บทที่ 739.1 รับคนและธรรมชาติเป็นครูให้ได้มากที่สุด

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บนยอดเขาภูเขาสุ้ยซาน

ซิ่วไฉเฒ่ากับเทพเกราะทองนั่งข้างกันอยู่บนขั้นบนสุดของบันได

องค์เทพแห่งภูเขาสุ้ยซานที่ขนาดนั่งก็ยังสูงกว่าซิ่วไฉเฒ่าตอนยืนถามว่า “ไม่คิดจะหันไปมองทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปบ้างหรือ? นี่ไม่เหมือนนิสัยของเจ้าเลย”

ซิ่วไฉเฒ่านั่งอยู่ทางฝั่งขวามือของเทพใหญ่ภูเขาสุ้ยซาน ราวกับว่าทำอย่างนี้ก็จะสามารถหลบบุรพแจกันสมบัติทวีปมาได้ไกลกว่าเดิม ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่มองๆ คนผู้หนึ่งต่อให้ใจแข็งแค่ไหน แต่หัวใจจะทนการแตกสลายได้สักกี่ครั้ง”

เทพเกราะทองพลันทอดสายตามองไปยังทิศไกล เอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “มีแขกหายากมาเยือนภูเขาสุ้ยซาน ซิ่วไฉเฒ่าเจ้าต้องการพบหน้าเขาหรือไม่? หากเจ้าคิดว่ารำคาญ ข้าก็จะไม่เปิดประตูแล้ว”

ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ย “หากเป็นต่ง หัน จูสามคนนี้ของศาลบุ๋น เจ้าก็บอกไปว่าตาเฒ่าพูดแล้วว่าห้ามมารบกวนตอนที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์ของพวกเรากำลังต่อยตีกับผู้อื่น”

อาจารย์ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อสามคนก็คือเจ้าลัทธิและรองเจ้าลัทธิสามท่านของใต้หล้าไพศาล คือบรมครูด้านบุ๋นตามความหมายที่แท้จริง ช่วยสืบทอดสายบุ๋นซึ่งเป็นระบบของลัทธิขงจื๊อให้ดำรงยาวนานสืบไปนับพันปี

จุดศูนย์รวมแห่งความรู้ลัทธิขงจื๊อ เจ้าลัทธิศาลบุ๋นอาจารย์ผู้เฒ่าต่ง

เป็นผู้ริเริ่มเรื่องการสนองตอบระหว่างฟ้าและคน มือของเขาเป็นผู้จัดระเบียบสายบุ๋นที่วุ่นวายซับซ้อน นอกจากเพื่อกำหนดเค้าโครงให้กับสามสถานศึกษาเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาให้กับคนรุ่นหลังแล้ว ยังจัดตั้งไท่เซวี๋ย (สถาบันการศึกษาระดับสูงสุดของจีนในสมัยโบราณ) ผลักดันโรงเรียนรัฐ (กวนเซวี๋ย โรงเรียนที่จัดตั้งโดยรัฐบาลในสมัยโบราณ) อีกทั้งยังเสนอวิชาดั้งเดิมครบชุดสำหรับการฝึกตนของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อในสถานศึกษาและสำนักศึกษา ทำให้ฮ่องเต้จักรพรรดิในรุ่นหลังที่ไม่ว่าใครก็ตามที่พบเจอกับเหตุการณ์ภัยพิบัติธรรมชาติผิดปกติ หรือค้นพบความผิดพลาดในการปกครองบ้านเมือง ก็จะต้องแสดงความสำนึกผิดของตนแก่ใต้หล้า โองการสำนึกผิดทุกฉบับที่จักรพรรดิของแต่ละแคว้นประกาศออกมาในทุกยุคทุกสมัย ต้นฉบับร่างดั้งเดิมล้วนถูกวิญญูชนสำนักศึกษาเก็บเข้าไปไว้ในกระเป๋า สุดท้ายถูกเก็บไว้ในศาลบุ๋นของแผ่นดินกลาง

วีรกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาจารย์ผู้เฒ่าต่งก็คือเกือบจะเตะโด่งร้อยสำนัก เพียงแต่ถูกหลี่เซิ่งปฏิเสธเรื่องนี้ เจ้าลัทธิศาลบุ๋นท่านนี้จึงถอยมาเลือกในระดับรองลงมา ใช้กำลังของตัวเองคนเดียววิจารณ์ข้อดีข้อเสียของความรู้เมธีร้อยสำนัก ประเมินสูงต่ำ จักรพรรดิบุกเบิกแคว้นในโลกมนุษย์มักจะกำหนดระดับขั้นของทำเนียบตระกูลให้กับแซ่สกุลร้อยแซ่ในพื้นที่การปกครอง อาจารย์ผู้เฒ่าต่งจึงประเมินสูงต่ำให้กับ ‘ร้อยสำนักไพศาล’ ในบรรดานั้นสำนักคำนวณ สำนักการค้าที่รายชื่ออยู่ลำดับรั้งท้ายก็ได้แต่ฝืนใจยอมรับไปเท่านั้น

ไม่เพียงเท่านี้ อาจารย์ผู้เฒ่าต่งยังสนับสนุนให้รวมมารยาทพิธีการเป็นหนึ่ง ควบรวมทุกอย่างไว้ด้วยกัน ดังนั้นความรู้ของเจ้าลัทธิศาลบุ๋นท่านนี้จึงมีอิทธิพลต่อสำนักนิติธรรมและสำนักหยินหยางซึ่งมีตำแหน่งสูงมากในบรรดาเมธีร้อยสำนักอย่างถึงที่สุด

นี่จึงเป็นเหตุให้อาจารย์ผู้เฒ่าต่งถูกขนานนามให้เป็น ‘บรมครูแห่งลัทธิขงจื๊อในใต้หล้า’

รองเจ้าลัทธิอาจารย์ผู้เฒ่าหันและอาจารย์ผู้เฒ่าจู คนหนึ่งเรียบเรียงสร้างระบบสายบุ๋นของลัทธิขงจื๊อขึ้นมาใหม่ อีกทั้งยังแบ่งแยกขอบเขตระหว่างวิญญูชนและนักปราชญ์ให้ละเอียดมากขึ้น อาจารย์ผู้เฒ่าหันจึงใกล้ชิดสนิทสนมกับสายหย่าเซิ่งมากที่สุดอย่างเป็นธรรมชาติ ถึงขั้นสามารถพูดได้ว่าการลุกผงาดของตำแหน่งฐานะของหย่าเซิ่งในศาลบุ๋น อาจารย์ผู้เฒ่าหันท่านนี้มีคุณความชอบอยู่ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งคือการบุกเบิกโฉมหน้าใหม่ สร้างยอดเขาสูงอีกแห่งหนึ่งให้กับสายบุ๋น วิวัฒนาการ ‘มารยาทพิธีการ’ ให้กลายเป็น ‘หลักการเหตุผล’

ส่วนความรู้ของสายซิ่วไฉเฒ่านั้นกลับมีความขัดแย้งน้อยใหญ่กับทั้งเจ้าลัทธิหลักและเจ้าลัทธิรองสามท่านนี้พอดี

อาจารย์ผู้เฒ่าต่งได้เสนอ ‘ยึดหลักคุณธรรมของตัวเองให้เที่ยงตรง อย่าแสวงหาผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ในปัจจุบัน ทั้งยังต้องบ่มเพาะปลูกฝังในสิ่งที่ตนเชื่อมั่น อย่ารีบร้อนเก็บเกี่ยวผลลัพธ์’ มานานแล้ว แต่สายของเหวินเซิ่งกลับเสนอทฤษฎีคุณความชอบและกิจการงานออกมาในท้ายที่สุด จึงชักนำให้เกิดศึกตรีจตุที่เปลี่ยนจากเบื้องหลังมาเป็นเดินขึ้นเวทีในครานั้น แม้จะบอกว่าทฤษฎีคุณความชอบและกิจการงานจะเป็นชุยฉานลูกศิษย์คนแรกของสายเหวินเซิ่งที่เสนอออกมา แต่ในสายบุ๋นทั้งหลายที่อยู่ในระบบของลัทธิขงจื๊อ แน่นอนว่าย่อมมองว่าเป็นทฤษฎีความคิดหลักอย่างที่สองซึ่งเชื่อมโยงต่อมาจาก ‘สันดานเดิมนั้นเลวทราม’ ของซิ่วไฉเฒ่า ดังนั้นศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางจึงพากันมองทฤษฎีคุณความชอบและกิจการงานเป็นจุดประสงค์รากฐานความรู้ของตัวซิ่วไฉเฒ่าเอง นอกจากนี้เนื่องจากชุยฉานเสนอให้เปลี่ยนอักษรคำว่า ‘เมี่ย’ (กำจัด/ดับ/สิ้นสูญ) ให้เป็น ‘เจิ้ง’ (เที่ยงตรง/ถูกต้อง/ชอบธรรม) มาโดยตลอด เพราะรู้สึกว่าเหมาะสมถูกต้องมากกว่า นี่ก็สร้างความไม่พอใจให้กับสายบุ๋นฝ่ายของอาจารย์ผู้เฒ่าจูด้วย อีกทั้งชุยฉานยังถูกฝ่ายตรงข้ามใช้คำว่า ‘เอ้อ’ (ชั่วร้าย) มาพูดโต้แย้ง ย้อนถามกลับชุยฉาน สายบุ๋นของเจ้าและข้าสองฝ่าย ดูสิว่าใครจะพูดจาให้คนตกตะลึงได้มากกว่ากัน…

