ตอนที่ 3209

War sovereign Soaring The Heavens

การที่ชายวัยกลางคนตกตายลงในชั่วพริบตา ทำให้อีก 8 คนในห้องขังแห่งนี้ตัวแข็งไปทันที รูม่านตาหดแคบ หน้าเสียไปเป็นแถบ มองชายหนุ่มอีกครั้งสายตายังทำราวกับเห็นผี!

 

ชายวัยกลางคนที่ถูกฆ่าไปนั่น พวกมันรู้จักดี และพลังฝีมือจัดว่าร้ายกาจ อยู่เหนือกว่าพวกมันอีกด้วย!

 

ทว่าพริบตาเดียว กลับตกตายด้วยน้ำมือชายหนุ่มเบื้องหน้าเสียแล้ว

 

‘พลังฝีมือของมัน คิดจะเข้าสู่แดนลับสมบัติระดับ 2 ยังไม่ใช่เรื่องยากอะไร…ไฉนมันมาอยู่ในแดนลับสมบัติระดับ 3 ได้?’

 

จังหวะนี้ทั้ง 8 คนต่างใจสั่นไม่น้อย

 

และทั้ง 8 ก็ไม่ได้รู้เลยว่าพวกมันยังประเมินชายหนุ่มผิดไป

 

เพราะตราบใดที่ต้องการ ชายหนุ่มผู้นี้สามารถชิงอันดับ 1 ของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงได้ตั้งแต่ 90 กว่าปีก่อนด้วยซ้ำ!

 

พลังฝีมือของมัน กระทั่งเหยียนหรูอวี้แห่งนิกายปราชญ์เต๋าลี้ลับยังไม่อาจเทียบได้

 

ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น มันก็คือจางจินอี้ที่สวมรอยใช้ชื่อ ‘ต๋งเยวี่ย’ นั่นเอง เดิมทีมันก็คิดว่าเมื่อเข้าสู่แดนลับสมบัติระดับ 3 แล้วจะได้พบเจอฮ่วนเอ๋อทันทีเสียอีก แต่ไม่คิดเลยว่าจะถูกสุ่มมาอยู่ในคุกกับคนอื่นอีก 9 คน ซึ่งมันมั่นใจว่าฮ่วนเอ๋อไม่ใช่ 1 ใน 9 คนเบื้องหน้าแน่นอน

 

“ด้วยพลังฝีมือของมัน ถึงแม้ว่ากลุ่มที่ 5 ของพวกเราจะไม่ได้ชนะผ่าน ก็สามารถเอาชนะอีกกลุ่มจนเข้าสู่แดนลับสมบัติระดับสามได้ง่ายๆ”

 

ตอนนี้ทุกคนเข้าใจแล้วว่าไฉนชายหนุ่มผู้นี้ถึงได้แลดูเฉยๆ ไม่ได้มีความสุขอะไรเพราะได้ชนะผ่าน

 

เพระอีกฝ่ายไม่ได้สนใจชัยชนะที่ว่างเปล่า

 

 

“ไม่มีสตรี…ไม่ใช่กลุ่มเดียวกับฮ่วนเอ๋อนั่นงั้นรึ?”

 

จวินฉงซานที่ใช้นามแฝงว่าจวินชิวเฉิน ก็ได้ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่ 6 และมาปรากฏตัวในห้องขังแห่งหนึ่งเช่นกัน หลังมันกวาดตามองไปทั่วๆ ก็พบว่าคนที่อยู่ในกลุ่มมันมีแต่ผู้ชายล้วนๆ ไม่มีผู้หญิงสักคน

 

“พี่น้องท่านนี้ ข้าไม่เคยเห็นท่านมาก่อนเลย…มิทราบท่านมีนามว่าอะไรหรือ?”

 

ชายชราคนหนึ่ง มองถามจวินฉงซานด้วยรอยยิ้มมากไมตรี

 

ตอนนี้ภายในห้องขัง 8 คนล้วนมีรูปลักษณ์เป็นชายวัยกลางคนกับชายหนุ่ม คงเหลือแต่มันกับคนเบื้องหน้าเท่านั้นที่เลือกจะปล่อยตัวให้แก่ตามวัย จึงทำให้มันรู้สึกคุ้นเคยกว่าคนอื่นๆ

 

“จวินชิวเฉิน”

 

จวินฉงซานมองชายชราที่เข้ามาเอ่ยถามด้วยสายตาเฉยเมย กล่าวตอบออกไปเสียงเรียบ

 

“จวินชิวเฉิน?”

