เสียงสะเทือนสะท้อนก้อง เสียงร้องระงมดังขึ้นโดยรอบ

เนื่องด้วยอยู่ไกลมาก บนสนามรบที่การเข่นฆ่าสะเทือนใต้หล้านี้ แรกเริ่มจึงเหมือนไม่สะดุดตา ถึงขั้นไม่มีใครสนใจ

แต่ไม่นานเสียงสั่นสะเทือนนั้นก็มุ่งมาใกล้เมืองด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง ตลอดทางตามมาด้วยเสียงร้องระงมอย่างต่อเนื่อง

“แย่แล้ว! มีคนบุกทำลายกระบวนค่ายกล!”

“น่ากลัวเกินไปแล้ว นั่นใช่คนหรือไม่”

“ช่วยด้วย…! ช่วยด้วย…!”

เสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความหวาดผวาดังขึ้นอย่างต่อเนื่องมาแต่ไกล แต่ไม่ทันไรก็หยุดชะงักลง

ขอแค่เป็นพวกที่มีประสบการณ์อยู่บ้าง ก็จะชี้ชัดได้ว่าผู้แข็งแกร่งที่ส่งเสียงร้องเหล่านั้นน่าจะถูกฆ่าไปหมดแล้ว!

ไม่นานทัพพันธมิตรแปดดินแดนที่อยู่ด้านหลังก็เกิดความอลหม่านแตกตื่นขึ้นอีกครั้ง

เหตุการณ์นี้ถูกเหล่ามกุฎอริยะแปดดินแดนที่กำลังห้ำหั่นอยู่กับพวกเซ่าเฮ่าสังเกตเห็นเช่นกัน เพียงพริบตาพวกเขาก็หน้าเปลี่ยนสี

“เป็นไปไม่ได้ มีกระบวนผนึกอริยมรรคเก้าชั้นปิดล้อมอยู่ ต่อให้หลินสวินนั่นมีชีวิตรอดกลับมาจากสมรภูมิเซียนเหิน ก็ไม่มีทางทำลายกระบวนค่ายกลได้ในเวลาอันสั้นเช่นนี้แน่!”

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”

เพียงพริบตามกุฎอริยะแปดดินแดนพวกนี้ก็ไม่อาจไม่ผ่อนการโจมตีลงชั่วคราว แบ่งใจไปตรวจสอบที่ด้านหลัง

ขณะเดียวกันพวกเซ่าเฮ่า จ้าวจิ่งเซวียน เจ้าคางคก อาหลู่ก็ยังชะงัก

ในช่วงอันตรายที่คับขันเช่นนี้ ถึงกับมีกำลังเสริมบุกมาช่วยหรือ

“จะใช่พี่ใหญ่ไหม!?”

เจ้าคางคกตื่นเต้นจนเสียงสั่น เขา จ้าวจิ่งเซวียนและอาหลู่พลันแผ่จิตรับรู้ออกไป

พร้อมกันนี้พวกรั่วอู่ เซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉินที่กระจายอยู่ในบริเวณต่างๆ ของเมืองอารักษ์มรรคก็รับรู้ได้ถึงสถานการณ์ที่ผิดแปลก จึงเหลือบสายตามองไปเช่นกัน

ตูม!

เสียงสะเทือนฟ้าดินนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว เหมือนพายุโหมกระหน่ำที่กำลังมุ่งมาทางเมืองอารักษ์มรรคด้วยท่าทางที่ไม่อาจทัดเทียม

ยามนี้สนามรบที่กว้างใหญ่นั้นหยุดชะงัก ผู้แข็งแกร่งแปดดินแดนนับไม่ถ้วนที่กำลังถล่มเมืองอารักษ์มรรคล้วนตื่นตระหนกหวาดผวา สังเกตเห็นความผิดปกติ

เสียงหวีดร้องทุรนทุรายดังก้องฟ้า

ภายใต้การปกคลุมของจิตรับรู้นับไม่ถ้วน สิ่งที่เห็นเป็นอย่างแรกคือม่านดำที่เหมือนรัตติกาลนิรันดร์สายหนึ่ง ราวกับหมึกเขียนที่ซัดลามมาจากเวิ้งฟ้าที่ห่างออกไป บดบังแสงจากฟากฟ้า แผ่กลิ่นอายล้ำลึกและกดดันที่พาให้ผู้คนใจสั่น

ตูม!

