เมืองสวีหยางเป็นเมืองๆหนึ่งของ ‘แดนทักษินยุทธ์’ 1 ใน 8 ดินแดนขั้นสูงของอวี้หวงเทียน และอยู่ภายใต้การปกครองโดยตรงของสำนักอมตะก้วนชิง
‘สำนักอมตะก้วนชิง เป็นขุมกำลังระดับ 6 ซึ่งมีพลังอำนาจพอๆกับคฤหาสน์เฉวียนโยวของหลิงหลัวเทียน แต่ถ้าหากจะเทียบกันหมัดต่อหมัดแล้ว ยังนับว่าอ่อนด้อยกว่าคฤหาสน์เฉวียนโยว’
‘เพราะสำนักอมตะดังกล่าวเพียงมีเมืองใต้การปครองแค่ 2 เมืองรวมถึงเมืองสวีหยางแห่งนี้เท่านั้น…’
‘สมแล้วที่แดนทักษินยุทธ์เป็น 1 ใน 8 แดนขั้นสูงของอวี้หวงเทียน ขุมกำลังระดับ 6 แทบไม่อาจนับเป็นอะไรได้ แลดูอ่อนด้อยลงถนัดตา คล้ายกองกำลังหมู่บ้านไร้สำคัญ’
หลังจากมาถึงเมืองสวีหยางได้สองสามวัน ต้วนหลิงเทียนก็ไปตระเวนหาข้อมูลนูนนี่นั่นจนได้รับรู้อะไรเพิ่มเติมไม่น้อย
‘อวี้หวงเทียนยังมีรูปแบบคล้ายๆหลิงหลัวเทียนอยู่บ้าง…ดินแดนศูนย์กลางของหลิงหลัวเทียนเรียกว่าแดนหลิงหลัว และ 7 ภูมิภาคเบื้องบนอันเป็น 7 แดนที่สำคัญที่สุดของหลิงหลัวเทียนก็ประหนึ่งเป็นดาวล้อมเดือน ห้อมล้อมแดนหลิงหลัวเอาไว้ตรงกลาง’
‘จักรพรรดิสวรรค์ของหลิงหลัวเทียนก็อยู่ที่แดนหลิงหลัว แดนศูนย์กลางเช่นนี้มีขุมกำลังของจักรพรรดิสวรรค์รวมถึงขุมกำลังระดับ 1 ดำรงอยู่จำนวนมาก’
‘อวี้หวงเทียนแห่งนี้ก็ทำนองเดียวกัน มีดินแดนอวี้หวง เป็นจุดศูนย์กลางและมี 8 แดนขั้นสูง รวมถึงแดนทักษินยุทธ์ล้อมรอบเอาไว้ดั่งดาวล้อมเดือน’
ไม่กี่วันที่ผ่านมาต้วนหลิงเทียนไม่เพียงล่วงรู้ข้อมูลของเมืองสวีหยาง แต่ยังได้รู้ข้อมูลคร่าวๆของอวี้หวงเทียนรวมถึงแดนทักษินยุทธ์ด้วย
และกล่าวไป แดนทักษินยุทธ์แห่งนี้ จัดเป็นดินแดนที่แปลกประหลาดที่สุดในบรรดา 8 แดนขั้นสูงของอวี้หวงเทียนเลยก็ว่าได้
เพราะในบรรดา 8 แดนขั้นสูงนั้น นอกจากแดนทักษินยุทธ์แห่งนี้แล้ว อีก 7 แดนที่เหลือจะมีจักรพรรดิอมตะสมญานามเป็นจ้าวปกครองและกุมอำนาจทั้งหมดของดินแดนเอาไว้…ทว่าแดนทักษินยุทธ์แห่งนี้ กลับไร้จักรพรรดิอมตะสมญานาม!
กระทั่งในอดีต ครั้งหนึ่งเคยมีจักพรรดิอมตะสมญานามหมายจะรวมอำนาจของทั้งแดนทักษินยุทธ์ ตั้งตัวเป็นจ้าวครอบครองแดนทักษินยุทธ์เพียงผู้เดียว อนิจจาปณิธานแรงกล้ากลับตกม้าตายก่อนถึงฝั่งฝัน
นั่นเพราะในแดนทักษินยุทธ์แห่งนี้ 3 ขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดนั้น ไม่ว่าขุมกำลังไหนต่างก็ทีเด็ด และมีพลังสามารถในการสังหารจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้งสิ้น!
