เมื่อแสงกระบี่พร่างพราวเจ็ดสีเส้นนั้นออกมาจากนครบินทะยาน แล้วแหวกทะลุม่านฟ้าออกจากใต้หล้าไปโดยตรง ตลอดทั้งนครบินทะยานก็จมสู่ความเงียบสงัดไปครู่หนึ่ง จากนั้นทั่วทั้งเมืองก็เต็มไปด้วยเสียงฮือฮา แสงตะเกียงนับไม่ถ้วนสว่างไสว ผู้ฝึกกระบี่หลายคนรีบร้อนออกมาจากเรือน แหงนหน้ามองไป หรือว่าหนิงเหยาฝ่าทะลุเป็นขอบเขตบินทะยานแล้ว?!
เรือนสกุลเฉินที่ถนนไท่เซี่ยง เฉินซีอดีตเซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่เปลี่ยนชื่อเป็นเฉินจี ทุกวันนี้มีรูปโฉมเป็นเด็กหนุ่ม เดิมทีกำลังเดินเล่นยามค่ำคืนอยู่ในระเบียง จึงเป็นคนแรกๆ ที่ได้เห็นภาพเหตุการณ์ผิดปกตินั้นพอดี ตอนนี้เฉินจีเก็บซ่อนทั้งสถานะที่แท้จริงและขอบเขตเอาไว้ ดังนั้นด้านหลังจึงยังมีข้ารับใช้หญิงที่คอยคุ้มกันอยู่เหมือนเดิม เป็นเวทอำพรางตาที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ อันที่จริงทุกๆ หนึ่งปีที่ผ่านไปในนครบินทะยานแห่งนี้ เฉินจีก็จะขยับเข้าใกล้เฉินซีเซียนกระบี่ที่เคยแกะสลักตัวอักษรในอดีตหนึ่งก้าว ดังนั้นผู้ฝึกกระบี่องค์รักษ์หญิงที่เป็นนักรบพลีชีพด้านหลัง ‘เด็กหนุ่ม’ จึงยิ่งอยู่ห่างจากความตายมากขึ้นทุกที จากนั้นก็ยิ่งขยับเข้าใกล้จุดสูงของวิถีกระบี่มากขึ้นเรื่อยๆ
เฉินจีถอนหายใจ รู้สึกว่าหนิงเหยาเรียกกระบี่เซียนออกมาครั้งนี้ เร็วเกินไปหน่อย จะต้องมีภัยแฝงอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นรอกระทั่งหล่อหลอมมันอย่างสมบูรณ์แบบ แล้วใช้สิ่งนี้มาฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตเซียนเหริน เลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยาน จะเหมาะสมที่สุด เพียงแต่ว่าแม้เฉินจีจะไม่แน่ใจว่าเหตุใดหนิงเหยาถึงทำเช่นนี้ ทว่าในเมื่อหนิงเหยาเลือกจะเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ ก็เชื่อว่านางต้องมีเหตุผลเป็นของตัวเอง แน่นอนว่าเฉินจีย่อมไม่คิดจะไปชี้ไม้ชี้มือบงการ ใช้สัจธรรมใหญ่ของนครบินทะยานมาอธิบายเหตุผลกับหนิงเหยาที่แค่รับตำแหน่งอิ่นกวานชั่วคราว หนึ่งเพราะในฐานะอดีตเจ้าประมุขสกุลเฉิน ผู้สืบทอดควันธูปที่สำคัญที่สุดของสายเฉินชิงตู เฉินจีไม่ได้ใจแคบถึงขนาดนั้น นอกจากนี้ทุกวันนี้ขอบเขตของเฉินจียังไม่มากพอ ไปหาหนิงเหยา? ถามกระบี่? อยากโดนฟันหรือไร?