 

ชายยชราผงะไปเล็กน้อยคอยยิ้มกล่าว “ที่แท้เป็นพี่น้องจวินชิวเฉิน ข้าได้ยินนามเลิศล้ำมานานแล้ว…”

 

แน่นอนว่าในความทรงจำของชายชราไม่เคยได้ยินชื่อจวินชิวเฉินมาก่อนเลย แต่เพราะคิดตีซี้ไว้เผื่อได้ใช้ประโยชน์ภายหลัง มันจึงทำทีเป็นกล่าวชมออกไปด้วยท่าทางจอมปลอม

 

“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าใช้ชื่อนี้เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง…”

 

อย่างไรก็ตามจวินฉงซานเลือกจะกล่าวเปิดโปงความหน้าซื่อใจคดของชายชราออกมาอย่างไร้ปราณี

 

ทันใดนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าชายชราก็ชะงักค้างทันใด และเอ่ยสวนมาด้วยน้ำเสียยงไม่สบอารมณ์ “เจ้าช่างมารยาททรามนัก! เป็นข้าไว้หน้าเจ้า แต่เจ้ากลับฉีกหน้าข้างั้นรึ?”

 

“ข้ายังต้องให้เจ้าไว้หน้าด้วย?”

 

จวินฉงซานจะอย่างไรก็คือรองจ้าวหอคุมกฏแห่งนิกายยวิถีวายุอัสนี สถานะของมันสูงส่งเพียงใด? อาศัยราชาอมตะ 10 ทิศกระจอกๆเบื้องหน้ายังนับเป็นตัวอะไรได้?

 

ราชาอมตะ 10 ทิศเบื้องหน้ามัน ด้วยมาปรากฏตัวที่นี่เช่นนั้นพลังฝีมือมีเท่าไหร่ก็รู้ได้ อย่างดีก็คงเข้าใจความลึกซึ้งถึงขั้นตอนเล็กน้อยสักประการเท่านั้น

 

ในสายตาของมัน ราชาอมตะ 10 ทิศที่มีพลังฝีมือเพียงเท่านี้ จัดว่าธรรมดาถึงขีดสุด

 

“หึ! หน้าใหม่เดี๋ยวนี้ หยิ่งยะโสโอหังถึงเพียงนี้เชียวรึ?”

 

สองตาชายชราฉายแววเย็นชา น้ำเสียงยังกลายเป็นห้วนแข็ง พาลให้บรรยากาศในคุกลดต่ำลงหลายองศา

 

“ทำไม? เจ้าคิดจะสั่งสอนข้ารึไง?”

 

จวินฉงซานหัวเราะเยาะ

 

“ไม่ผิด!”

 

สิ้นเสียงชรา พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดทั่วร่างของมันก็ปะทุระเบิดออกมาครืนๆ ก่อนจะกลับกลายเป็นเปลวเพลิงร้อนระอุลุกโชนไปทั่วร่าง!

 

พริบตาต่อมาร่างชราไหววูบคราหนึ่ง คนก็ห้อเหยียดมาทางจวินฉงซานเร็วรี่ ประหนึ่งลูกไฟพุ่งถล่มหล่นฟ้า!

 

“คิดเล่นไฟต่อหน้าข้า…เจ้ายังนับว่าอ่อนหัด!”

 

เผชิญหน้ากับชายชราที่โถมเข้ามาดั่งบอลไฟ จวินฉงซานยกยิ้มแสยะมุมปาก กล่าวเย้ยออกไปคำหนึ่ง ร่างคนก็แปรเปลี่ยนไปคล้ายเพลิงโลกันต์ โถมถันเข้าไปกลืนกินเปลวเพลิงของผู้ชราเบื้องหน้าทันที!

 

ทามกลางสายตาตกตะลึงทั้งอกสั่นขวัญแขวนของคนทั้ง 8 จวินฉงซานที่กลับกลายคล้ายเพลิงโลกันต์ พอปะทะเข้ากับชายชรา เปลวเพลิงทั่วร่างชราก็เสมือนกองไฟขาดฟืนต้องลม ดับลงเร็วไว

 

สุดท้ายร่างชราก็กลับกลายเป็นละอองธุลีกองหนึ่ง ค่อยๆฟุ้งกระจายหายไปในอากาศ…

 

คงเหลือเพียยงแหวนพื้นที่ร้อนลวก ที่ถูกจวินฉงซานสะบัดมือเก็บไปอย่างไร้แยแส

 

ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด!