จักรพรรดิมอตะสมญานาม เว้นเสียแต่จะมีขุมกำลังส่วนตัวอันร้ายกาจติดตามมาช่วยลงหลักปักฐานในแดนทักษินยุทธ์แห่งนี้ หาไม่แล้วเกรงว่าคงไม่มีกำลังมากพอจะสยบปราบแดนทักษินยุทธ์และรวมอำนาจเป็นหนึ่งเดียว!
เช่นนั้นจึงกล่าวได้ว่าในบรรดาดินแดนขั้นสูงทั้ง 8 ของอวี้หวงเทียน แดนทักษินยุทธ์แห่งนี้แปลกประหลาดมาก
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีคนกล่าวกันหนาหูอีกว่า…
ไม่ว่าจะขุมกำลังใดก็ตามในบรรดา 3 ขุมกำลังระดับ 1 ที่แข็งแกร่งที่สุดของแดนทักษินยุทธ์ หากวัดกันในแง่ขุมพลังรบโดยรวมแล้ว มันมากพอจะเทียบได้กับขุมพลังรบของขุมกำลังจักรพรรดิอมตะสมญานามที่ปกครองแดนอื่นๆได้เลย! เพียงแค่ไร้จักรพรรดิอมตะสมญานามก็เท่านั้น!!
เช่นนั้นบัลลังก์อำนาจสูงสุดของแดนทักษินใต้แห่งนี้ จึงกล่าวได้คำเดียวว่า…
ยุ่งเหยิง!!
‘แดนทักษินยุทธ์ถูกขุมกำลังระดับ 1 ที่แข็งแกร่งที่สุด 3 ขุมกำลังแบ่งกันปกครอง…ขุมกำลังแรกเป็นตระกูล ขุมกำลังที่สองเป็นนิกาย ส่วนขุมกำลังสุดท้ายเป็นเหล่าสัตว์อมตะที่สร้างพันธมิตรกัน’
‘ภายใต้ขอบเขตอำนาจพวกมันก็มีขุมกำลังระดับ 1 ที่อ่อนด้อยกว่าพวกมันอยู่ใต้สายบัญชาการ…’
หลังได้รับทราบสถานการณ์ของแดนทักษินยุทธ์แล้ว ต้วนหลิงเทียนอดเดาะลิ้นไม่ได้ เพราะนี่มันยังต่างอะไรกับ 3 ก๊กเล่า?
‘ในบรรดาขุมกำลังหลักทั้ง 3 นี่…พันธมิตรสัตว์อมตะตัดทิ้งไปเลย เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่ข้าจะไปเข้าร่วมกับพวกมันได้…เช่นนั้นก็เหลือให้พิจารณาแค่ขุมกำลังรูปแบบตระกูลกับนิกายเท่านั้น’
‘ในแง่ความเป็นอิสระให้เทียบระหว่างตระกูลกับนิกาย เข้าร่วมนิกายจะเป็นการดีกว่า…’
หลังจากมาถึงอวี้หวงเทียน ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีแก่ใจว่าหากคิดจะเติบโตก้าวหน้าขึ้นให้เร็วที่สุด ก็มีแต่ต้องยกระดับตัวเองด้วยการไปเข้าร่วมกับขุมกำลังระดับสูงๆ ถึงจะมีโอกาสได้รับทรัพยากรในการบ่มเพาะมากขึ้น
หากยังมัวจมปลักอยู่ในแดนสวรรค์ใต้ เต็มที่ก็เข้าร่วมได้แค่ 10 ตระกูลใหญ่ 5 นิกายหลักเท่านั้น และในตอนนี้พวกมันก็ไม่เหลืออะไรที่ทำให้เขาสนใจอีกต่อไป เพราะสุดท้ายเมื่อจัดระดับแล้วพวกมันก็เป็นแค่ขุมกำลังระดับ 5 เท่านั้น