จากนั้นเฉินจีก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น ไม่เพียงแต่เขาและองค์รักษ์หญิงเท่านั้น ผู้ฝึกกระบี่แทบทุกคนที่ถูกภาพเหตุการณ์ผิดปกติทำให้ตกใจต่างก็สังเกตเห็นว่าหนิงเหยาที่สวมุดคลุมอาคมสีขาวหิมะสะพายกล่องกระบี่ขี่กระบี่ออกไปจากนครบินทะยาน ดูท่าเหมือนจะเดินทางไกลไปยังสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง
สาวใช้ที่รูปโฉมธรรมดาผู้นั้นอดไม่ไหวเอ่ยเสียงเบาว่า “สาวงามประหนึ่งกระบี่หยกประหนึ่งสายรุ้ง คนและแสงกระบี่ล้วนงดงาม”
ในอดีตตระกูลชั้นสูงบนถนนไท่เซี่ยงและถนนอวี้ฮู่มักจะอบรมปลูกฝังข้ารับใช้ถือกระบี่หญิงที่เป็นตัวอ่อนกระบี่ไว้หลายคน ปฏิบัติกับพวกนางดีเยี่ยม ในอนาคตยามแต่งงานก็ล้วนอยู่ในบ้านของตัวเอง
สาวใช้ที่คุณสมบัติดีเยี่ยมผู้นี้มีชื่อว่าเหยียนเฉวียน ได้รับการประทานแซ่คือแซ่เฉิน
เฉินเหยียนเฉวียนเลื่อมใสหนิงเหยามานานมากแล้ว มักจะรู้สึกว่าสตรีบนโลก หากเป็นได้อย่างหนิงเหยาก็งดงามอย่างถึงที่สุดจริงๆ
ครั้งนี้หนิงเหยาเดินทางไกลอย่างไร้สัญญาณบอกกล่าว ยังคงสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ เหยียบอยู่บนกระบี่เล่มยาว กระบี่ยาวที่ซ่อนอยู่ในกล่องกระบี่มีชื่อว่าเจี้ยนเซียน
ในอดีตเฉินจีตั้งใจจะจับคู่ให้นางเป็นคู่บำเพ็ญเพียรของเฉินซานชิว เพียงแต่ว่าเฉินซานชิวยังคงคิดถึงอาลัยอาวรณ์ต่งปู้เต๋ออยู่มิคลาย ความคิดนี้ของเฉินจีจึงเบาบางลง
สีหน้าของเฉินจีเคร่งเครียด “หนิงเหยาจงใจออกห่างไปจากนครบินทะยาน หมายจะล่อให้พวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลเหล่านั้นฉวยโอกาสนี้ล้อมฆ่าตัวเอง นางต้องการสะบั้นผลกรรมด้วยตัวเอง ทำให้การสยบกำราบบนมหามรรคามากมายที่เกิดจากนางไม่หล่นลงมาบนนครบินทะยานแม้แต่น้อย”
มิอาจขัดขวางไม่ให้หนิงเหยาออกจากนครได้ ยิ่งไม่อาจช่วยเหลือได้แม้แต่น้อย
เฉินจีเอ่ยเยาะเย้ยตัวเอง “ขอบเขตไม่พอ หรือว่าจะต้องดื่มเหล้าเอามาผสมจริงๆ?”
หลายปีมานี้เฉินจีจงใจชะลอฝีเท้าในการฝ่าทะลุขอบเขต ดังนั้นทุกวันนี้จึงเพิ่งเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดได้ไม่นานเท่าไร ไม่อย่างนั้นหากเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนเร็วเกินไป ความเคลื่อนไหวรุนแรงเกิน ก็ยากที่เขาจะปิดบังตัวตนได้อีก ชีวิตสุขสบายอย่างทุกวันนี้ เฉินจีอยากจะมีไปอีกหลายปี จะดีจะชั่วก็รอให้เนื้อหนังมังสานี้อายุยี่สิบปีเสียก่อนค่อยออกจากภูเขาก็ยังไม่สาย พอดีกับที่สามารถมองดูการเติบโตของคนรุ่นเยาว์อย่างพวกฉีโซ่ว เกาเหย่โหว ฯลฯ ได้มากหน่อย ภายในเวลาร้อยปีนี้ เฉินจียังไม่ยินดีจะกลับคืนสู่สถานะ ‘เฉินซี’
เฉินเหยียนเฉวียนรู้สึกใคร่รู้ว่าแสงกระบี่เส้นนั้นจะใช้แสงของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เล่าลือกันว่าหนิงเหยาจะไม่เรียกออกมาง่ายๆ อย่างจ่านเซียนหรือไม่