ลูกศิษย์ไม่รับอาจารย์เป็นอาจารย์แล้ว แต่มีอาจารย์ที่ไหนที่ไม่ห่วงใยลูกศิษย์

เทพเกราะทองรู้สึกนับถือในความใจกล้าของซิ่วไฉเฒ่าจริงๆ เมื่อก่อนเวลาปกติที่พวกเขาอยู่บนภูเขาสุ้ยซานจะพูดจาเหลวไหลแค่ไหนก็ช่างเถิด แต่เวลานี้ปรมาจารย์มหาปราชญ์นั่งอยู่ด้านข้างเองนะ ซิ่วไฉเฒ่าก็กล้าทำตัวเหลวไหลเช่นนี้ด้วยหรือ?

คิดไม่ถึงว่าอาจารย์ผู้เฒ่าท่านนั้นจะพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ข้าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น”

ถึงอย่างไรซิ่วไฉเฒ่าก็มีความสามารถในการพูดจาเหลวไหล จึงไม่กลัวว่าหลังจากนี้จะถูกคิดบัญชีย้อนหลัง ย่อมต้องมีความสามารถในการแบกรับคำด่าของศาลบุ๋นอยู่แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ถึงเวลาพอเถียงกันขึ้นมา ใครด่าใครก็ยังไม่แน่หรอกนะ

เทพเกราะทองเอ่ยอย่างจนใจว่า “ไม่ใช่เจ้าลัทธิศาลบุ๋นสามท่าน แต่เป็นอาจารย์เจิ้งแห่งนครจักรพรรดิขาว”

ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ทีแรกก็หันไปขยิบตาให้สหายรักที่อยู่ข้างกายก่อน แต่คงเพราะไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะเปิดประตูทันที ตัวเองอาจเปลืองน้ำลายไปเสียเปล่า ดังนั้นซิ่วไฉเฒ่าจึงยึดคอยาวออกไป พบว่าประตูใหญ่เปิดไว้แล้วจริงๆ ถึงได้แสร้งหันมาพูดกับเทพเกราะทองเสียงดังว่า “อาจารย์เจิ้ง? นี่ไม่ห่างเหินไปหน่อยหรือ หากตาเฒ่าไม่พอใจ ข้าจะเป็นคนรับผิดชอบเอง จะไม่ยอมให้พี่ใหญ่ไหวเซียนต้องลำบากใจเด็ดขาด เจ้าดูสิ เหล่าเจิ้งผู้นี้เป็นถึงผู้นำยักษ์ใหญ่ของลัทธิมารก็ยังกล้ามาพบปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่นี่ ลำพังแค่ความกล้าหาญนี้ จะไม่คู่ควรกับบุคคลอันดับหนึ่งของลัทธิมารได้อย่างไร? บุคคลอันดับหนึ่งต้องเป็นเขาแน่แล้ว หากเปลี่ยนคนอื่นมานั่งเก้าอี้ตัวนี้ ข้าคนแรกเลยที่จะไม่ยอม ปีนั้นหากไม่เป็นเพราะหย่าเซิ่งขวางเอาไว้ ป่านนี้ข้าก็คงส่งกรอบป้ายไปให้นครจักรพรรดิขาวนานแล้ว กลอนคู่แนวตั้งและกลอนแนวนอนหน้าประตูบ้านของน้องเทียนไล่ภูเขามังกรพยัคฆ์ เจ้าคงรู้จักกระมัง เขียนเป็นอย่างไร ธรรมดามาก แต่ก็ยังถูกน้องเทียนไล่เอาขึ้นแขวนอยู่ดีไม่ใช่หรือ พอไปถึงนครจักรพรรดิขาวของพี่ใหญ่เจิ้ง ข้าดื่มเหล้าแค่คำเดียว แรงบันดาลใจในการเขียนกลอนก็บังเกิดขึ้นได้แล้ว ขอแค่สำแดงศักยภาพออกมาสักแปดส่วนก็ต้องกดข่มจวนเทียนซือได้ทันทีเลย…”