และในแดนทักษินยุทธ์ของอวี้หวงเทียนแห่งนี้ ขุมกำลังระดับ 1 กลับมีมากมายดั่งหมู่เมฆ เช่นนั้นต่อให้สุ่มเข้าร่วมกับขุมกำลังระดับ 1 ใด ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับเขาทั้งนั้น
‘แต่ก็นะ ขุมกำลังระดับ 1 แค่พูดว่าจะเข้าร่วมก็สามารถเข้าร่วมได้ง่ายๆรึไง…’
คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะลอบโอดครวญในใจอยู่บ้าง ‘ต้องไปหาข้อมูลเพิ่มก่อน ดูว่ามีขุมกำลังระดับ 1 ไหนจะคัดเลือกคนเข้าร่วมเร็วๆนี้บ้าง หรือไม่ก็มีวิธีไหนทำให้เข้าร่วมขุมกำลังระดับ 1 ได้บ้าง’
หลังจากนั้น ในขณะที่ฮ่วนเอ๋อถ้าไม่หาทางทะลวงขอบเขตราชาอมตะไปยังจอมราชันอมตะก็ใช้ผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุด ด้านต้วนหลิงเทียนก็ออกไปตระเวนหาข้อมูลในเมืองเพียงลำพัง
ราวๆหนึ่งเดือนต่อมา ในที่สุดเขาก็ได้ข้อมูลที่น่าสนใจมาข้อมูลหนึ่ง
‘ทุกๆพันปี แดนลับอัจฉริยะ ของแดนทักษินยุทธ์จะเปิดออก…ถึงตอนนั้นจะเปิดให้จอมราชันอมตะที่มีอายุต่ำกว่าพันปีเข้าไปแสวงหาโอกาสและแข่งขันชิงความเป็นเลิศ’
‘ในแดนลับอัจฉริยะมีสมบัติของบรรพชนยุคก่อน รวมถึงสถานที่ทดสอบจัดสร้างเอาไว้หลายแขนง ยังมีสมบัติและมรดกของยอดคนในอดีตของแดนทักษินยุทธ์ที่รอผู้มีวาสนามารับไปมากมาย อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ ไม่เว้นชุดเกราะอมตะระดับจักรพรรดิก็มี ที่สำคัญยังมีคนเคยได้เครื่องรางคุ้มกันวิญญาณระดับจักรพรรดิมาครองด้วย’
‘นอกจากนั้นยังมีผลไม้อมตะ โอสถอมตะที่ส่งเสริมการบ่มเพาะหลายอย่าง ที่ช่วยตัวตนขอบเขตจอมราชันอมตะได้’
‘ในนั้นนอกจากอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของแต่ละขุมกำลังของแดนทักษินยุทธ์จะเข้าไปแข่งขันชิงความเป็นเลิศแล้ว ยังเป็นสถานที่ให้ฉกฉวยโอกาสวาสนามากมาย…กระทั่งผู้ฝึกตนไร้สังกัดก็สามารถเข้าไปได้ และหากทำบททดสอบได้ดี หรือมีชื่อเสียงขึ้นมา ก็อาจจะเข้าตาขุมกำลังระดับแนวหน้าของแดนทักษินยุทธ์ มีโอกาสถูกทาบทาม…’
หลังจากที่ใช้เวลารวบรวมข้อมูลข่าวสารมาตลอดเดือน สิ่งที่ต้วนหลิงเทียนเห็นว่าเข้าท่ามากที่สุดก็คือการเข้าสู่แดนลับอัจฉริยะที่จะเปิดออกทุกๆรอบหนึ่งพันปีนั่นเอง
และเท่าที่เขาพบเจอมา ก็นับว่าแดนลับอัจฉริยะจะให้ผลประโยชน์แก่เขาสูงสุด
หากสามารถผ่านบดทดสอบใดสักบทในนั้น และทำอันดับ 1 ได้ล่ะก็ ท่านจะไม่ถูกเมินแน่นอน กระทั่งยังจะได้รับการทาบทามอีกด้วย!
