ระดับอริยะแท้ขั้นกลาง!

ดูเหมือนเป็นเพียงการก้าวออกไปก้าวหนึ่งในพลังปราณระดับอริยะแท้ แต่สำหรับหลินสวินแล้ว กลับเป็นว่าพลังทั้งสามสายอย่างหลอมจิต หลอมปราณและหลอมกายได้แปรสภาพอีกครั้ง

นี่ก็คือนัยเร้นลับ ‘ไตรมรรครวมเป็นหนึ่ง ก่อเกิดหนึ่งเดียวอันสัมบูรณ์’

ไม่เพียงพลังมรรคาทั้งสามหลอมรวม แต่เป็นวิธีบำเพ็ญมรรคที่รวมชิ้นส่วนต่างๆ ให้สมบูรณ์ หมื่นมรรครวมเป็นหนึ่ง

เพียงไม่กี่คำ เก็บซ่อนความลึกลับไว้ทั้งหมด!

‘คำว่าไร้ศัตรูในระดับนี้… ใกล้แล้ว…’

ด้วยรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของพลังทั้งกายอย่างละเอียด หลินสวินจึงรู้สึกมั่นใจไร้ศัตรูขึ้นมา

คราวนี้เขาก็ยิ่งตระหนักได้อย่างลึกซึ้งว่า คำพูดของจ้าวหยวนจี๋จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิจื่อเย่าที่กล่าวตอนเขาออกจากโลกชั้นล่างครั้งแรกนั้นยอดเยี่ยมปานไหน

การแปรสภาพของสภาวะจิต การเพิ่มพูนของพลังปราณ ความแกร่งกล้าของจิตวิญญาณ ความแข็งแกร่งของพลังกาย ว่ากันถึงแก่นแล้วล้วนเป็นการแปรเปลี่ยนของพลังแห่งตนทั้งสิ้น!

พลังเช่นนี้สามารถทำให้เจ้าเป็นนายเหนือหัว ต้านทานอมตะมหาเคราะห์ ทั้งยังสามารถหลอมมรรคบรรลุอริยะ เข้าสู่วิถีแห่งจักรพรรดิ

มหามรรคนี้ก็เป็นพลังอย่างหนึ่ง เพียงต้องหยั่งรู้และเข้าใจ

หมื่นวิชานี้ก็เป็นวิธีใช้พลังเช่นกัน แม้แต่ความรู้ ประสบการณ์ การศึกษาที่เจ้าครอบครอง ไหนเลยจะไม่ใช่พลังที่อยู่ภายในอย่างหนึ่ง

พูดง่ายๆ พลัง ก็คือมหามรรค!

เบื้องหน้าพลังสัมบูรณ์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสติปัญญาเทียมฟ้ากลยุทธ์ตะลึงโลกเพียงใด ก็ต้องถูกโจมตีให้แหลกเป็นจุณ!

หลินสวินในตอนนั้นยังมีพลังปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณเท่านั้น ความเข้าใจต่อคำพูดนี้ยังตื้นเขินนัก แต่ด้วยการเพิ่มพูนของพลังปราณในหลายปีนี้ พร้อมๆ กับประสบการณ์ที่เพิ่มพูนและหูตาที่เปิดกว้างยิ่งขึ้น เขาก็ยิ่งรู้สึกว่านัยเร้นลับนี้ไร้ที่สิ้นสุดตามไปด้วย

มหามรรคเรียบง่ายที่สุด ยามความเพริศแพร้วโรยสิ้น การแบ่งสูงต่ำ แข็งแกร่งอ่อนแอ อยู่ที่ ‘พลัง’ เท่านั้น!

‘แปดยอดนภาคราม ไม่ควรค่าให้พูดถึงแล้ว!’

ขณะนี้หลินสวินจิตใจสงบนิ่ง ในวิถีเสาะแสวงมรรคา มองไปทั้งสมรภูมิเก้าดินแดน แปดยอดนภาครามก็ไร้ความหมายดั่งเบญจมาศหลังงานเช็งเม้ง

วิถีทางที่ตนต้องการเสาะแสวงอาจจะยังไม่ใช่ขั้นสมบูรณ์สูงสุดของมหามรรค แต่ก็ไม่อาจเปรียบเทียบกับคนรุ่นเดียวกันส่วนใหญ่ได้!