หลังจากที่เทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานเปิดประตูใหญ่แล้ว เจิ้งจวีจงที่สวมชุดตัวยาวสีขาวหิมะก็เดินก้าวหนึ่งจากริมขอบของอาณาเขตตรงมาที่หน้าประตูตีนภูเขาทันที แล้วหยุดเดินแต่เพียงเท่านี้ เขาประสานมือคารวะปรมาจารย์มหาปราชญ์ก่อน จากนั้นถึงเงยหน้ามองซิ่วไฉเฒ่าที่พูดจาเลื่อนเปื้อนส่งเดช ฝ่ายหลังลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม เจิ้งจวี้จงถึงได้ดีดนิ้วหนึ่งที ตราผนึกเล็กจิ๋วที่อยู่ตรงหูสองข้างของตนถึงได้แตกสลายไป

เห็นได้ชัดว่าเจ้านครจักรพรรดิขาวท่านนี้ไม่ยินดีจะรับน้ำใจของซิ่วไฉเฒ่าเอาไว้

ซิ่วไฉเฒ่าที่เปลืองแรงเปล่าอึ้งงันอยู่กับที่ มารดามันเถอะ เหตุใดเจ้าเจิ้งจวีจงผู้นี้ถึงได้หน้าไม่อายเพียงนี้ คราวหน้าจะต้องมอบสี่คำว่าเล่นหมากล้อมห่วยแตกตัวใหญ่ๆ ให้กับนครจักรพรรดิขาวของเขาแน่นอน

เทพเกราะทองถาม “จะยังพบอีกหรือไม่?”

ซิ่วไฉเฒ่าทอดถอนใจ ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ ถูกเทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานยื่นมือมากดไหล่แล้วพาไปยังหน้าประตูภูเขาด้วยกัน

เจิ้งจวีจงเอ่ย “ข้าอยากจะเล่นหมากล้อมกับคนทั้งสองมาโดยตลอด ตอนนี้สามารถรอคอยไปอย่างช้าๆ ได้แล้ว นอกจากนี้ท่านผู้นั้น? หากสามารถรอได้ ข้าก็จะพาคนไปที่ทักษินายตยทวีปหรือไม่ก็หลิวเสียทวีป จำนวนคนของนครจักรพรรดิขาวมีไม่มาก แค่สิบเจ็ดคนเท่านั้น แต่ก็พอจะช่วยอะไรเล็กๆ น้อยๆ ได้บ้าง ยกตัวอย่างเช่นหกคนในนั้นจะใช้วิชาลับเฉพาะของนครจักรพรรดิขาวแฝงตัวเข้าไปในกลุ่มของเผ่าปีศาจใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แอบยึดครองตำแหน่งระดับกลางในกระโจมทัพใหญ่แต่ละแห่งมา เรื่องนี้ไม่ยากแม้แต่น้อย”

ซิ่วไฉเฒ่านั่งแปะลงบนขั้นบันได “ช่างเถิดๆ เจ้าอย่าได้สาดเกลือลงบนบาดแผลของคนอื่นอีกเลย สองทวีปนั่นเจ้าอยากไปก็ไป ไม่อยากไปก็ช่าง”

ถึงอย่างไรก็ต้องไปอยู่แล้ว ไม่แน่ว่านครจักรพรรดิขาวอาจทำเรื่องนี้ไปแล้วก็เป็นได้

แต่ไหนแต่ไรมาเจิ้งจวีจงก็ชอบทำอะไรป่าเถื่อนมาโดยตลอดอยู่แล้ว

“ดูท่าลูกศิษย์สองคนของท่านอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งต่างก็ไม่มีเส้นทางให้ถอยกลับหลังอีกแล้ว”

เจิ้งจวี้จงนั่งลงข้างกายซิ่วไฉเฒ่า เงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ปีนั้นหลังจากรู้ผลแพ้ชนะบนกระดานหมากตอนอยู่บนเมฆหลากสีกับซิ่วหู่แล้ว อันที่จริงซิ่วหู่ได้เอ่ยประโยคหนึ่ง เพียงแต่คนบนโลกไม่รู้ก็เท่านั้น เขาบอกว่าฝีมือการเล่นหมากล้อมของฉีจิ้งชุนศิษย์น้องของตนสูงยิ่งกว่า ดังนั้นชนะเขาชุยฉานคือชนะเขาแค่คนเดียว ไม่ถือว่าชนะทั้งสายบุ๋น ปีนั้นข้าถึงได้ใคร่รู้อย่างยิ่ง จึงออกจากเมืองมาต้อนรับฉีจิ้งชุน เชื้อเชิญให้เขาไปเล่นหมากล้อมร่วมกันสักตา เพราะอยากรู้ว่าใต้หล้านี้ใครกันที่สามารถทำให้ซิ่วหู่ผู้หยิ่งทระนงยินดียอมรับว่าตัวเองสู้คนเขาไม่ได้”