ส่วนเฉินจีก็กังขาว่าอริยะปราชญ์ที่นั่งเฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าในทุกวันนี้เป็นเพราะขัดขวางกระบี่เซียน ‘เทียนเจิน’ เล่มนั้นไม่ได้ จึงต้องหลบเลี่ยงประกายแหลมคมของมัน หรือว่าไม่คิดจะขัดขวางจึงปล่อยให้มันออกไปได้ง่ายๆ กันแน่
นี่สำคัญอย่างมาก รู้เพียงเล็กน้อยก็อนุมานไปได้ยาวไกล นี่เกี่ยวพันกับท่าทีที่แท้จริงที่ศาลบุ๋นมีต่อนครบินทะยานว่าจะทำตามสัญญาบางข้อที่บอกว่าจะไม่พันธนาการผู้ฝึกกระบี่หรือไม่
อริยะปราชญ์ที่มีเทวรูปผู้นั้นจะดูดายอยู่เฉยๆ เพียงแค่รับผิดชอบคอยจับตามองดูใต้หล้าใหม่เอี่ยม ขณะเดียวกันก็ทำตามกฎของหลี่เซิ่งที่ถือโอกาสตรวจตรานครบินทะยาน คอยจดบันทึกการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนของคุณความชอบของใต้หล้าหนึ่งแห่ง หรือว่าเอาจุดสำคัญในการตรวจตรานี้ไปวางไว้บนนครบินทะยาน ป้องกันผู้ฝึกกระบี่ทุกคนราวกับป้องกันโจรกันแน่ นี่ต่างหากถึงจะเป็นเรื่องที่เฉินจีให้ความสนใจที่สุด หากเป็นอย่างแรก นครบินทะยานอีกร้อยปีให้หลังยินดีจะปฏิบัติต่อลัทธิขงจื๊ออย่างมีมารยาท ตัดขาดบุญคุณความแค้นที่มีต่อใต้หล้าไพศาลอย่างสิ้นเชิง หากเป็นอย่างหลังเฉินจีก็ไม่ถือสาที่จะใช้สถานะของเฉินซีถามกระบี่ต่อม่านฟ้า
ขอแค่เป็นผู้ฝึกกระบี่ ใครเล่าจะไม่เจ้าอารมณ์บ้างเลย?
เฉินจีพลันยิ้มถามว่า “เหยียนเฉวียน เจ้ารู้สึกว่าใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเราคนนั้นยามอยู่ข้างกายหนิงเหยาจะกล้าพูดจาแรงๆ ใส่นาง จะสามารถทำตัวเหมือนลูกผู้ชายอย่างเราๆ หรือไม่?”
เฉินเหยียนเฉวียนได้ยินแล้วก็หยุดคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “ในอดีตตอนที่อยู่นอกประตูจวนหนิง ดูเหมือนว่าหนิงเหยาจะเชื่อฟังใต้เท้าอิ่นกวานอยู่มาก ส่วนตอนอยู่ในจวนหนิง บ่าวคาดว่าใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเราคงยากจะมีมาดวีรบุรุษองอาจอะไรได้ ได้ยินมาว่าทุกครั้งที่อิ่นกวานมาดื่มเหล้าที่ร้านของตัวเอง พอไปถึงหน้าประตูจวนหนิงกลับทำตัวราวกับโจร แล้วก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ แต่บนโต๊ะเหล้าในเมืองล้วนเล่าลือกันเช่นนี้ ที่ยิ่งเกินกว่าเหตุก็คือมีผีขี้เหล้าที่ท่องกลอนได้คนหนึ่งพูดจาน่าเชื่อถือ ตบอกรับรองว่าตัวเองเคยเห็นกับตาว่ามีคืนหนึ่งใต้เท้าอิ่นกวานกลับไปถึงบ้านดึกเกินไป เคาะประตูอยู่นานก็ยังไม่มีใครมาเปิดประตูให้ แล้วก็ไม่กล้าปีนกำแพง เขาที่หวังดีก็เลยนั่งคุยเป็นเพื่อนอิ่นกวานจนฟ้าสาง ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้เขาจะต้องรู้สึกอยากปาดน้ำตาแทนอิ่นกวานทุกที”
เฉินจีพูดอย่างฉุนๆ ปนขัน “ขนบธรรมเนียมบนโต๊ะเหล้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีตบริสุทธิ์เรียบง่ายถึงเพียงนั้น รอกระทั่งบัณฑิตสองคนมาถึงก็เริ่มเปลี่ยนไปไม่เหลือเค้าเดิม เละเทะจนทนมองทนฟังไม่ได้”
เฉินเหยียนเฉวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “อันที่จริงบ่าวค่อนข้างคิดถึงใต้เท้าอิ่นกวาน”
เฉินจียิ้มถาม “เป็นเพราะเจ้ารู้สึกว่าหัวสมองของเฉินผิงอันค่อนข้างดี?”