หลินสวินในตอนนี้ยืนง่ายๆ อยู่เช่นนั้นก็สง่างามดั่งอริยเทพ หากอยู่ในโลกภายนอกก็เปรียบเหมือนมังกรเทพจากสวรรค์ ทำให้ผู้คนในโลกเคารพได้

แต่หลินสวินรู้ดีว่าหนทางภายหน้ายังยาวไกล บนโลกนี้ก็ไม่เคยขาดภูเขาที่สูงยิ่งขึ้นกว่าเดิม ฟ้าดินที่กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่า รอให้ตนไปป่ายปีน ไปพิชิต!

“พี่ชายเทพมาร เจ้าดูสิ”

ทันใดนั้นเสียงร่าเริงแจ่มใสเสียงหนึ่งดังขึ้น จ้าวจิ่งเซวียนเคลื่อนตัวออกมาจากน้ำทะเล สวมชุดกระโปรงม่วง ผมยาวดำขลับเกล้าขึ้น ใบหน้างามเพริศแพร้วผิดธรรมดางดงามทั้งยามสุขยามโกรธ

นางมาตรงหน้าหลินสวิน แกว่งป้ายคำสั่งชิ้นหนึ่งไปมาตรงหน้าเขา

พี่ชายเทพมาร…

พอได้ยินชื่อเล่นนี้หลินสวินก็กระตุกมุมปากครู่หนึ่งอย่างอดไม่ได้ ขำขื่นไม่ว่างเว้น แต่ครู่ต่อมาเขาก็ถูกป้ายคำสั่งในมือจ้าวจิงเซวียนดึงดูด

มันมีขนาดเท่าฝ่ามือ ราวกับเจียระไนขึ้นจากหยกมันแพะ ไอเทพหนาแน่น ละอองแสงเหมือนโผบิน อบอวลไปด้วยประกายแสงสีเขียวอ่อนศักดิ์สิทธิ์เป็นริ้วๆ ดูลึกลับหาใดเทียบ

“ป้ายคำสั่งเซียนเหินหรือ”

หลินสวินตกตะลึง

“ใช่แล้ว ข้าพบจากทรัพย์หลังศึก”

จ้าวจิ่งเซวียนยิ้มเอ่ย

ศึกใหญ่ซึ่งเกิดขึ้นที่ชายฝั่งทะเลผาดำก่อนหน้านี้ไม่นาน คนบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ทำให้พวกเซวี่ยชิงอีกพ่ายแพ้ยับเยินกลับไป

นี่ก็ทำให้จ้าวจิ่งเซวียนกวาดทรัพย์หลังศึกมาได้มากมาย เพียงแค่สมบัติอริยะนานาชนิดยังมีมากหลายร้อยชิ้น แต่โดยมากล้วนไม่สมบูรณ์ ถูกทำให้เสียหายระหว่างการต่อสู้

ทว่าภายในนั้นไม่ขาดสมบัติอริยะของล้ำค่าบางประการ

นอกจากนี้ยังมีสมบัติล้ำค่าอย่างลูกกลอนวิญญาณ วัตถุดิบเทพ สมุนไพรเทพมากมายหลายชนิด ต่างกองเป็นภูเขาได้

นี่เป็นถึงลาภลอยใหญ่เท่าฟ้าก้อนหนึ่ง!

อย่างป้ายคำสั่งเซียนเหินชิ้นนี้ก็เป็นสิ่งที่จ้าวจิ่งเซวียนพบจากทรัพย์หลังศึกเหล่านี้ เจ้าของป้ายเป็นใครก็สืบหาไม่ได้แล้ว

แต่ภายในกลับเห็นได้ชัดว่ามีชะตามรรคผลงานรบสะสมอยู่เก้าสิบสามสาย!

“ดูของข้า”

พอหลินสวินพลิกฝ่ามือ ป้ายคำสั่งเซียนเหินถึงสามชิ้นก็ปรากฏออกมา

ชิ้นหนึ่งเป็นของตน ชิ้นหนึ่งเป็นของอาหู ส่วนอีกชิ้นได้มาจากทรัพย์หลังศึกที่รีดมาจากเจี้ยนชิงเฉิน

จ้าวจิ่งเซวียนเหมือนถูกโจมตี มือกุมหน้าผากเอ่ยว่า “ที่แท้เจ้าต่างหากที่เป็นเศรษฐีบ้านนอก”

หลินสวินยิ้มขึ้นมา

เดิมทีเขายังคิดจะมอบป้ายคำสั่งเซียนเหินของเจี้ยนชิงเฉินชิ้นนั้นให้จ้าวจิ่งเซวียน แต่เห็นได้ชัดว่าไม่จำเป็นแล้ว

