บทที่ 735.1 ค่ำคืนที่หิมะตกพักค้างแรมบนภูเขาฝูหรง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ในนครบินทะยาน เหนี่ยนซินมาเยือนจวนหนิงเป็นครั้งแรก

บุคคลสำคัญอันดับสองของฝ่ายสิงกวานมาพบอิ่นกวานคนปัจจุบันของนครบินทะยาน

หนิงเหยายืนอยู่ตรงที่ตั้งหน้าผาสังหารมังกรเก่า

นอกจากหนิงเหยาแล้วบนสนามประลองยุทธยังมีเด็กสาวที่ตรงเอวห้อยแท่นฝนหมึกโบราณ ด้านหลังสะพายหีบไม้ไผ่ยืนอยู่อีกคนหนึ่ง นางกำลังนำพาเด็กหญิงชุดสีขาวหิมะที่น่ารักไร้เดียงสาวิ่งตะบึงพลางตีฆ้องตีกลองไปด้วย

คนหนึ่งถามว่าอาจารย์พ่อของข้าร้ายกาจหรือไม่ ร้ายกาจอย่างไร อีกคนหนึ่งตอบว่าท่านพ่อของข้าร้ายกาจ ร้ายกาจแบบที่ใต้หล้าไร้เทียมทาน…

คนหนึ่งถามว่าอีกเดี๋ยวท่านแม่ข้าจัดการเจ้าจะทำอย่างไร อีกคนหนึ่งตอบว่าข้าไม่กลัวหากต้องโขกหัว กลองและฆ้องอยู่ในมือ ใต้หล้ามีเพียงข้า

หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กที่เดิมทีความสัมพันธ์กลมเกลียว อยู่ดีๆ นึกจะแตกหักก็แตกหักกันเสียอย่างนั้น คนหนึ่งบอกว่าอาจารย์พ่อของเจ้าคือท่านพ่อของข้า ดังนั้นข้าจึงสนิทสนมมากกว่า อีกคนหนึ่งบอกว่าข้ามีอาจารย์พ่อก่อนเจ้าถึงมีท่านพ่อ ต้องมีลำดับก่อนหลัง อีกทั้งลำดับศักดิ์ของเจ้ายังต่ำไปหน่อย คำว่าแตกหักก็คือคนหนึ่งตีกลองคนหนึ่งตีฆ้อง แข่งกันว่าเสียงของใครดังยิ่งกว่ากัน

เหนี่ยนซินรู้สึกว่าช่างทำให้หนิงเหยาลำบากใจแล้วจริงๆ มีเจ้าเด็กอย่างกวอจู๋จิ่วผู้นี้ แล้วยังต้องมาเจอกับ ‘ลูกสาว’ ที่อยู่ดีๆ ก็หล่นลงมาจากฟ้านี่อีกคน

ดูเหมือนว่าหนิงเหยาจะไม่ค่อยถือสาการทะเลาะถกเถียงกันของพวกนาง เพียงแค่ผงกศีรษะทักทายเหนี่ยนซิน

เหนี่ยนซินเดินมาหยุดอยู่ข้างกายหนิงเหยา เอ่ยว่า “จ้าวเหยาผู้นั้นไปดื่มหล้ากับเจิ้งต้าเฟิง ตอนนี้ออกไปจากนครบินทะยานแล้ว ฉีโซ่วส่งเขาออกจากเมืองไปด้วยตัวเอง ดูเหมือนว่าจ้าวเหยาจะไปทางทิศตะวันตกสุดเพื่อขอความรู้ด้านพระธรรมจากภิกษุวัดโส่วซิน”

หนิงเหยาพยักหน้ารับ “ดูท่าคงอยากจะฝึกฝนความรู้ของสามลัทธิอย่างขงจื๊อ พุทธ เต๋าควบกันไป”

น่าจะต้องการเดินบนทางสายเดียวกับอาจารย์ฉีกระมัง?

เหนี่ยนซินยิ้มไม่พูดไม่จา

หนิงเหยาถาม “ทำไมหรือ?”