ท้ายที่สุดแล้วแดนลับอัจฉริยะนั่น ย้อนไปหลายล้านปีก่อน มันก็คือสนามแข่งของอัจฉริยะแต่ละขุมกำลัง มาตอนนี้แม้โครงสร้าอำนาจของแดนทักษินยุทธ์จะเปลี่ยนไป แต่ถ้าใครทำผลงานได้ดีในแดนลับอัจฉริยะ ก็เป็นดั่งเครื่องบ่งชี้ว่ามีศักยภาพสูงมาก ไม่ว่าขุมกำลังใดก็อยากรับตัวไปเพาะสร้าง
‘ถึงจะมีวิธีอื่นที่ค่อนข้างมั่นคงและปลอดภัยกว่า ทว่าหากเลือกวิธีแบบนั้น ก็ไม่พ้นเป็นได้แค่ศิษย์ธรรมดาของขุมกำลังนั้นๆ หากจะให้คนเห็นคุณค่าเช่นนั้นก็จำต้องทำตัวเองให้โดดเด่น’
‘แต่สุดท้ายไม่ว่าจะเลือกหนทางไหนก็ย่อมมีอุปสรรคทั้งสิ้น…ในเมื่อใต้หล้าไม่ว่าที่ใดล้วนมีคนอิจฉาริษยา เช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องกลัวคนอิจฉาริษยา แค่ระวังปัญหาให้มากก็พอ’
‘ถ้างั้นตอนนี้เห็นทีรอเข้าร่วมแดนลับอัจฉริยะและหาทางสร้างผลงานในนั้นให้ดี น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด…และจากข้อมูลที่ได้มา ก็เหลือเวลาอีก 60 ปีเศษก่อนที่แดนลับอัจฉริยะที่ว่าจะเปิดออก’
‘ในเวลา 60 ปี ฮ่วนเอ๋อสมควรทะลวงถึงจอมราชันอมตะได้แน่นอน…แต่ข้าเกรงว่าเรื่องนี้บีบหัวใจไม่น้อย’
ในเวลาเพียงแค่ 60 ปีคิดจะทะลวงจากขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักไปยังจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิด ในสายตาผู้อื่นแล้วคงไม่ต่างอะไรจาก ฝันละเมอของตัวโง่งม
เพราะต่อให้เป็นสุดยอดอัจฉริยะท้าทายสวรรค์ของขุมกำลังระดับหนึ่งในแดนทักษินยุทธ์ ถ้าไม่มีทรัพยากรสำคัญ ก็ต้องใช้เวลาต่ำๆ 100 ปีหากคิดจะทะลวงจากราชาอมตะ 10 ทิศไปยังจอมราชันอมตะ
ลำพังแค่แต่ละขั้นของด่านพลังสูงๆก็มีความแตกต่างอันยากข้ามผ่านแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงขอบเขตที่เป็นการพัฒนาครั้งยิ่งใหญ่เลย
ตอนนี้ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะอยู่ห่างจากราชาอมตะ 10 ทิศแค่ก้าวเดียว และอาจจะสามารถทะลวงผ่านไปถึงราชาอมตะ 10 ทิศได้ทุกเมื่อ
อย่างไรก็ตามเขามีเวลาเหลือแค่ 60 ปีเท่านั้น
ถึงแม้เขาจะมีความสามารถและไพ่ตายมากมาย ที่ช่วยให้เขายกระดับพลังต่อสู้จนสามารถต่อสู้ข้ามระดับได้ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะเทียบชนชั้นสุดยอดอัจฉริยะของขุมกำลังระดับ 1 ที่มีทุกสิ่งทุกอย่างถวายประเคนมาไม่ขาด