เฉินเหยียนเฉวียนส่ายหน้า “บ่าวแค่รู้สึกว่ายามที่อิ่นกวานหนุ่มอยู่ในสังคม มีจิตใจที่สงบเป็นกลาง ดังนั้นคนอื่นๆ จึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะเกิดข้อผิดพลาด”
เฉินจีพยักหน้า “เข้าใจได้”
หนิงเหยาขี่กระบี่ไปยังป้ายศิลาอักษร ‘กระบี่’ ที่ถูกตั้งวางใหม่ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกสุดของนครบินทะยานเพียงลำพัง
นางขี่กระบี่เร็วมาก รวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ราวกับเซียนเหรินร่ายวิชาอภินิหารหดย่อขุนเขาสายน้ำ ขี่กระบี่แหวกผ่าทะเลเมฆแต่ละผืน ระหว่างนั้นยังลอดผ่านทะเลเมฆที่มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบ แค่ขยับเข้าใกล้เล็กน้อยก็ถูกปราณกระบี่ท่วมท้นทั่วร่างของหนิงเหยาบดขยี้จนแหลกเละ
เก็บกระบี่เข้ากล่อง พลิ้วกายลงข้างป้ายศิลา หนิงเหยาหันหลังพิงป้ายศิลา เริ่มหลับตาทำสมาธิ
หนิงเหยาใช้เสียงในใจบอกผู้ฝึกกระบี่ของนครบินทะยานทุกคนที่อยู่ใกล้เคียงให้ถอยห่างไปจากที่นี่ พยายามขยับเข้าใกล้นครบินทะยานให้ได้มากที่สุด
ผู้ฝึกกระบี่หลายสิบคนบอกกล่าวต่อๆ กันไป จากนั้นก็พากันขี่กระบี่ออกไปจากที่นี่โดยไม่มีความลังเล
หลังจากที่หนิงเหยาเรียกกระบี่ ‘เทียนเจิน’ ให้แหวกม่านฟ้าไปได้ไม่นานเท่าไร อริยะลัทธิขงจื๊อที่เฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ดังนั้นจึงไม่เพียงแต่ไม่ขัดขวางการเดินทางไกลไปยังไพศาลของกระบี่เซียนเล่มนั้น กลับกันยังรีบส่งข่าวไปให้ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางด้วย
แปดทิศของฟ้าดินเต็มไปด้วยภาพเหตุการณ์ผิดปกติถือกำเนิด แผ่นดินสั่นสะเทือน พื้นดินหลายจุดถูกพลิกดันขึ้นมา รากภูเขาหลายสายปริแตกพังครืนลงมาในชั่วพริบตา สิ่งมีชีวิตยุคบรรพกาลหลายตนที่จำศีลมานานเผยเรือนกายใหญ่โตโอฬาร คล้ายกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่ยักษ์ที่ถูกลดระดับขั้นให้มาอยู่ในโลกมนุษย์ มีโทษทัณฑ์จึงถูกลงโทษ ในที่สุดก็มีโอกาสทำความดีชดใช้ความผิด พอพวกมันลุกขึ้นมา แค่กระทืบเท้าง่ายๆ หนึ่งทีก็เหยียบให้สันภูเขาหักคาที่ ทำให้หุบเขาเส้นหนึ่งเกิดขึ้นมาแทน สิ่งมีชีวิตยุคบรรพกาลที่มีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนานพวกนี้ แรกเริ่มความเคลื่อนไหวยังค่อนข้างเชื่องช้า เพียงแต่ว่ารอกระทั่งดวงตาทั้งคู่ที่ใหญ่เหมือนบ่อลึกเปลี่ยนเป็นมีประกายแสงสีทองไหลวนก็กลับคืนมามีสีสันชีวิตชีวาได้หลายส่วนทันที