เหนี่ยนซินเอ่ย “ข้าสงสัยใคร่รู้นัก เหตุใดตอนนั้นเจ้าที่เดินทางท่องเที่ยวขุนเขาสายน้ำนับไม่ถ้วนเพียงลำพังถึงไปถูกใจเฉินผิงอันที่ตอนนั้นยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มในตรอกเก่าโทรมได้ เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม?”

ตามหลักแล้วนับแต่เด็กมาหนิงเหยาก็ได้เห็นมาดอันสง่างามของเซียนกระบี่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่มาโดยตลอด จากนั้นพอเดินทางไกลไปเยือนใต้หล้าไพศาลก็น่าจะได้เห็นคนหนุ่มผู้มีพรสวรรค์มากความสามารถมาไม่น้อย กลิ่นอายตำรา กลิ่นอายผู้กล้า กลิ่นอายเทพเซียน ไม่ว่าอะไรก็ต้องเคยเห็นมาหมดแล้วแน่นอน

หนิงเหยาเอ่ย “ตอนอยู่กับเจ้าเขาเล่าว่าอย่างไร?”

เหนี่ยนซินส่ายหน้า “เฉินผิงอันไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้”

หนิงเหยาหรี่ตาลงน้อยๆ คล้ายจะยิ้ม

เหนี่ยนซินรู้สึกจนใจนัก สรุปแล้วควรจะพูดว่าชายหญิงคู่นี้คือคู่รักเทพเซียนดี หรือควรจะเรียกว่าคู่สุนัขชายหญิงดีนะ! ต่อให้เป็นคนเย็บผ้าที่ไม่มีความรู้สึกต่อความรักฉันท์ชายหญิงแม้แต่น้อยอย่างเหนี่ยนซินก็ยังรู้สึกทนรับไม่ไหว

ดังนั้นเหนี่ยนซินจึงเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ “ข้าก็แค่ถามไปอย่างนั้นเอง เจ้าไม่ต้องตอบแล้ว”

อันที่จริงหนิงเหยาก็ไม่คิดจะพูดอะไรเหมือนกัน

คนทั้งสองเดินเล่นไปด้วยกัน หนิงเหยาหันหน้าไปเอ่ยเตือนกวอจู๋จิ่วว่า “พวกเจ้าเล่นสนุกก็ส่วนเล่นสนุก แต่ห้ามออกไปจากที่นี่”

กวอจู๋จิ่วพยักหน้ารับอย่างแรง “หากเกิดความผิดพลาดแม้แต่น้อย ข้าจะหิ้วหัวไปพบอาจารย์แม่!”

แม่นางน้อยโยนฆ้องไว้บนพื้น ยกสองมือเท้าเอวฉับ ถามว่า “หัวของใคร?”

กวอจู๋จิ่วเหล่ตามองแม่นางน้อย ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “เราสองคนเป็นพวกเดียวกัน เจ้าจะมาขัดขาข้าทำไม”

หนิงเหยาไม่สนใจการเล่นสนุกของเด็กทั้งสองนั่นอีก ครั้งนี้เหนี่ยนซินแหกกฎมาปรากฏตัวที่จวนหนิง ต้องไม่ได้มาเพียงแค่คุยเล่นกับนางอย่างแน่นอน

เพียงแต่หนิงเหยายังอดหันไปมองกวอจู๋จิ่วอีกครั้งไม่ได้

กวอจู๋จิ่วรีบยืดเอวตั้งตรงทันที

หนิงเหยาย่อมรู้ว่าเหตุใดกวอจู๋จิ่วถึงไม่ค่อยยินดีจะอยู่ในบ้านของตัวเอง เช่นเดียวกัน ปีนั้นอันที่จริงหนิงเหยาเป็นยิ่งกว่ากวอจู๋จิ่วเสียอีก นางถึงขั้นออกจากบ้านไปเลย

ต่อให้กวอจู๋จิ่วกลับไปบ้าน อย่างมากก็แค่ไปง่วนดูแลสวนดอกไม้เท่านั้น คอยจัดการกับพวกดอกไม้พันธ์ไม้แปลกประหลาดทั้งหลายที่นางเอากลับมาทุกครั้งที่ออกเดินทางไกล ไม่ใช้กระบองวาดกวาด หรือใช้กระบี่ฟาดฟันพวกมันเป็นแถบๆ อีกต่อไป ราวกับว่าคนเราพอโตขึ้นก็ตัดใจทำไม่ลง