ซิ่วไฉเฒ่าเงียบงัน

แต่เจิ้งจวีจงกลับเอ่ยประโยคหนึ่งที่ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึง “แต่ข้ารู้สึกว่าอยู่นอกกระดานหมาก ฝีมือการเล่นหมากล้อมของชุยฉานสูงยิ่งกว่า ปีนั้นพ่ายแพ้บนกระดาน โดยเฉพาะกระดานสุดท้ายที่ไม่ได้แพร่ออกไปให้คนนอกรู้ ยี่สิบสามช่องที่ตัดสลับกันบนกระดาน ชุยฉานพ่ายแพ้ก็เพียงแค่เพราะกระดานหมากที่สองฝ่ายประลองฝีมือกันเล็กเกินไป ต่อให้มาจนถึงวันนี้ข้าก็ยังคงคิดเช่นนี้ ถึงอย่างไรการวางเม็ดหมากของฉีจิ้งชุนก็ขาดๆ หายๆ กระจายไปอยู่ตามจุดต่างๆ ชุยฉานที่ตามมาทีหลังทั้งต้องวางหมากเพียงลำพัง แล้วยังต้องเชื่อมโยงกับเม็ดหมากตำแหน่งต่างๆ บนกระดานที่กำหนดไว้แน่นอนแล้ว แต่ละจุดต้องรับต่อให้ถูก สุดท้ายทำให้กระดานหมากร้อยเรียงเชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์ นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย คนทั่วไปไม่อาจคิดจินตนาการได้ถึง”

ซิ่วไฉเฒ่ายังคงไม่เอ่ยอะไร

เจิ้งจวีจงพลันถามว่า “ปีนั้นก่อนที่อาจารย์ผู้เฒ่าต่งจะเข้ามาอยู่ศาลบุ๋น เคยถ่ายทอดวิชาความรู้อยู่ตามชนบท แขกไม่ได้รับเชิญที่รับฟังคำสอนแต่กลับไม่เห็นด้วยผู้นั้น สรุปแล้วเป็นจิ้งจอกเฒ่าซึ่งเป็นภูตทั่วไปตามป่าเขาตัวหนึ่ง หรือว่าเป็นหนูหริ่ง…หนึ่งในการจำแลงดวงจิตบนมหามรรคาของลู่เฉินกันแน่?”

ซิ่วไฉเฒ่าตอบเบาๆ “คราวหน้าข้าจะช่วยถามให้เจ้าแล้วกัน”

เจิ้งจวีจงถามอีก “ซิ่วไฉเฒ่าโน้มน้าวให้ชุยฉานเปลี่ยนใจไม่ได้จริงๆ หรือ?”

ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า “ลูกศิษย์แต่ละคนล้วนดีเยี่ยม อาจารย์ตัดใจพูดตำหนิไม่ลง พูดไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์”

เจิ้งจวีจงลุกขึ้นยืน เจ้านครจักรพรรดิขาวท่านนี้จะหวนกลับไปยังฝูเหยาทวีปทันที นี่ก็คือข้อตกลงลับที่มีร่วมกันระหว่างเขาและชุยฉาน

มอบลูกศิษย์คนสุดท้ายคนหนึ่งที่มากพอจะสืบทอดวิชาความรู้และมหามรรคาของนครจักรพรรดิขาวได้ ค่าตอบแทนก็คือ เจิ้งจวีจงจำเป็นต้องเอาฝูเหยาทวีปที่สูญเสียไปแล้วกลับคืนมา มาแลกเปลี่ยนกับคนผู้นี้

และลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่เจิ้งจวีจงอยากจะอบรมปลูกฝังเขาให้ดีอย่างแท้จริง ก็คือกู้ช่านที่ชุยฉานเอามาถามใจเฉินผิงอันตอนอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน

สถานการณ์ถามใจครั้งนั้น การขัดเกลาจิตแห่งมรรคาอยู่กับทั้งเฉินผิงอันที่ผิดหวังทอดอาลัย แล้วก็อยู่ที่กู้ช่านที่ให้ตายก็ไม่ยอมรับผิด แต่เรียนรู้ที่จะเคารพ ‘กฎเกณฑ์’ ด้วย

หากกู้ช่านยอมรับผิด ก็หนีไม่พ้นราชสำนักต้าหลีหรือไม่ก็แจกันสมบัติทวีปได้มีกู้ช่านผู้เป็นบัณฑิตครึ่งตัวปรากฎเพิ่มมา แต่หากในใจยืนกรานไม่ยอมรับผิด ทว่ายินดีที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ถ้าอย่างนั้นใต้หล้าไพศาลก็จะมีกู้ช่านแห่งนครจักรพรรดิขาวเพิ่มมาคนหนึ่ง จะทำให้สำนักนอกรีต สำนักลัทธิมารทั้งหลายในยุคหลังที่คิดว่าตัวเองฉลาดเฉลียวมากมายได้รู้อย่างแท้จริงว่า อะไรคือวิถีมารที่แท้จริงในใจของซิ่วหู่ชุยฉานและเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว

……

ข้างศาลารับลมของภูเขาไฉ่จือ มีต้นสนโค้งงอหลายร้อยตนโอบล้อม รากของพวกมันฝังลึกอยู่ระหว่างร่องหินของหน้าผา กิ่งโน้มเอียงไปนอกศาลาชมทัศนียภาพ ประหนึ่งคิ้วที่เซียนซือวาดให้กับศาลาหลังเล็ก ยามลมพัดต้นสนจะส่งเสียงดังซู่ๆ ยิ่งทำให้ขุนเขาวิเวกวังเวง แสงอาทิตย์สาดส่องลอดกิ่งสนโบราณเข้ามาตกกระทบลงบนพื้นดิน ในศาลาจึงมีประกายแสงทองระยิบระยับสาดส่อง ส่ายไหวไปตามสายลม ขับขานอย่างไร้เสียง อีกทั้งยังมีเด็กหนุ่มชุดขาวและเด็กสาวชุดเขียวที่นั่งอยู่บนปลายราวรั้วสองด้านริมหน้าผา มองดูคล้ายเจ๋อเซียนที่เป็นคู่รักกัน

ชุยตงซานนั่งกอดเข่างอตัว เอนหัวพิงเสาศาลา ขอเหล้าหมักภูเขาชิงเสินที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้ามาจากฉุนชิงอีกหนึ่งกา นี่คือของที่ขาดไม่ได้มากที่สุดในงานเลี้ยงรับรองของเทพชิงเสินถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ ฉุนชิงออกเดินทางในครั้งนี้จึงนำเหล้ามาด้วยไม่น้อย ในวัตถุจื่อชื่อมีไหเหล้าน้อยใหญ่นับร้อยไหวางอยู่ อาจารย์เจ้าขุนเขาเคยบอกว่า ออกจากบ้านไปอยู่ข้างนอก หากพบเจอใครที่ถูกชะตา ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธผู้กล้าในยุทธภพล่างภูเขาหรือพ่อค้าหาบเร่ในกลุ่มชาวบ้านร้านตลาด ก็ไม่ต้องขี้เหนียวสุรา ฉุนชิงโยนเหล้ากาหนึ่งให้กับอาจารย์น้อยชุยผู้ลึกลับด้วยท่าทางอ่อนโยน เห็นเพียงว่าเด็กหนุ่มชุดขาวบิดคอกลับมา ใช้หัวรับกาเหล้า โยกศีรษะหนึ่งที กาเหล้าก็หล่นไปเบื้องหน้า แล้วค่อยใช้มือรับเอาไว้

ฉุนชิงอายุไม่มาก แต่กลับพบเห็นโลกกว้างมาไม่น้อย ทว่าคนอย่างชุยตงซาน นางไม่เคยพบเจอมาก่อนเลยจริงๆ

ชุยตงซานแกะผนึกดินออก สูดดมกลิ่น ยืดคอยาวมองไปนอกหน้าผาแล้วจุ๊ปากพูด “บนพื้นราบเรียบของโลกมนุษย์ จะมีสักกี่คนมองเห็นข้าตงซานท่ามกลางเมฆมรกต”

ฉุนชิงเอ่ย “อาจารย์น้อยชุยเป็นถึงขอบเขตเซียนเหรินแล้ว อย่าทำเรื่องอย่างการแปะทองลงบนหน้าตัวเองเลยดีกว่า”