‘พวกอัจฉริยะของขุมกำลังระดับแนวหน้าทั้งหลาย ถึงแม้พวกมันจะไม่มีกิ่งของพฤกษาเทพกำเนิดชีพเหมือนข้า แต่พวกมันก็คงได้รับผลไม้อมตะและโอสถอมตะมาสนับสนุนการบ่มเพาะไม่เคยขาด แถมยังมีทรัพยากรอีกหลายอย่างรวมถึงสถานที่เฉพาะที่ช่วยให้พวกมันบ่มเพาะพลังรวดเร็วไม่ด้อยไปกว่าพฤกษาเทพกำเนิดชีพ…’
‘ในเรื่องความเร็วของการบ่มเพาะ จะให้ไปแข่งกับพวกมันที่มีทุกสิ่งทุกอย่างมาประเคนให้คงไม่ไหวจะสู้ แต่ในเรื่องตระหนักรู้ในกฏ พวกมันไม่มีทางเทียบข้ากับฮ่วนเอ๋อได้แน่นอน…’
ผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุด นับว่าเป็นตัวช่วยอันยิ่งใหญ่ที่สุดของต้วนหลิงเทียน
ต่อให้อัจฉริยะท้าทายสวรรค์ของขุมกำลังระดับแนวหน้าของแดนทักษินยุทธ์จะมีโคตรบิดามารดาทรัพยากรบ่มเพาะมากแค่ไหน พวกมันก็ไม่อาจเทียบความเร็วในการตระหนักรู้กฏของเขาได้ แม้พวกมันจะใช้ห้องค่ายกลที่ส่งเสริมการตระหนักรู้กฏก็ตาม
‘เหลือเวลาแค่ 60 ปี…ข้าได้แต่กำหมัดกัดฟันสู้ตายแล้ว…’
ต้วนหลิงเทียนระบายลมหายใจอย่างทอดถอน
เนื่องเพราะเหลือเวลาอีกแค่ 60 ปี ต้วนหลิงเทียนจึงไม่คิดจะรั้งอยู่ในเมืองสวีหยางแห่งนี้นานนัก เช่นนั้นหลังจากฮ่วนเอ๋อตื่นจากการบ่มเพาะ เขาก็ชวนนางออกเดินทางทันที
ตอนนี้ฮ่วนเอ๋อกลับมาสวมงอบผ้าและมีผ้าปิดปากอีกครั้ง และสิ่งนี้นางก็ดีว่าต้องใส่ แม้จะไม่อยากใส่แค่ไหนก็ตาม
ที่นี่คือแดนทักษินยุทธ์แม้พลังฝีมือของทั้งคู่จะดี แต่ก็เทียบได้กับจอมราชันอมตะทั่วๆไปเท่านั้น
ในแดนทักษินยุทธ์ที่เดินไปไหนก็เจอจมราชันอมตะแบบนี้ หากไม่มีฐานะภูมิหลังหรือพลังฝีมือมากพอ ขอท่านจงอย่าห้าวเสียประเสริฐกว่า
“พี่หลิงเทียน หรือข้าเอาแก่นแท้โลหิตต้นกำเนิดให้ท่านอีก 6 หยดดีไหม?”
หลังจากที่ฮ่วนเอ๋อได้รับรู้แผนการของต้วนหลิงเทียน นางก็กล่าวเสนอกับต้วนหลิงเทียนออกมาทันที
“ไม่ได้!”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัว “แก่นแท้โลหิตต้นกำเนิดหยดที่ 10 ของเจ้าก่อนหน้านี้ก็แทบช่วยอะไรข้าไม่ได้แล้ว…ตอนนี้ถึงให้ข้าจะใช้อีก 6 หยด อย่างดีก็แค่ช่วยให้ข้าทะลวงถึงราชาอมตะ 10 ทิศและก้าวหน้าอีกเล็กน้อยเท่านั้น”
ถึงแม้แก่นแท้โลหิตต้นกำเนิดของฮ่วนเอ๋อจะดี แต่ยิ่งใช้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีประสิทธิภาพน้อยลงเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังรู้แล้วด้วยว่า
ทุกคราที่รีดเค้นแก่นแท้โลหิตต้นกำเนิดออกมา มันจะสร้างความเจ็บปวดให้ฮ่วนเอ๋อเป็นอย่างมาก ความเจ็บที่ว่าไม่ต่างอะไรจากถูกกระชากเล็บออกไปทั้ง 10 นิ้วพร้อมๆกัน!