ทุกครั้งที่เฉินผิงกลับจากเดินทางไกลไปยังบ้านเกิด ก็จะต้องคอยไปเติมดินทุกครั้ง ไม่มีครั้งไหนเป็นข้อยกเว้น นี่ก็คือหลักการเหตุผลเดียวกัน

เหนี่ยนซินใช้เสียงในใจเอ่ยกับหนิงเหยาว่า “ปีนั้นตอนอยู่ในคุก เฉินผิงอันทำการค้าอย่างหนึ่งกับขอบเขตบินทะยานที่ใช้นามแฝงว่า ‘ซวงเจี้ยง’ ซวงเจี้ยงได้เงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งไปจากเฉินผิงอันเพื่อซื้ออิสระให้กับตัวเองครึ่งหนึ่ง เขาตอบตกลงว่าจะช่วยเจ้าหนึ่งครั้ง ดังนั้นก่อนหน้านี้ตอนที่เจ้าออกเดินทางไกล ข้าจึงเกือบจะจุดไส้ตะเกียงของตะเกียงดวงนั้น ปล่อยเทวบุตรมารนอกโลกที่มาจากใต้หล้ามืดสลัวตนนี้ออกมา”

หนิงเหยาถาม “เกือบจะ?”

เหนี่ยนซินพยักหน้า “เจิ้งต้าเฟิงมาหาข้า บอกกับข้าว่าไม่ต้องรีบร้อนทำเรื่องนี้ ดูเหมือนว่าคนผู้นี้จะเข้าใจเรื่องของวิถีแห่งเทพเป็นอย่างดี”

หนิงเหยาไม่ยินดีจะพูดถึงรากฐานของเจิ้งต้าเฟิงมากนัก อีกฝ่ายเป็นคนเฝ้าประตูของภูเขาลั่วพั่ว ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าเป็นคนในครอบครัวเดียวกันครึ่งตัวแล้ว หนิงเหยาจึงเอ่ยแค่ว่า “ถ้ำสวรรค์หลีจูบ้านเกิดของเฉินผิงอันคือสถานที่แห่งหนึ่งในใต้หล้าที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง วันหน้าหากเจ้ายังคบค้าสมาคมกับคนที่มาจากที่นั่นแค่ปรับตัวให้ชินไว้ก็พอแล้ว”

เหนี่ยนซินยิ้มเอ่ย “เฉินผิงอัน เจิ้งต้าเฟิง จ้าวเหยา ข้าได้พบสามคนแล้ว แต่ละคนต่างก็ประหลาดมากจริงๆ”

หนิงเหยากล่าว “เกี่ยวกับกระบี่เซียน ‘เทียนเจิน’ เล่มนี้ เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลแทนข้า ก่อนที่ข้าจะเลื่อนเป็นขอบเขตบินะทยานจะต้องทำให้นางเป็นเด็กดีว่าง่ายกว่านี้ ถึงเวลานั้นค่อยไปเผชิญหน้ากับ ‘เทพตาเดียว’ อีกครั้ง นอกจากเทวบุตรมารนอกโลกตนนั้นที่สามารถลงมืออย่างลับๆ ได้แล้ว ข้าจะยังขอความรู้เรื่องกฎเกณฑ์วิถีเทพบางอย่างมาจากเจิ้งต้าเฟิงด้วย”

เหนี่ยนซินตกตะลึงเล็กน้อย “ข้ายังนึกว่าเจ้าจะปฏิเสธเรื่องที่จะให้คนนอกยื่นมือเข้าแทรก”

หนิงเหยาส่ายหน้า “ข้าไม่ได้รู้สึกว่าพวกเจ้าเป็นคนนอกเสียหน่อย แล้วนับประสาอะไรกับที่มหามรรคาอันตราย ขอความช่วยเหลือเพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดฝัน ไม่มีอะไรให้ต้องลำบากใจ”