 

 

ทั้ง 8 อดสูดลมหายใจเข้าลึกๆไม่ได้ มองไปยังจวินฉงซานอีกครั้ง แววตาก็แปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

 

‘พลังฝีมือของมัน อย่าว่าแต่ 30 อันดับแรกเลย คิดจะติดอยู่ใน 20 อันดับแรกคงไม่มีปัญหาอันใด…’

 

ทั้ง 8 อดคิดไปทำนองดังกล่าวไม่ได้

 

และพอคิดถึงจุดนี้ใบหน้าของทั้ง 8 ก็เริ่มฉายแววยินดีขึ้นมา เพราะในเมื่อกลุ่มที่ 6 ของพวกมันมีตัวตนอันร้ายกาจเยี่ยงนี้ เช่นนั้นเรื่องกำจัดกลุ่มอื่นต้องไม่มีปัญหาแน่!

 

 

เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน

 

ครึ่งชั่วยามต่อมา ภายในกรงขังของกลุ่มที่ 5 ก็ปรากฏประตูมิติบานหนึ่ง มองลอดออกไปก็พบว่าด้านหลังประตูคล้ายโลกอันกว้างใหญ่เต็มไปด้วยกิ่นหอมของบุปผา แว่วเสียงวิหกหยอกเย้าดังลอดมาแต่ไกล

 

“แดนลับสมบัติระดับ 3 มันกว้างใหญ่สักเพียงใด?”

 

ก่อนที่ทั้ง 8 จะก้าวผ่านพ้นประตูออกไป จางจินอี้ก็เอ่ยถามออกมา ทำให้ร่างทั้ง 8 พร้อมใจกันชะงักลงทันที

 

“เรียนใต้เท้า…”

 

เมื่อได้เห็นพลังฝีมืออันน่ากลัวของจางจินอี้ไปแล้ว ทั้ง 8 คนไหนเลยจะหาญกล้าเพิกเฉยละเลย เร่งประสานมือแย่งกันกล่าวตอบอย่างสุภาพ “แดนลับสมบัติระดับ 3 มิได้กว้างใหญ่อะไรมากมาย ด้วยความเร็วของราชาอมตะ 10 ทิศทั่วไป แค่วันสองวันก็มากพอจะให้เหินบินสำรวจทั่วๆแล้วขอรับ…”

 

“อย่างไรก็ตาม แม้แดนลับสมบัติระดับ 3 จักมิได้กว้างใหญ่อะไร หากแต่บททดสอบเพื่อรับวาสนาใดๆนั้นยากยิ่ง โดยเฉพาะจิตวิญญาณค่ายกลต่างๆ ยิ่งสมบัติและวาสนาเลิศล้ำเพียงใด ก็จะยิ่งทรงพลังงมากขึ้นเท่านั้น”

 

“หากแต่ด้วยพลังฝีมือของใต้เท้า บททดสอบใดๆเกรงว่าคงไม่ต่างจากของเด็กเล่น…”

 

 

วาจาของทั้ง 8 ฟังดูยกย่องจางจินอี้ไม่น้อย

 

“แดนลับสมบัติระดับ 3 นี่..อาศัยราชาอมตะ 10 ทิศทั่วไป แค่วันสองวันก็บินสำรวจได้ทั่วๆงั้นรึ?”

 

สองตาจางจินอี้ฉายประกายวาววับ มันพลันตระหนักว่า ต่อให้ก้าวผ่านประตูออกไปจะไม่พบใคร แต่ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหาต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อไม่เจอ ทันใดนั้นมันก็ก้าวนำออกมาก่อนใคร

 

อย่างไรก็ตามหลังก้าวผ่านประตูออกมาแล้ว จางจินอี้พบว่าประตูยังเปิดค้างกลางอากาศไม่ได้หายไปไหน อีก 8 คนก็ค่อยๆก้าวตามออกมาอย่างระแววดระวัง

 

นอกจากนั้นด้านข้างยังปรากฏประตูลักษณะเดียวกันอีก 3 บานลอยค้างกลางหาว แต่ดูเหมือนมันจะปิดอยู่

 

“ใต้เท้า ประตูมิติทั้ง 3 บานนั่น มีไว้ให้อีก 3 จากใน 6 กลุ่มขอรับ”

 

“หลังจากที่กลุ่มของพวกมันจับคู่ต่อสู้กัน กลุ่มใดที่เป็นผู้ชนะก็จะก้าวผ่านประตูออกมา…”

 

เมื่อเห็นจางจินอี้มองประตูมิติบานอื่นลอยค้างกลางหาว ชายวัยกลางคนที่ก้าวตามออกมาก่อนคล้ายตระหนักใดได้ ก็รีบกล่าวแนะนำออกไปเร็วไว “และประตูมิติแต่ละบานนั้น เมื่อคนด้านในออกมาครบแล้ว มันก็จะปิดตัวลงทันที….”