นอกจากนี้ยังมีเรือนกายใหญ่โตดุจขุนเขาอีกหลายร่างผุดออก เห็นแสงตะวันอีกครั้งจากบ่อใหญ่เหวลึกที่เต็มไปด้วยมลพิษสกปรก หอบหุ้มเอาโชคชะตาขุนเขาสายน้ำที่พลังอำนาจมหาศาลหลายขุมมาด้วย พออ้าปากสูดหนึ่งครั้งก็สามารถสูบเอาปราณวิญญาณฟ้าดินในรัศมีร้อยลี้ไปได้ราวกับปลาวาฬสูบน้ำ แม้กระทั่งโชคชะตาน้ำก็ถูกสูบกลืนลงท้องตามไปด้วย พริบตาเดียวหนองน้ำใหญ่ทั้งหลายก็แห้งขอด ต้นไม้ใบหญ้าเหี่ยวแห้ง
ท่ามกลางความมืดมิดที่มองไม่เห็น สิ่งมีชีวิตยุคบรรพกาลที่บ้างก็หลับสนิทบ้างก็เลือกที่จะนิ่งดูดายมาโดยตลอดเหล่านี้ วันนี้ล้วนเข้าใจเรื่องหนึ่งชัดเจนอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย หากยังอยู่นิ่งเฉยไม่ทำอะไรไปอีกร้อยปี ก็คงได้แต่ยืนเฉยรอความตาย ยืดคอไปให้คนฟันเท่านั้น สุดท้ายจะต้องถูกพวกคนต่างถิ่นเหล่านั้นสังหาร ขับไล่ หรือไม่ก็กักขัง และในบรรดาคนต่างถิ่นเหล่านี้ ผู้ฝึกกระบี่หญิงที่บนร่างมีกลิ่นอายที่คุ้นเคยอยู่หลายส่วนผู้นั้นก็สมควรตายมากที่สุด ทว่ากลิ่นอายเข้มข้นขุ่นมัวที่แฝงไว้ด้วยการสยบกำราบตามธรรมชาติขุมนั้นทำให้กากเดนยุคบรรพกาลส่วนใหญ่ที่จำศีลอยู่ตามจุดต่างๆ เกิดความหวั่นเกรง แต่เมื่อกระบี่เซียน ‘เทียนเจิน’ เล่มนั้นเดินทางไกลไปยังใต้หล้าไพศาล พวกมันก็อดทนข่มกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป สังหารคนผู้นี้จำเป็นต้องสะบั้นมหามรรคาของนางให้ขาดอย่างสิ้นเชิง! จะปล่อยให้คนผู้นี้เลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานคนแรกของฟ้าดินแห่งนี้สำเร็จไม่ได้เด็ดขาด!
ทางทิศใต้ของฟ้าดิน ผู้ฝึกตนของใบถงทวีปบ้างก็ออกห่างที่แห่งนี้ไปไกล กุมหัววิ่งหนีให้พล่าน เพียงแค่เอาชีวิตตัวเองให้รอดอย่างเดียวเท่านั้น บ้างก็เป็นผู้ฝึกตนที่บรรลุมรรคาในตำแหน่งสูงซึ่งพออนุมานพยากรณ์แล้วก็หัวเราะดังลั่น ขณะเดียวกันนั้นผู้ฝึกตนที่จับกลุ่มกันจนมีเค้าโครงของภูเขาจวนเซียนอย่างไม่ง่ายกลุ่มหนึ่ง ทุกคนล้วนรู้สึกสิ้นหวัง อันที่จริงไม่ได้มีผู้ฝึกตนบาดเจ็บมากนัก ส่วนใหญ่คือพวกมดตัวน้อยห้าขอบเขตล่าง ทว่าศาลบรรพจารย์ที่เพิ่งสร้างขึ้น อยู่ดีไม่ว่าดีกลับถูกสิ่งมีชีวิตใหญ่โตมโหฬารตนหนึ่งวาดแขนมาโดนจึงพังถล่มไปอย่างง่ายดาย นอกจากนี้ปราณวิญญาณฟ้าดิน โชคชะตาขุนเขาสายน้ำที่อยู่ในรัศมีหลายร้อยลี้ก็ล้วนมารวมตัวอยู่บนร่างของมัน แล้วก็ถูกมันเคลื่อนย้ายไปพร้อมกัน