หากเขาล่วงรู้เรื่องนี้แต่แรก และไม่ใช่เพราะฮ่วนเอ๋อลอบสกัดแก่นแท้โลหิตต้นกำเนิดออกไปแล้วโดยที่ไม่ได้บอกเขาล่วงหน้า ไม่งั้นเขาคงห้ามไม่ให้ฮ่วนเอ๋อทำอะไรแบบนี้แน่นอน
กว่าเขาจะรู้ฮ่วนเอ๋อก็ได้สกัดแก่นแท้โลหิตต้นกำเนิดมาให้เขา 10 หยดเรียบร้อยแล้ว เรียกว่าจะกลืนก็ไม่ได้ จะคายก็ไม่ออก
“ฮ่วนเอ๋อวันหลังอย่าได้พูดถึงเรื่องการสกัดแก่นแท้โลหิตต้นกำเนิดอีกรู้หรือไม่…และพี่หลิงเทียนขอสั่งห้ามไม่ให้เจ้าสกัดแก่นแท้โลหิตต้นกำเนิดออกมาเพื่อพี่หลิงเทียนอีกเด็ดขาด! ไม่งั้นต่อไปพี่หลิงเทียนจะไม่สนใจเจ้าแล้ว!!”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวกำชับกับฮ่วนเอ๋อด้วยน้ำเสียงจริงจัง
อันที่จริงเขาคิดจะพูดเรื่องนี้กับฮ่วนเอ๋อตั้งแต่วันนั้นแล้ว แต่วันนั้นฮ่วนเอ๋อได้สกัดเลือดเรียบร้อยและยังตกอยู่ในสภาพอ่อนแอ เขาจึงไม่คิดจะพูดออกไป
คราวนี้ฮ่วนเอ๋อริเริ่มมีความคิดดังกล่าวอีกครั้ง เขาจึงชิงห้ามเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ
แม้จะคำขู่ของเขาอาจจะแรงสำหรับฮ่วนเอ๋อไปบ้าง แต่เขาจำเป็นต้องทำแบบนี้ ไม่งั้นฮ่วนเอ๋อไม่วายต้องทำร้ายตัวเองอีกแน่
“ข้า…ข้าเข้าใจแล้วพี่หลิงเทียน”
ได้ยินคำขู่ของต้วนหลิงเทียนฮ่วนเอ๋อก็หน้าเสียทันที สองตายังเริ่มเอ่อคลอจนเหมือนมีหมอกสลัวปกกคลุม แลดูน่าเวทนาสงสารนัก ต้วนหลิงเทียนยังอดไม่ได้ที่จะใจอ่อนเมื่อได้เห็นนางแลดูจะร้องไห้แบบนี้
อย่างไรก็ตาม เขาได้แต่ต้องใจแข็งไว้ เรื่องนี้อ่อนข้อไม่ได้…ไม่งั้นนางได้ลอบไปสกัดเลือดมาให้เขาอีกแน่!
ต้วนหลิงเทียนพาฮ่วนเอ๋อไปเดินเล่นรอบเมืองเป็นการตามใจนางก่อน จากนั้นก็เดินทางออกจากเมืองไป
หลังเดินทางไปได้สักพัก เขาก็ตัดสินใจจะเข้าร่วมกับขุมกำลังระดับ 6 แห่งหนึ่งเป็นการชั่วคราว
ขุมกำลังระดับ 6 ที่ว่า มีจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดอยู่แค่ 2 คนเท่านั้น พลังฝีมือยังถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ ความเข้าใจในกฏยังสู้รองจ้าวหอคุมกฏของนิกายวิถีวายุอัสนีอย่างจวินฉงซานที่เขาฆ่าตายไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงไม่ได้
ต้วนหลิงเทียนเลือกจะเข้าไปท้าทายทั้งคู่โดยตรง จากนั้นก็ปล่อยให้ฮ่วนเอ๋อออกไปทุบตีสยบพวกมัน…ซึ่งผลก็คือจัดการได้อย่างราบคาบ!
ทำให้จอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดทั้ง 2 บังเกิดความกระเหี้ยนกระหือรือ อยากให้ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเข้ามาเป็นอาวุโสทรงเกียรติจากใจ
และขุมกำลังระดับ 6 แห่งนี้ก็เป็นขุมกำลังประเภทนิกาย เรียกว่า นิกายอมตะเสวี่ยหยา
เหตุผลที่ไฉนเลือกนิกายนี้ เพราะฮ่วนเอ๋อรู้สึกชอบชื่อนิกาย…
และสถานที่ตั้งนิกายเสวี่ยหยาก็อยู่ในส่วนลึกของทุ่งน้ำแข็งแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของแดนทักษินยุทธ์
ที่นี่มิหิมะขาวโพลนตลอดทั้งปี โลกทั้งใบเสมือนถูกปกคลุมไปด้วยม่านเงินขาวกระจ่าง มีฉากหลังเป็นปุยขาวเย็นหล่นฟ้าแผ่วๆ บังเกิดเป็นฉากอันงดงามน่าดูไม่เบา