 

“วันหน้าหากใต้เท้าคิดจะออกไปที่นี่ หากไม่บดขยี้ทำลายป้ายหยก เช่นนั้นก็อยู่ในนี้ให้ครบกำหนดเวลา 10 วัน แล้วใต้เท้าก็จะถูกอาคมส่งตัวออกไปเองขอรับ”

 

ชายวัยกลางคนกล่าวแนะนำอย่างละเอียด

 

“เจ้าหมายความว่าอะไร…เจ้าจะบอกว่านอกจาก 3 กลุ่มที่ถูกคัดออกไปแล้ว อีกประเดี๋ยว 3 กลุ่มที่ชนะจักออกมาจากประตูทั้ง 3 บานนั่นรึ!?”

 

ถึงแม้จะมีคาดเดาไว้บ้างแล้ว แต่พอได้ยินชายวัยกลางคนกล่าวยืนยัน สองตาจางจิ้นอี้ยิ่งมาก็ยิ่งเปล่งแสงจ้า ปานจะพุ่งยิงลำแสงความร้อนออกมาได้!

 

“มิผิดใต้เท้า”

 

ชายวัยกลางคนพยักหน้า “เมื่อใดที่ประตูมิติทั้ง 3 เปิดออก คนของแต่ละกลุ่มที่ชนะจะออกมา…เมื่อพวกมันออกมาหมดทุกคนแล้ว ประตูก็จะปิดตัวลงและหายไปเช่นกัน”

 

“เอาล่ะ”

 

จางจินอี้พยักหน้า

 

“ใต้เท้า หากท่านไม่มีใดแล้ว ข้าน้อยขอตัวลาก่อน”

 

ชายวัยกลางคนกล่าว

 

จากนั้นพอเห็นจางจินอี้พยักหน้าเบาๆ ชายวัยกลางคนรวมถึงคนอื่นๆจึงค่อยบังเกิดความกล้าเหินร่างจากไป

 

“แบบนี้ข้าก็ไม่ต้องลำบากวิ่งวุ่นไปตามหาพวกมันสินะ แค่อยู่ตรงนี้เฝ้ารอพวกมันดังดักกระต่ายหน้าโพรง…”

 

พอเห็นว่าหลัง 8 คนในกลุ่มของมันออกมากันหมด ประตูมิติที่มันก้าวออกมาก็หายไป จางจินอี้ก็จับจ้องมองไปยังประตูมิติที่ยังปิดตัวอยู่เขม็ง

 

ในเวลาเดียวกัน

 

“กลุ่ม 3 ปะทะ กลุ่ม 6”

 

ภายในห้องขังของกลุ่ม 3 เสียงเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆพลันดังขึ้นอีกครั้ง ก้องอยู่ในหูของทุกคนในกรง

 

“คู่ต่อสู้ของพวกเราคือกลุ่ม 6!”

 

“อั้ย จะกลุ่มใดก็มาเถอะ! มีคุณชายต้วนกับแม่นางฮ่วนเอ๋ออยู่ พวกมันก็ถูกลิขิตให้กลับบ้านมือเปล่าแล้ว!”

 

 

อีก 8 คนในกลุ่ม 3 ล้วนมั่นใจในพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋ออย่างมาก

 

ทันใดนั้นเองด้านข้างกรงพลันเปิดออก ปรากฏสะพานโซ่ทอดยาวไปในความว่างเปล่า เบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆ

 

“แม่นางฮ่วนเอ๋อ คุณชายต้วน เมื่อพวกเราก้าวออกจากกรงขึ้นสะพานโซ่ไปสักพัก ก็จะเจอสนามรบระหว่างพวกเรากับอีกกลุ่ม…เป็นการประลองแบบตะลุมบอนสิบต่อสิบ อย่างไรก็ตามหากตกอยู่ในอันตราย ก็ยังสามารถทำลายป้ายหยกเพื่อเอาตัวรอดได้เหมือนเดิม”

 

หนึ่งในนั้นกล่าวบอกต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ

 

“เอาล่ะ”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า

 

ขณะเดียวกันทางด้านห้องขังของกลุ่ม 6 นอกจากคนที่ถูกจวินฉงซานฆ่าตายไปแล้ว คนที่เหลือก็ล้วนชักสีหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจทั้งสิ้น

 

เพราะพลังฝีมือที่จวินฉงซานเผยออกเมื่อครู่ เกรงว่าต่อให้พวกมันร่วมมือกัน ยังไม่มั่นใจวว่าจะเอาอยู่!