พวกคนอย่างจ้าวเหยาถึงจะถือว่าเป็นคนนอก

ทั้งๆ ที่รู้ดีถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนกับเฉินผิงอันยังจะมาพบนางเพียงลำพัง หากไม่เป็นเพราะเห็นแก่อาจารย์ฉี หนิงเหยาก็ไม่ถือสาที่จะส่งจ้าวเหยาออกไปนอกนครบินทะยาน

ไม่ได้ใช้หนึ่งกระบี่ส่งคนออกไปนอกอาณาเขต นี่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ที่ไม่เลวของหนิงเหยาในเวลานี้อย่างมาก กำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งนั้นยังอยู่ เขายังอยู่

เหนี่ยนซินเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นข้าทิ้งตะเกียงดวงนั้นไว้ในจวนหนิงนะ?”

หนิงเหยาพยักหน้า “แล้วแต่”

ในและนอกนครบินทะยานย่อมไม่มีใครกล้าใช้วิชาอภินิหารมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือมาลอบสำรวจจวนหนิง ความกล้าไม่มากพอ ขอบเขตยิ่งไม่สูงพอ

เหนี่ยนซินหยิบตะเกียงน้ำมันดวงนั้นออกมา หลังจากขยับไส้ตะเกียงแล้ว เด็กชายผมขาวคนหนึ่งก็พลิ้วกายลงบนพื้น ตอนแรกยังมึนงงก่อน จากนั้นก็พลันทำท่าซาบซึ้งน้ำตาเจียนหยด ชูแขนขึ้นสูงครั้งแล้วครั้งเล่าพลางตะโกนก้อง “บรรพบุรุษอิ่นกวาน วรยุทธของท่านเป็นเอกล้ำเลิศ เวทคาถาสูงส่งเทียมฟ้า มาดของเซียนกระบี่สง่างาม องอาจกล้าหาญ หล่อเหลามีเสน่ห์ พูดคำไหนคำนั้น วางแผนรอบคอบรัดกุม…”

หนิงเหยาชำเลืองมองเจ้าตัวน้อยขี้ประจบที่ร้องกระหืดกระหอบจนใบหน้าแดงก่ำแล้วพูดกับเหนี่ยนซินว่า “เจ้าพากลับไปเถอะ”

เหนี่ยนซินยิ้มเอ่ย “ถึงอย่างไรก็มีสองคนแล้ว มีมาเพิ่มอีกสักคนจะเป็นไรไป”

ซวงเจี้ยงเห็นท่าไม่ดีจึงรีบทำตัวว่าง่ายทันใด มือสองข้างประกบกันชูขึ้นสูงเหนือหัว พอเอาลงแล้วก็พูดเสียงดังกังวานว่า “ข้าน้อยยินดีอุทิศกายใจเพื่อคนรักของท่านบรรพบุรุษ!”

หนิงเหยายื่นมือมาคลึงขมับ หันหน้ามาถามว่า “ตอนอยู่ในคุกก็เป็นเช่นนี้หรือ?”

เหนี่ยนซินส่ายหน้า “ยิ่งกว่านี้เสียอีก เอาเป็นว่าเฉินผิงอันยินดีให้เป็นเช่นนี้ก็แล้วกัน”

หนิงเหยาพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็เก็บไว้เถอะ”

จะได้สอบถามเรื่องบางอย่างจากซวงเจี้ยง เอามาใช้ฆ่าเวลา ไม่อย่างนั้นเอาแต่อ่านบันทึกขุนเขาสายน้ำสองเล่มนั้นก็มองอะไรไม่ออกเพิ่มเติม ในตำราสองเล่ม เล่มหนึ่งปิดบังซุกซ่อน อีกเล่มหนึ่งเปิดเผยโจ่งแจ้ง สตรีที่เหมือนหยกเหมือนบุปผากลับมีอยู่ไม่น้อย

เฮอะ แล้วยังจะพูดว่าฟ้าดินเป็นพยานอีกหรือ

……

บนยอดเขาจ้าวผิงที่คุมเชิงกับนครเซิ่นจิ่งอยู่ไกลๆ มือกระบี่ชุดเขียวคนหนึ่งที่ชื่อว่าเฉินอิ่นซื้อโรงเตี๊ยมหอสุราทั้งหมดบนภูเขาทั้งลูกเอาไว้