“ข้าขอดูป้ายคำสั่งเซียนเหินของเจ้าหน่อย”

จ้าวจิ่งเซวียนฉวยมา พอพลิกดูเล็กน้อยเนตรงามก็เบิกกว้างอย่างห้ามไม่อยู่ เอ่ยตกตะลึงว่า “ชะตามรรคผลงานรบแปดร้อยสามสิบเก้าสายหรือ เจ้าถึงกับฆ่าอริยะไปมากขนาดนี้เชียว”

หากต้องการรวบรวมชะตามรรคผลงานรบ ก็ต้องล่าสังหารคู่ต่อสู้ระดับผู้กล้าไม่ก็อริยะ ทุกครั้งที่ฆ่าได้คนหนึ่งก็จะได้รับชะตามรรคผลงานรบสายหนึ่ง

ชะตามรรคผลงานรบแปดร้อยสามสิบเก้าสาย แค่คิดก็รู้ว่าจำนวนอริยะกับผู้กล้าที่ตายด้วยน้ำมือหลินสวินมากมายขนาดไหน!

จ้าวจิ่งเซวียนมองดูป้ายคำสั่งเซียนเหินของเจี้ยนชิงเฉินอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ ภายในบันทึกชะตามรรคผลงานรบไว้สี่ร้อยสิบสาย ยังไม่ถึงครึ่งของหลินสวินด้วยซ้ำ

สิ่งเดียวที่ทำให้จ้าวจิ่งเซวียนสงบใจลงก็คือ ในป้ายคำสั่งเซียนเหินของอาหู กระทั่งตอนนี้ยังว่างเปล่า

ต่อให้เป็นเช่นนี้ดวงตากระจ่างที่นางมองหลินสวินก็ยังเจือแววประหลาดอยู่ดี “พูดกันว่าเจ้าคือเทพมารหลินที่ฆ่าคนไม่เลือกหน้า ดูท่าจะเป็นเช่นนี้จริงๆ เสียแล้ว”

หลินสวินเขกหน้าผากขาวเปล่งปลั่งของนางทีหนึ่ง พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าคิดว่าข้าชอบฆ่าคนแต่กำเนิดสินะ”

จ้าวจิ่งเซวียนเม้มปากยิ้ม รอยยิ้มมีเสน่ห์เย้ายวน เอ่ยว่า “อย่าโกรธสิ ต่อให้เจ้าคลั่งไคล้การฆ่าคนข้าก็ชอบ”

หลินสวินใจเต้น รั้งเอวบางจนแขนเดียวโอบรอบได้ของอีกฝ่ายเอาไว้ แล้วก้มลงไปจูบ

จ้าวจิ่งเซวียนหมายเล่นตัวสักหน่อยแต่ก็เปลืองแรงเปล่า ลงท้ายก็ครางเสียงอื้อคราหนึ่ง ตัวนางจมดิ่งลงไปในความหวานละมุนคล้ายถูกไฟร้อนแรงสุมอก

……

เวลาเคลื่อนคล้อย วันแล้ววันเล่าผ่านไป

ผ่านไปแล้วยี่สิบกว่าวันหลังจากแดนลับสนามแม่เหล็กมาเยือน

คลื่นลมในโลกรกร้างโบราณสงบราบเรียบ ไม่มีร่องรอยของศัตรูปรากฏขึ้นอีก ส่วนในค่ายทัพแปดดินแดนก็ต่างจำศีล เหมือนลดธงศึกหยุดเสียงกลอง

สมรภูมิเก้าดินแดนอันกว้างใหญ่ถึงกับเงียบสงบอย่างแปลกประหลาด

แต่นี่ย่อมเป็นอาการอย่างหนึ่งที่ว่า ในความมืดมิดยังมีกระแสคลื่นซ่อนเร้นไหวเคลื่อนไม่รู้เท่าไร!

‘หากคิดจะช่วยอาหูเก็บสะสมชะตามรรคผลงานรบให้มากพอ ก็ทำได้เพียงเข้าไปในสมรภูมิเซียนเหินนั่นแล้ว…’

วันนี้หลินสวินนั่งลอยล่องบนเมฆมงคลที่อยู่เหนือน้ำทะเลก้อนหนึ่ง จมสู่ภวังค์

ในค่ายทัพแต่ละดินแดนต่างมีป้ายคำสั่งเซียนเหินเก้าชิ้น รวมทั้งสิ้นมีแปดสิบเอ็ดชิ้น

หากต้องการกระตุ้นป้ายคำสั่งเซียนเหิน มีโอกาสเข้าไปในแหล่งสถานคุนหลุน ก็ต้องเก็บรวบรวมชะตามรรคผลงานรบให้ได้หนึ่งพันสาย

ดูเหมือนง่าย แต่หลินสวินกลับรู้ดีว่าการเก็บสะสมชะตามรรคผลงานรบนั้นยากเย็นแค่ไหน!