จากนั้นในจุดที่ห่างออกไป อาณาเขตที่เดิมปกคลุมด้วยกระบวนผนึกอริยมรรคเก้าชั้นพลันเกิดเสียงแตกระเบิดสะท้านฟ้าสะเทือนดิน

เหมือนค้อนหนักฟาดใส่กระบวนผนึกอริยมรรคนั้นจนละเอียด ทลายอากาศเป็นเส้นทางหนึ่งอย่างแข็งกร้าว ทำให้บริเวณนั้นมีละอองแสงโปรยปราย ลายมรรคแตกระเบิดแผ่กระจาย

“กระบวนค่ายกลพังแล้วรึ”

มกุฎอริยะแปดดินแดนพวกนั้นไม่มีใครไม่หน้าเปลี่ยนสี

นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ กระบวนผนึกอริยมรรคตั้งเก้าชั้นถูกทำลายแล้วรึ

ต้องรู้ว่ากระบวนผนึกอริยมรรคพวกนั้น เป็นถึงกระบวนค่ายกลที่ทัพพันธมิตรแปดดินแดนทุ่มแรงกายแรงใจทั้งหมดวางเอาไว้ สามารถล้อมสังหารมกุฎอริยะได้!

แต่ตอนนี้กลับถูกทำลายเหมือนเป็นกระดาษเปื่อย!

“เป็นใครกันแน่”

พวกเซ่าเฮ่า จ้าวจิ่งเซวียนเฝ้ารอยิ่งกว่าเดิมแล้ว ใจที่เดิมตกไปอยู่ตาตุ่มพลันฮึกเหิมขึ้นมาทันที สีหน้าเผยให้เห็นความคาดหวัง

ในช่วงความเป็นตายกลับมีความหวังสายหนึ่งมาเยือนจากที่ห่างไกล ใครเล่าจะไม่ตื่นเต้น

ด้านสนามรบที่กว้างใหญ่นั้น ยามนี้ล้วนเกิดสภาวการณ์อลหม่านอย่างหนึ่ง กำลังพลของทัพพันธมิตรแปดดินแดนที่ปิดล้อมอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ของเมืองอารักษ์มรรคพวกนั้น ต่างได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่ผิดแปลกเช่นนี้ สีหน้าปรวนแปร ใจยากสงบ

เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

จากนั้น…

ในทัพใหญ่แปดดินแดนที่เดิมรักษาการณ์อยู่ด้านหลัง พลันถูกแสงโลหิตแดงก่ำสายหนึ่งแหวกออกเป็นทางกว้างมหึมา

แสงโลหิตแดงก่ำสายนั้นคือร่างไร้วิญญาณมากมายที่ถูกฆ่า แผ่ขยายลุกลามมาด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึง!

ทุกหนแห่งที่พาดผ่าน ร่างไร้วิญญาณจะกองพะเนิน น้ำเลือดสาดพรม!

ไม่มีใครต้านทานได้ ด้วยรวดเร็วรุนแรงและน่ากลัวเกินไป ต่อให้เป็นอริยะแท้ ทันทีที่เข้าใกล้ก็จะกลายเป็นซากศพในพริบตา

“คนผู้เดียวหรือ เป็นไปได้อย่างไร!?”

มีคนร้องออกมาทันที เต็มไปด้วยความยากจะเชื่อ

เวลานี้ในที่สุดทุกจิตรับรู้และทุกสายตาก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน

นั่นคือเงาร่างสูงโปร่ง เพรียวบาง อบอวลด้วยเงาแสงมืดมิดเหมือนรัตติกาลนิรันดร์ร่างหนึ่ง กำลังก้าวมาทางนี้

เมื่อนางก้าวเดิน ทุกหนแห่งที่พาดผ่านล้วนถูกฉากรัตติกาลมืดมิดบดบัง บนเวิ้งฟ้าก็มองไม่เห็นแสง ราวกับกลางวันแปรเปลี่ยนเป็นรัตติกาลมืดมิด

ศัตรูที่ขวางหน้านาง ไม่มีใครไม่กลายเป็นศพกองพะเนินใต้ฝ่าเท้า

น้ำเลือดสาดพรมรวมกันราวน้ำตก

โครงกระดูกล้นออกมาเหมือนภูเขา

นี่ก็เหมือนภาพวาดนรกที่สะเทือนใต้หล้าภาพหนึ่ง

การมาของนางนำพาความตายมาด้วย เหลือไว้เพียงภูเขาศพทะเลเลือด!