มักจะมาดื่มเหล้าอยู่ที่นี่เพียงลำพังคนเดียว ชมพระจันทร์ตกพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตกพระจันทร์ขึ้น

และในราชวงศ์ต้าเฉวียนก็มีสถานที่แห่งหนึ่งชื่อว่าท่าเรือใบท้อ โจวมี่นั่งอยู่บนเรืออูเผิงลำเล็ก มีแม่นางหน้ากลมสวมชุดผ้าฝ้ายคนหนึ่งกลิ้งหล่นลงมาจากชายแขนเสื้อของเขา เขาบอกให้นางใช้น้ำดอกท้อมาต้มชา

เรือที่จอดในท่าเรือใบท้อสร้างขึ้นอย่างประณีติสวยงาม บนหัวเรือแกะสลักเป็นรูปหัวตัวอี้ (นกน้ำชนิดหนึ่งที่สามารถบินได้สูง) เพราะราชวงศ์ต้าเฉวียนเคยมีแคว้นกู่เจ๋อ ชาวบ้านต้องใช้นกอี้มาสยบกำราบเจียวหลงเผ่าพันธ์น้ำที่ชอบสร้างคลื่นลมมรสุม นอกจากนี้สองข้างฝั่งของตัวเรือตรงกลางยังมีภาพฉลุหน้าต่างคล้ายฉากกันลม ในห้องตัวเรือค่อนข้างกว้างใหญ่ สามารถวางหีบตำราไว้ได้ไม่น้อย ท้ายเรือก็ยิ่งมีการจัดวางเตาไฟและฟูกนอน ชมทัศนียภาพร่ำสุรา ต้มชากินอาหาร เล่นหมากล้อมดีดพิณ ล้วนทำได้ไม่มีปัญหา ถือเป็นดั่งคำว่านกกระจอกแม้ตัวจะเล็กแต่ก็มีอวัยวะครบถ้วน

และน้ำดอกท้อ ปลากุ้ย พัดดอกท้อของท่าเรือแห่งนี้ต่างก็เป็นของชอบของผู้ฝึกตนหญิงทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขาและกลุ่มขุนนางชนชั้นสูงของราชวงศ์ใหญ่

ในขณะที่เซอเยว่ต้มชา โจวมี่ก็ยื่นนิ้วออกมาทำมุทรา พลิกตรวจดูลำธารแห่งกาลเวลาสายหนึ่งอย่างง่ายดาย พลิกกลับกาลเวลาได้ง่ายๆ ไม่ต่างจากการพลิกเปิดหน้าหนังสือ

เมื่อเฝ่ยหรานที่ใช้นามแฝงว่าเฉินอิ่นมาปรากฏตัวที่ท่าเรือใบท้อ โจวมี่ก็ยิ้มบางๆ ปล่อยจิตให้จมจ่อมอยู่ภายใน ยืนอยู่บนเรือลำน้อยที่เฝ่ยหรานยืนอยู่ แน่นอนว่า ‘เฝ่ยหรานในอดีต’ ไม่รับรู้แม้แต่น้อย

คนที่เฝ่ยหรานนัดเจอก็คือตู้หานหลิงเจ้าอารามจินติ่งของใบถงทวีป เป็นขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่ง ค่อนข้างจะรู้กาลเทศะ

เรือจอดเทียบท่า เฝ่ยหรานลุกขึ้นยืนไม่ได้เดินขึ้นฝั่ง ส่วนโจวมี่นั้นยืนอยู่ตรงท้ายเรือลำเล็ก มือสองข้างไพล่หลัง ใช้ศาสตร์การดูลมปราณมามองประเมินพวกกลุ่มคนที่นอกเหนือจากตู้หานหลิง

เห็นได้ชัดว่าเฝ่ยหรานคาดไม่ถึงว่าตู้หานหลิงจะไม่มีความพิถีพิถันถึงเพียงนี้ ถึงขนาดพาคนนอกมาที่นี่โดยพลการ แต่ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนนั้นก็รีบคารวะขออภัยทันที เป็นฝ่ายอธิบายต้นสายปลายเหตุให้ทูตที่มาจากกระโจมกุ่ยโหย่วที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ฟังด้วยตัวเอง