เพียงแต่ว่าระหว่างเส้นทางที่มันเคลื่อนย้าย ดวงตาสีทองคู่นั้นกลับจับจ้องภูเขาที่เกะกะตาซึ่งมีแสงเรืองรอง มีโชคชะตาเข้มข้นล้อมวน มันจึงขยับเปลี่ยนเส้นทางเล็กน้อย วิ่งตะบึงออกไป เท้ากระทืบลงหนักๆ แต่กลับไม่สามารถกระทืบค่ายกลขุนเขาสายน้ำให้แหลกสลายได้ มันจึงไม่มีเสียเวลาพัวพันอยู่นานเกินไปนัก เพียงแค่ชำเลืองตามองผู้ฝึกตนหนุ่มคนหนึ่งที่แหงนหน้ามองสบตากับมัน แล้ววิ่งตะบึงไปบนพื้นแผ่นดินต่อไป เรือนกายใหญ่โตสูงพันจั้งเหยียบย่างลงบนพื้นทีละก้าว ทุกก้าวล้วนตามมาด้วยเสียงกัมปนาทดังอื้ออึงเป็นระลอก
ภูเขาจวนเซียนที่เหยียนไม่แตกลูกนั้นคือหอเฉาหรานที่สู่จ้งสู่ผู้ฝึกตนหลิวเสียทวีป หนึ่งในสำรองสิบคนรุ่นเยาว์ของหลายใต้หล้าสร้างขึ้นมาเองกับมือ
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้เดินทางจากประตูใหญ่ใบถงทวีปมายังใต้หล้าแห่งที่ห้า หากไม่เป็นเพราะรายงานฉบับนั้นเปิดเผยความลับสวรรค์ ก็คงไม่มีใครรู้ว่าเขาคือนายน้อยของถ้ำสวรรค์เทียนอวี๋ใบถงทวีป
บัณฑิตชุดดำคนหนึ่งคลี่พัดพับในมือ ยืนเคียงบ่ากับสู่จ้งสู่ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พี่สู่ อันที่จริงพวกเราสามารถขัดขวางได้ เป็นโชควาสนาที่ใหญ่ยิ่งนัก น้ำดีไม่ไหลเข้านาของคนอื่น พี่สู่ร่วมมือกับข้า อีกทั้งยังได้ยึดครองความได้เปรียบทางชัยภูมิ โอกาสชนะไม่น้อย หากทำสำเร็จ ผลตอบแทนจะสูงมาก สวรรค์ประทานให้แต่ไม่รับไว้กลับจะถูกสวรรค์ลงโทษนะ”
สู่จ้งสู่ที่ชุดคลุมอาคมบนร่างเหมือนแสงสายัณห์งดงามยิ้มเอ่ย “ก็ไม่ใช่เพราะข้าไม่เชื่อใจพี่เฉินเหวิ่นหรือไร กังวลว่าหากไม่ทันระวัง หอเฉาหรานจะต้องตัดเย็บชุดแต่งงานให้ผู้อื่น”
‘เฉินเหวิ่น’ ที่มาจากอุตรกุรุทวีปหุบพัดไม้ไผ่เอามาตีที่หัวใจเบาๆ หันหน้าไปมองเรือนร่างที่ห่างไปไกลของสิ่งมีชีวิตยุคบรรพกาลตนนั้น ในดวงตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง ราวกับว่าได้แต่มองลำธารเงินเทพเซียนสายหนึ่งไหลรินผ่านข้างกายตัวเองไปมิอาจรั้งไว้ได้อยู่ บัณฑิตหนุ่มเอ่ยอย่างเสียใจว่า “เห็นของดีไม่รับไว้ ใช้คนยังมีความคลางแคลงใจ พี่สู่ไม่เป็นวีรบุรุษมากพอนะ หากเปลี่ยนข้าเป็นพี่ชายคนดีที่อยู่ที่นี่ รับรองว่าคืนนี้ทั้งสองฝ่ายต้องพูดคุยกันอย่างถูกคอ นั่งแบ่งผลประโยชน์กันเป็นแน่”
สู่จ้งสู่ถาม “พี่ชายคนดี? ดูเหมือนพี่เฉินเหวิ่นจะให้ความสำคัญกับคนผู้นี้มากนะ?”
