที่สูงกว่านี้ เฉินเจี้ยนมองไปที่เจี้ยนเฉินและพูดต่อว่า แล้วเจ้าล่ะ ? เจ้าวางแผนที่จะออกเดินทางไปเมื่อไหร่ ?

เจี้ยนเฉินไม่ได้รีบร้อน เขาดื่มสุราลงเล็กน้อย สุราเป็นของหายากและมีความหลากหลาย แต่เจี้ยนเฉินก็ไม่อาจลิ้มรสเลิศในปากของเขาได้เลย มันกลับเต็มไปด้วยความขมขื่น

ข้าไม่เหมือนเจ้าที่โดดเดี่ยวและไม่มีความผูกพันกับใคร ๆ นอกจากเป็นผู้ปกครองโลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้ง ข้าไม่อาจมาและไปได้ตามที่ต้องการ โลกนี้ยังคงมีความผูกพันกับข้ามากเกินไป ไม่เพียงแต่บิดามารดาที่เลี้ยงดูข้าเท่านั้น ข้ายังมีภรรยาและสหายอีกมากมายที่เคยต่อสู้เคียงข้างกัน โลกเซียนเป็นสถานที่อันตราย ในโลกนี้ไม่มีใครหยุดเราได้ แต่เมื่อเราไปถึงโลกเซียน เราก็ไม่มีอะไรเลย ข้าไม่อาจเห็นคนที่อยู่ใกล้ ๆ ข้าได้อีกเมื่อข้าจากไป เจี้ยนเฉินกล่าวอย่างขมขื่น

งั้น เจ้าวางแผนที่จะอยู่ที่นี่ตลอดไปหรือ ? เฉินเจี้ยนถาม

เจี้ยนเฉินส่ายหัว ข้าจะไปโลกเซียน แต่ข้าไม่ได้รีบ อย่างน้อย ๆ ข้าต้องใช้เวลาอยู่กับพ่อแม่และภรรยาของข้าให้มากขึ้น

จริง ๆ แล้วเจ้าสามารถพาพ่อแม่และคนที่ใกล้ชิดเจ้าไปกับเจ้าได้ แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่ถึงขอบเขตดั้งเดิม ตราบใดที่เจ้าใช้บางสิ่งเหนี่ยวรั้งผู้คน เจ้าก็ยังสามารถผ่านอุโมงค์มิติและเข้าสู่โลกเซียน เฉินเจี้ยนกล่าว

ด้วยความแข็งแกร่งของข้าตอนนี้ มันคงเป็นเรื่องยากที่จะอยู่ในโลกเซียนได้อย่างมั่นคง ชีวิตของข้าจะตกอยู่ในอันตรายหากเกิดความประมาท ข้าควรจะพาพ่อแม่ไปกับข้าและใช้ชีวิตอยู่บนความเสี่ยงหรือ ? หากเป็นเช่นนั้น ข้าอาจทิ้งพวกเขาไว้ที่นี่เพื่อที่เขาจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแทน เจี้ยนเฉินหัวเราะเยาะตัวเอง เขาไม่คิดจะพาพ่อแม่ของเขาไปที่โลกเซียน อย่างน้อยที่สุดเขาต้องการพลังที่จะอยู่ได้ในโลกที่สูงกว่าและให้แน่ใจว่าเขาสามารถปกป้องพ่อแม่ของเขาก่อนที่จะคิดอย่างนี้

แล้วเจ้าจะวางแผนออกเดินทางเมื่อไหร่ ? เจี้ยนเฉินถามต่อ มีความรู้สึกผสมปนเปในสายตาของเขาที่มีต่อเฉินเจี้ยน ท้ายที่สุดพวกเขาทั้งสองมาจากโลกเดียวกันในอดีตและตอนนี้พวกเขาก็อยู่ต่างโลก แม้ว่าพวกเขาจะเป็นคู่ต่อสู้กันมาระยะหนึ่ง เจี้ยนเฉินก็ยังรู้สึกคุ้นเคยกับเฉินเจี้ยน

ข้าสามารถจากไปได้ทุกเมื่อที่ต้องการ แต่อย่างที่เจ้าพูด โลกเซียนนั้นอันตราย ด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ของข้า ข้าอาจจะต้องดิ้นราเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ ดังนั้นข้าวางแผนที่จะไปกับเจ้า ด้วยความแข็งแกร่งของเรา ข้าเชื่อว่าเราจะสามารถเดินทางในโลกเซียนได้ จิตวิญญาณราชันย์มองเจี้ยนเฉินและพูดอย่างจริงจัง

หลังจากคิดเล็กน้อย เจี้ยนเฉินก็เห็นด้วยกับเขา เขาพูดว่า เอาล่ะ งั้นเราก็ไปด้วยกัน แต่เจ้าต้องให้เวลาข้าสักหน่อย

“ตกลง”