 

ดังนั้นในสายตาของพวกมัน ด้วยในกลุ่มที่ 6 มีจวินฉงซานอยู่ทั้งคน ชัยชนะก็เสมือนนอนมาแล้ว ต้องเอาชนะกลุ่ม 3 และได้บัตรผ่านเข้าสู่แดนลับสมบัติระดับ 3 แน่นอน!

 

“ใต้เท้าเชิญท่าน”

 

ต่อหน้าจวินฉงซานบัดนี้คนอื่นๆล้วนเผยทีท่าเคารพหมดสิ้น

 

และจวินฉงซานก็ก้าวนำออกจากห้องขังก้าวขึ้นสะพานโซ่ที่ทอดยาวไปยังความว่างเปล่าไปด้วยท่าทางมั่นใจ พร้อมเข้าสู่สนามรบเพื่อชิงชัยกับอีกกลุ่ม

 

‘ข้าหวังว่าจะได้เจอพวกมัน…หากไม่เจอ เช่นนั้นก็ต้องรีบจัดการฝ่ายตรงข้ามให้เร็วที่สุด จะได้ออกไปดักรอพวกมันด้านนอก’

 

ในขณะที่จวินฉงซานยังเป็นเพียงศิษย์หลักของนิกายวิถีวายุอัสนี มันก็เคยเข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงมาก่อน กระทั่งยังเข้ามาโลดแล่นอยู่นานปี จึงรู้จักแดนลับสมบัติระดับ 3 ดี

 

สนามรบระหว่างกลุ่มนั้น เป็นดั่งเวทีที่ลอยล่องอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าอันเต็มไปด้วยหมู่ดาว เรียกว่าเสมือนลานประลองกลางอวกาศ มองไปทางใดก็เห็นดวงนดาวสุกสกาวทอแสงระยับ งดงามตระการตานัก

 

2 ด้านของสนามรบปรากฏสะพานโซ่ที่ทอดยาวไปในความมิดของท้องฟ้าอันเต็มไปด้วยหมู่ดาว สังเกตให้ดีตรงปลายจะเห็นเป็นช่องว่างมิติอันมืดดำหนึ่ง ซึ่งกลมกลืนไปกับห้วงอวกาศโดยรอบนัก มองแตไกลๆจึงคล้ายโซ่จมหายไปในความว่างเปล่า

 

ทันใดนั้นเอง จากด้านในหลุมดำด้านหนึ่ง พลันปรากฏจวินฉงซานเดินนำคนกลุ่มที่ 6 ออกมาตามสะพานโซ่

 

หลังจากที่คนของกลุ่ม 6 ก้าวอาดๆออกมาไม่ทันไร หลุมดำปลายโซ่อีกด้าน ก็ค่อยๆปรากฏร่างคนกลุ่มที่ 3 ทยอยกันก้าวออกมา และผู้ที่เดินนำอยู่หน้าสุดก็เป็นชายหนุ่มในชุดสีม่วงแลดูหล่อเหลา ข้างกายมีสตรีในชุดขาวที่รูปโฉมงดงามพิลาศล้ำ พาลให้ผู้ที่มองชมรู้สึกลมหายใจขาดห้วงอยู่บ้าง

 

“ช่างเป็นสตรีที่เลอโฉมนัก”

 

“ให้ตายเถอะ กระทั่งโอวหยางอวี่เวยผู้นั้น…ให้มาเทียบกับนางแล้ว ยังหมองลงถนัดตา!”

 

“ดูเหมือนว่านางจะเป็นฮ่วนเอ๋อที่ร่ำลือ!”

 

“ให้ตายเถอะ ข้าหลงคิดว่าเป็นคนแอบอ้างชื่อนางมาเสียอีก เพราะพลังฝีมือของนางสมควรเข้าสู่แดนลับสมบัติระดับ 1 ได้ง่ายๆ!”

 

“โอย…จบสิ้นกันแล้ว! ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าไฉนนางต้องเลือกเข้าสู่แดนลับสมบัติระดับ 3 ด้วย…”

 

 

เมื่อคนอื่นๆของกลุ่ม 6 เห็นนว่าสตรีที่อยู่เบื้อหน้าก็คือฮ่วนเอ๋อ สีหน้าของพวกมันก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันที บางคนก็แลดูสลดซึมเซา

 

กลับกัน จวินฉงซานที่เดินนำคนของกลุ่ม 6 มานั้น เรียกว่ามองฮ่วนเอ๋อด้วยสองตาเบิกกว้างทั้งยังลุกวาวสว่างจ้า

 

กระทั่งลึกลงไปในลูกตาที่เปล่งประกายจ้า ยังเอ่อล้นไปด้วยจิตฆ่าฟันอันกระหายเลือด!