อาณาเขตทิศเหนือของใบถงทวีป ตำหนักพยัคฆ์เขียวบนยอดเขาเทียนแจว๋กับอารามจินจิ่งต่างก็เป็นภูเขาลูกใหญ่ที่อยู่ห่างจากตัวอักษรจงอีกไม่ไกล เพียงแต่ว่าตำหนักพยัคฆ์เขียวได้ย้ายไปอยู่ที่นครมังกรเฒ่าของแจกันสมบัติทวีปนานแล้ว อารามจินติ่งกลับร่วมกับพวกผู้ลี้ภัยเดินทวนกระแสน้ำ ก่อนหน้านี้ตู้หานหลิงได้ไปรู้จักกับกระโจมอู้จื่อผ่านผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจคนหนึ่ง จากนั้นอาศัยการเชื่อมสะพานความสัมพันธ์จากกระโจมอู้จื่อ ทำให้เขาได้นัดเจอกับผู้ฝึกตนของกระโจมกุ่ยโหย่วที่มีนามว่าเฉินอิ่นที่ท่าเรือใบท้อ ตู้หานหลิงพอจะเข้าใจหกสิบกระโจมทัพของใต้หล้าเปลี่ยวร้างคร่าวๆ ว่ามีกระโจมเจี่ยจื่อเป็นผู้นำ นอกจากนียังมีกระโจมทัพอีกหลายแห่งที่ค่อนข้างน่าสนใจ ยกตัวอย่างเช่นกระโจมเจี่ยเซินที่มีตัวอ่อนเซียนกระบี่มารวมตัวกันกลุ่มใหญ่ มีผู้ฝึกตนอายุน้อยอยู่เยอะมาก สถานะของแต่ละคนล้วนสูงส่งเทียมฟ้า

กระโจมกุ้ยไห่รับผิดชอบการปูเส้นทางบนมหาสมุทร กระโจมจี่โหย่วรับผิดชอบการเคลื่อนย้ายภูเขาหลังจากขึ้นบก บุกเบิกเส้นทาง สองฝ่ายนี้จะมีปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ตนหนึ่งบัญชาการณ์ แบ่งออกเป็นเฟยเฟยที่เชี่ยวชาญคาถาน้ำและหยวนโส่วที่เชี่ยวชาญการย้ายภูเขา

และยังมีกระโจมจี่เว่ยที่ผู้นำคือเซียนกระบี่โซ่วเฉิน รวมถึงยังมีเซอเยว่หนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ ส่วนกระโจมกุ่ยโหย่วนั้น เมื่อเทียบกันแล้วชื่อเสียงไม่เด่นชัดเท่าใด

โจวมี่ยิ้มอย่างเข้าใจ ช่างบังเอิญเหลือเกิน กลุ่มคนตรงหน้านี้ล้วนเป็นคนรู้จักของใต้เท้าอิ่นกวานผู้นั้นทั้งสิ้น

ไม่เพียงแต่จิตแห่งมรรคาของตู้หานหลิงคนเดียวเท่านั้นที่เกิดริ้วกระเพื่อมเสี้ยวหนึ่ง ดูเหมือนว่าคนทั้งกลุ่มที่พอเห็นโฉมหน้าของเฝ่ยหรานแล้วก็ล้วนไม่สามารถปกปิดได้ดีอย่างตู้หานหลิง แต่ละคนหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อยอย่างมิอาจปิดบัง ตู้หานหลิงไม่เสียแรงที่เป็นก่อกำเนิดเฒ่า สภาพจิตใจของเขากลับคืนมาเป็นปกติได้เร็วที่สุด อีกฝ่ายจะใช่เฉินผิงอันที่ในอดีตเคยสร้างความวุ่นวายให้กับราชวงศ์ต้าเฉวียนหรือไม่ ไม่สำคัญ บุคคลเหล่านี้ ทุกวันนี้ล้วนมีตำแหน่งสูงอยู่ในราชวงศ์ต้าเฉวียนทั้งสิ้น คนหนึ่งคืออ๋องเจ้าเมืองแซ่หลิวที่ทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทน อีกคนหนึ่งคือกั๋วกงโหวที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวของราชวงศ์ต้าเฉวียน โดยเฉพาะเกาซื่อเจินที่พอเห็นหน้าเฝ่ยหรานแล้ว สีหน้าก็มืดทะมึนจนน่ากลัว