ไม่ว่าใครเห็นภาพนี้เข้าก็ล้วนหนาวสั่นไปทั้งตัว ราวตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง ไม่อาจเชื่อสายตาตัวเอง

เส้นทางตรงดิ่งเลือดชโลมสายหนึ่ง เริ่มต้นจากเงาร่างนางแล้วทอดยาวไปข้างหลัง มุ่งเข้ามาใกล้เมืองอารักษ์มรรค

กระบวนผนึกอริยมรรคเก้าชั้นก็เป็นแค่เครื่องประดับ ถูกทลายออกจากกันอย่างง่ายดาย

ต่อให้มีกระบวนค่ายกลหลายหมื่นแล้วอย่างไร

เมื่อใดที่ขวางทางก็ต้องทิ้งร่างลงไปกองกับพื้น!

“นางเป็นใคร นี่เป็นไปได้อย่างไร!?”

มกุฎอริยะแปดดินแดนคนหนึ่งตะโกนขุ่นเคือง ยังไม่กล้าเชื่อตาตัวเอง

คนผู้หนึ่งอานุภาพไม่อาจต้าน ไม่มีสิ่งใดกีดขวาง กดข่มทัพใหญ่แปดดินแดนเป็นทางโลหิตอย่างแข็งกร้าว ใครจะกล้าเชื่อ

“เป็นนางหรือ”

แต่ทันทีที่เห็นเงาร่างสูงเพรียวซึ่งอาบไล้ด้วยความมืดดั่งรัตติกาลนิรันดร์นั้น นัยน์ตากระจ่างของจ้าวจิ่งเซวียนก็เบิกกว้าง มีความรู้สึกว่าเหมือนเคยรู้จัก

“ไม่ใช่พี่ใหญ่!”

อาหลู่ตะโกน

“ไม่ใช่พี่ใหญ่ ก็ไม่ต่างอะไรกับพี่ใหญ่มาเอง!”

เจ้าคางคกยิงฟัน สีหน้าฉายแววตื่นเต้น เกือบจะร่ายระบำอยู่แล้ว แม้แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าตอนนี้เวลานี้ นางจะปรากฏตัวที่นี่

ก็เหมือนแสงสายหนึ่งแหวกผ่านหมอกหนา พาความสว่างมาให้!

‘แข็งแกร่งยิ่ง!’

เซ่าเฮ่าตกตะลึงในใจ จากสายตาของเขา พริบตาก็มองออกว่าผู้มาเยือนไม่ได้แข็งแกร่งธรรมดา!

ยามนี้มกุฎอริยะทั้งหมดของค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณต่างเบิกตากว้าง เหมือนเห็นเทพไท้จากฟากฟ้ามาเยือน!

ตูม…

ทุกหนแห่งที่เงาร่างของนางพาดผ่าน จะนำพาความมืดและความตายไปด้วย ฟ้าดินสั่นสะเทือน ซากศพของศัตรูกลายเป็นกองเลือดนองพื้น

สำหรับทัพพันธมิตรแปดดินแดน หญิงสาวปริศนาคนนี้เหมือนมัจจุราชที่มาจากขุมนรก สิ่งที่พามาด้วยมีแค่ความตาย!

กระบวนทัพของพวกเขาอลหม่านถึงที่สุด เสียงตกตะลึง หวีดร้อง ทุรนทุราย โหยหวนดังระงมไม่ขาดหู ต่อให้อยู่ห่างออกไป ผู้แข็งแกร่งแปดดินแดนนับไม่ถ้วนก็ยังรู้สึกสั่นสะท้าน หนาวเยือกในใจ

กระทั่งการเคลื่อนไหวที่เดิมทีบุกเมืองเต็มกำลัง ยามนี้ยังถูกขัดจังหวะอย่างสิ้นเชิง!

“ฆ่า!”

ในที่สุดมกุฎอริยะแปดดินแดนคนหนึ่งก็อดรนทนไม่ไหว พุ่งทะยานแหวกอากาศออกไป

ตูม!

นี่คือชายชราชุดแดงที่ดูองอาจมีสง่าราศีคนหนึ่ง ทันทีที่ออกโจมตีก็เรียกกระบี่โบราณสีเงินยวงเล่มหนึ่งออกมา ฟาดฟันผ่านอากาศ เจตกระบี่ทำให้เทพผีตกตะลึง

เห็นชัดว่าเขาก็รู้ว่าผู้มาเยือนไม่มาดี ยามลงมือจึงไม่เก็บงำแม้แต่น้อย!