เฉินเหวิ่นพยักหน้า “ทั้งเคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่ หาเงินมาร่วมกัน ทั้งเคยประลองกำลังประลองสติปัญญากัน สรุปก็คือเป็นทั้งมิตรและศัตรู ถูกชะตากันอย่างมาก แต่ว่าสุดท้ายยังคงเป็นข้าที่ฝีมือสูงกว่าระดับหนึ่ง พี่ชายคนดีผู้นั้นจึงถือว่าเป็นคนที่พ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของข้าครึ่งตัว”
สู่จ้งสู่ยิ้มเอ่ย “ข้าว่าไม่แน่เสมอไปกระมัง”
เฉินเหวิ่นใช้พัดพับเคาะใบหน้าเบาๆ เอ่ยอย่างน้อยใจว่า “ขอบอกพี่สู่ด้วยความหวังดีเลยนะ ที่อุตรกุรุทวีปของพวกเรามีขนบธรรมเนียมอย่างหนึ่ง ตีคนร่อแร่ปางตายก็ห้ามตบหน้าคนเขาเด็ดขาด”
สู่จ้งสู่แหงนหน้าคลี่ยิ้ม “เซียนกระบี่หญิงแห่งภูเขาไท่ผิงช่างยอดเยี่ยมนัก”
ที่แท้ระหว่างที่คนทั้งสองพูดคุยกัน ในบรรดาผู้ฝึกตนท้องถิ่นของใบถงทวีป มีเพียงนักพรตหญิงคนเดียวพกกระบี่ไล่ตามไป ขี่กระบี่ข้ามผ่านอาณาเขตของหอเฉาหราน สุดท้ายไปขัดขวางอยู่เบื้องหน้ากากเดนยุคบรรพกาลตนนั้น
เมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนใบถงทวีปที่เชี่ยวชาญการหลบเลี่ยงหายนะ ทางเหนือของฟ้าดินซึ่งเป็นที่อยู่ของผู้ฝึกตนจากฝูเหยาทวีปกลับมีบุรุษผู้หนึ่งที่ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของจักรพรรดิเป็นผู้นำผู้ฝึกลมปราณร้อยกว่าคนที่อยู่ข้างกายให้ถ่วงรั้งกากเดนยุคบรรพกาลตนหนึ่งเอาไว้ไม่ต่างจากหวงถิงนักพรตหญิงแห่งภูเขาไท่ซาน เพียงแต่ว่าหวงถิงที่ฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบอยู่ที่นี่กลับทำเพราะความเบื่อล้วนๆ จึงหาเรื่องต่อยตีกับคนอื่นสักรอบ ส่วนผู้ฝึกยุทธจากฝูเหยาทวีปที่สวมเสื้อเกราะวิเศษต้าซวงนั้น กลับทำเพื่อหาเงินและช่วงชิงโชคชะตา
ทางทิศตะวันตกของฟ้าดิน ภิกษุเด็กหนุ่มคนหนึ่งมือหนึ่งถือบาตร มือหนึ่งถือคักขรา พลิ้วกายลงบนพื้นเบาๆ ก็กักตัวกากเดนยุคบรรพกาลในอยู่ในฟ้าดินสระบัวแห่งหนึ่งได้
ภิกษุเด็กหนุ่มก้มหน้าลงมอง ในบาตรที่อยู่กลางฝ่ามือมีดอกบัวหลายดอกขนาดเท่านิ้วหัวแม่โป้ง ส่วนกากเดนยุคบรรพกาลตัวนั้นกลับร่างเล็กเหมือนเมล็ดงา กำลังพลิกน้ำคว่ำมหาสมุทร แต่ก็ยังคงไร้ผลอยู่เหมือนเดิม แค่ทำให้เกิดริ้วคลื่นได้เล็กน้อยเท่านั้น
ทางทิศตะวันออก นักพรตหญิงอายุน้อยคนหนึ่งจากสายเซียนกระบี่อารามเสวียนตูใหญ่ได้มาเจอกับผู้ฝึกตนของตำหนักสุ้ยฉูสองคนระหว่างทาง จึงร่วมแรงร่วมใจกันไล่ฆ่ากากเดนยุคบรรพกาลตนหนึ่งที่จู่ๆ ก็โผล่มาบนโลก
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังมีปลาหลุดรอดหว่างแหอีกถึงสี่ตัวที่มาถึงอาณาเขตป้ายศิลาตัวอักษร ‘กระบี่’
——