นอกจากนี้ยังมีอาจารย์และศิษย์บนภูเขาของอารามจินติ่งอย่างเส้ายวนหราน อาจารย์คืออิ่นเมี่ยวเฟิงนักพรตเป่าเจิน อาจารย์เป็นขอบเขตประตูมังกร ลูกศิษย์เป็นโอสถทอง

อาจารย์และศิษย์สองคน ปีนั้นต่างก็เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร ยังไม่ได้เป็นเซียนเดิน เป็นเหตุให้ไม่ได้อยู่ในเมืองเซิ่นจิ่งเพื่อทำหน้าที่เป็น ‘ผู้ถวายงานเมืองหลวง’ ได้แต่ไปที่ชายแดน ช่วยตรวจสอบจับตามองกองทัพม้าเหล็กสกุลเหยาให้แทนสกุลหลิวแห่งต้าเฉวียน ต้องดื่มลมพายุทรายที่ชายแดนมานานถึงสิบกว่าปี เส้ายวนหรานมองดูแล้วใบหน้างดงามราวกับหยก คล้ายคนอายุน้อย แต่แท้จริงกลับอายุครึ่งร้อยเข้าไปแล้ว ส่วนอิ่นเมี่ยวเฟิงอาจารย์ของเขาก็ยิ่งอายุมากถึงสองร้อยกว่าปี

นอกจากนี้ยังมีเทพอภิบาลเมืองอีกองค์หนึ่งที่ไม่ได้ดูสะดุดตามากนัก คือเทพอภิบาลประจำเมืองฉีเฮ้อ

อ๋องเจ้าเมือง กั๋วกงของราชสำนัก ผู้ฝึกตนเซียนดินบนภูเขา สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำของพื้นที่หนึ่งมารวมตัวกันครบถ้วนที่ท่าเรือใบท้อ ผลกลับได้เจอกับบุคคลที่ตีให้ตายพวกเขาก็คิดไม่ถึงอย่าง ‘เฉินผิงอัน’

เฝ่ยหรานฟังคำอธิบายของตู้หานหลิงแล้วก็ยิ้มพลางพยักหน้ารับ “คนในอดีตได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง เปลี่ยนจากศัตรูกลายมาเป็นมิตร ชีวิตคนช่างไม่แน่นอนจริงๆ”

จากนั้นเฝ่ยหรานก็ยืนอยู่บนหัวเรือ คนอีกกลุ่มยืนอยู่บนฝั่งแล้วเริ่มปรึกษาวางแผนลับอย่างหนึ่ง

โจวมี่ตั้งใจฟังแต่ละเรื่องที่พวกเขาพูดคุยกัน

ส่วนร่างจริงของโจวมี่นั้นยังคงนั่งอยู่ในเรือ รับชาถ้วยหนึ่งมาจากมือของเซอเยว่ ยิ้มกล่าว “ต้มชาก็คือแค่เอาน้ำมาต้มใบชาหรือ”

แม่นางหน้ากลมไม่ได้ใจใหญ่ธรรมดา ตอนแรกถูกกักตัวมาไว้ในชายแขนเสื้อ ตอนนี้ยังได้มาอยู่กับอาจารย์มหาสมุทรความรู้เพียงลำพัง แต่นางกลับยังคงไม่ยี่หระสิ่งใด ราวกับคนไม่รู้จักจำ หลังจากรินชาให้ตัวเองเต็มถ้วยแล้วก็พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ข้ามีฝีมือเพียงแค่นี้ รับรองว่าสามารถดื่มได้ หากอาจารย์โจวไม่พอใจก็เรียกเฝ่ยหรานมาเถอะ ดูเหมือนว่าขนบธรรมเนียมของไพศาล เขาจะเชี่ยวชาญคุ้นเคยดีหมดแล้ว”