ถ้าคำนวณด้วยจำนวนที่ล่าสังหารอริยะ ป้ายคำสั่งเซียนเหินชิ้นหนึ่งก็ต้องล่าคู่ต่อสู้ระดับอริยะแท้ให้ได้หนึ่งพันคน

ป้ายเก้าชิ้น ก็คืออริยะเก้าพันคน

ป้ายแปดสิบเอ็ดชิ้น ก็คืออริยะแปดหมื่นหนึ่งพันคน!

แต่มองดูทั้งสมรภูมิเก้าดินแดน อย่าว่าแต่มีอริยะแปดหมื่นหนึ่งพันคนเลย เอาค่ายทัพเก้าดินแดนทั้งหมดมารวมกัน อย่างมากที่สุดก็มีไม่ถึงหนึ่งหมื่นคน

นี่ก็หมายความว่า แม้กล่าวว่ามีป้ายคำสั่งเซียนเหินแปดสิบเอ็ดชิ้น แต่ไม่มีทางที่ป้ายคำสั่งเซียนเหินทุกชิ้นจะรวบรวมชะตามรรคผลงานรบได้เพียงพออย่างเด็ดขาด!

อิงตามที่อาหูว่าไว้ หลังจากการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนครั้งแรก สุดท้ายมีป้ายคำสั่งเซียนเหินเจ็ดชิ้นเท่านั้นที่สะสมชะตามรรคผลงานรบได้ครบ

ส่วนการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนครั้งที่สอง มีเพียงห้าชิ้น

ด้วยถึงอย่างไรต่อให้จำนวนอริยะอาจมีมากมายมหาศาล แต่ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องถูกผู้แข็งแกร่งที่ถือป้ายคำสั่งเซียนเหินสังหาร!

จากจุดนี้ แค่คิดก็รู้ว่าหมายจะเก็บสะสมชะตามรรคผลงานรบที่ป้ายคำสั่งเซียนเหินชิ้นหนึ่งต้องใช้ จะยากลำบากเพียงไหน

และตอนนนี้ หลินสวินยังแบกภารกิจที่ต้องช่วยอาหูสะสมชะตามรรคผลงานรบด้วย คิดจะทำให้ได้ตามเป้าหมายก็ยิ่งดูลำบากเสียแล้ว

ทว่า จริงๆ แล้วก็มีวิธี นั่นก็คือ ‘สมรภูมิเซียนเหิน’!

มีเพียงผู้ที่ถือป้ายคำสั่งเซียนเหินเท่านั้น ที่ยามสมรภูมิเซียนเหินมาเยือนจึงจะถูกดึงเข้าไปข้างในเพื่อชิงชะตามรรคผลงานรบ

ลือกันว่าในสมรภูมิเซียนเหินมี ‘วิญญาณเซียนเหิน’ มากมาย แต่ละตนต่างมีพลังต่อสู้ไม่ด้อยกว่ามกุฎอริยะแท้ น่ากลัวหาใดเทียบ

แต่ขอเพียงล่าสังหารมันได้ก็จะเก็บชะตามรรคผลงานรบได้สายหนึ่ง

ที่สำคัญที่สุดก็คือ ในแดนลับนี้หากผู้ถือป้ายคำสั่งเซียนเหินเข่นฆ่ากันเอง จะสามารถชิงชะตามรรคผลงานรบที่อยู่ในป้ายคำสั่งเซียนเหินของอีกฝ่ายมาได้!

ตามที่หลินสวินเข้าใจ การชิงชัยในสมรภูมิเซียนเหินในอดีต การเข่นฆ่าทำนองนี้พบเห็นได้บ่อยนัก

“ถ้าข้าเป็นบุคคลระดับผู้นำอย่างคุนเซ่าอวี่ จะต้องเลือกร่วมมือกันโจมตีเจ้าถึงตายในสมรภูมิเซียนเหินแน่”

จ้าวจิ่งเซวียนเอ่ยเตือนเสียงค่อย

หลินสวินเห็นด้วยอย่างยิ่ง พูดว่า “นี่มันแน่อยู่แล้ว เกรงว่าตอนนี้พวกเขาคงชังข้าเข้ากระดูกดำ มองข้าเป็นภัยคุกคามชั้นหนึ่งไปนานแล้ว แต่ว่า…”

เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ยิ้มเอ่ยว่า “อย่างนี้สิยิ่งดี ข้ากำลังกังวลว่าจะไม่มีทางรวมชะตามรรคผลงานรบได้มากพอ ถ้าพวกเขามาเยือนถึงที่ ข้ายิ้มรับทีละคนก็พอแล้ว”

จ้าวจิ่งเซวียนถลึงตาใส่เขา “เจ้าฟังไม่ออกหรือว่าข้าเป็นห่วง”

หลินสวินยิ้มพลางโอบจ้าวจิ่งเซวียนไว้ในอ้อมกอด ใช้มือลูบผมเรียบลื่นเป็นประกายดุจผ้าไหมของอีกฝ่าย กลิ่นกายอ่อนๆ วนเวียนอยู่ที่ปลายจมูก ในใจรู้สึกสงบสบายอย่างบอกไม่ถูก

“เจ้าก็รู้ว่านี่คือการต่อสู้แห่งเก้าดินแดน พวกเราดินแดนรกร้างโบราณแพ้ย่อยยับไปสองครั้งแล้ว คราวนี้ในเมื่อข้ามาแล้ว ก็ต้องใช้พลังทั้งหมดที่มีพลิกสถานการณ์นี้”

“สมรภูมิเซียนเหินคราวนี้ก็คือโอกาสที่ดียิ่งครั้งหนึ่ง พวกเขาอยากฆ่าข้า มีหรือข้าจะไม่คิดกำจัดพวกเขา”

“ลองคิดดูว่าถ้าบุคคลระดับผู้นำอย่างพวกคุนเซ่าอวี่ถูกกำจัดทีละคน ขุมอำนาจค่ายทัพที่พวกเขาอยู่ก็จะกลายเป็นมังกรไร้หัว ได้รับความเสียหายอย่างหนัก!”

“ถึงตอนนั้นค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณก็จะสามารถถือโอกาสผงาดขึ้นแล้วกวาดล้างให้ราบทีละค่าย”

พูดถึงตรงนี้ในดวงตาดำของหลินสวินก็เผยแววโอหังและแน่วแน่ “เช่นนี้แล้ว การต่อสู้แห่งเก้าดินแดนคราวนี้ จะต้องปิดฉากลงด้วยชัยชนะยิ่งใหญ่ของดินแดนรกร้างโบราณของข้า!”

จ้าวจิ่งเซวียนแนบอิงอยู่ในอ้อมกอดหลินสวิน ดวงตางามจับจ้องใบหน้าของหลินสวิน พอได้ยินคำพูดทีเจือไปด้วยความเชื่อมั่นและวาดหวังของเขาก็ไม่รู้สึกว่าโง่งมแล้ว

เจ้าเหมือนดั่งเซียนจากสวรรค์ ในโลกใครเล่าจะกล้าเป็นศัตรู

“ดังนั้นคราวนี้ข้าต้องไปแน่ อาจจะอันตรายหาใดเทียบ แต่ขอเพียงชนะก็จะเปลี่ยนสถานการณ์ของสมรภูมิเก้าดินแดนได้!”

หลินสวินเอ่ยเสียงเรียบ

เหนือน้ำทะเลไพศาล ทั้งสองอิงแอบกันบนเมฆมงคล ไกลออกไปคลื่นขึ้นสูงและลงต่ำ ฟ้าดินกว้างไกลดุจภาพเขียน

หลายวันต่อมา

ประตูแดนลับสนามแม่เหล็กที่สร้างขึ้นเหนือห้วงอากาศเกิดคลื่นกฎระเบียบฟ้าดินอัศจรรย์คลุมเครือ ละอองแสงประกายศักดิ์สิทธิ์ปลิวว่อน

หลินสวินสองมือไพล่หลัง ยืนเคียงกับจ้าวจิ่งเซวียน พากันทอดสายตามองไป

หนึ่งเดือนแล้ว การช่วงชิงวาสนาในแดนลับสนามแม่เหล็กกำลังจะปิดฉากลงในที่สุด จะมีผู้เป็นเลิศจากดินแดนรกร้างโบราณบรรลุมกุฎอริยะในนี้กี่คนกันแน่

——