เงาร่างสูงเพรียวนั้นไม่หยุดเดิน ก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องราวกับไม่รับรู้อะไร ตั้งแต่ต้นจนจบมีแต่ความนิ่งสงบและราบเรียบถึงที่สุด

พาให้คนรู้สึกว่าเหมือนไม่มีคลื่นความรู้สึก

เมื่อกระบี่นี้จ่อเข้ามาใกล้ นางก็แค่ยกแขนขวาออกมาจากแขนเสื้อสีดำนั่น เผยให้เห็นมือหยกขาวกระจ่างข้างหนึ่งที่แวววาวเหมือนหยกมันแพะ งามสมบูรณ์แทบไม่มีรอยตำหนิ

นิ้วมือแต่ละนิ้วราวกับผลงานชิ้นเอกของเทพผู้สรรสร้าง ทำให้ผู้คนได้รับรู้ถึงความงามขั้นสูงสุด

มือที่บอบบางเรียวยาวเช่นนี้ แค่ดีดผ่านอากาศเบาๆ ปราณกระบี่ที่พุ่งสังหารเข้ามานั้นก็พลันระเบิดออก ละอองแสงโปรยปราย

จากนั้นนางก็กดนิ้วลงกลางอากาศ

ตูม!

ชายชราถือกระบี่ที่ท่าทางมีสง่าราศีนั้นยังไม่ทันได้ตอบสนอง ร่างกายก็เหมือนถูกหัตถ์สวรรค์ฟาดใส่อย่างหนักหน่วง ร่างระเบิดกลางอากาศไปทั้งอย่างนั้น

กระทั่งใกล้ตายก็ยังไม่ทันได้ส่งเสียงร้องทุรนทุราย!

แต่ในสายตาของทุกคน การฆ่ามกุฎอริยะคนหนึ่งได้อย่างสบายเหมือนตบแมลงวันตัวหนึ่งเช่นนี้ กลับทำเอาผู้คนรู้สึกเหมือนถูกล้มล้างความรู้ความเข้าใจทั้งหมด จิตใจสั่นสะท้าน

น่ากลัวเกินไปแล้ว!

มกุฎอริยะแปดดินแดนพวกนั้น ยามนี้ไม่มีใครไม่ตื่นตระหนก ใจสั่นสะเทือน

เพียงพริบตาสนามรบที่กว้างใหญ่นั้นเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดขึ้นมาอย่างน่าประหลาด บรรยากาศยังเปลี่ยนเป็นกดดันจนทำให้ผู้คนเหมือนจะหายใจไม่ออก

สายตานับไม่ถ้วน จิตรับรู้เหลือคณา แทบทั้งหมดล้วนจับจ้องไปยังเงาร่างที่อาบไล้ด้วยความมืดมิดแห่งรัตติกาลนิรันดร์นั่น

และในทิศทางที่นางจะก้าวไป เงาร่างของศัตรูทุกคนแทบจะเปิดทางให้พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ราวกับหลีกทางให้เทพผี!

“เป็นนาง!” เวลานี้ในที่สุดจ้าวจิ่งเซวียนก็กล้ามั่นใจว่าผู้มาเยือนเป็นใครแล้ว

เพียงแต่ไม่เจอกันหลายปี ไม่ว่าบุคลิกหรือกลิ่นอายของอีกฝ่าย หรือแม้แต่เงาร่างก็ล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกดิน

ถึงขั้นที่ว่าพริบตาแรกที่เห็นอีกฝ่าย นางยังเกือบสงสัยว่าจำคนผิดแล้ว

“ดูเหมือนว่าตอนนี้นางคงทรงพลังกว่าพี่ใหญ่แล้ว…”

อาหลู่สติหลุด พึมพำกับตัวเอง

“ไม่ใช่แค่ตอนนี้ ก่อนหน้านี้พี่ใหญ่ก็เหมือนว่าจะไม่เคยร้ายกาจสู้นางได้”

เจ้าคางคกทอดถอนใจ

ไม่เจอกันหลายปี เด็กสาวที่เคยงดงามจนทำให้ฟ้าดินหม่นแสงคนนั้น เปลี่ยนเป็นลึกลับและน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

“สหาย เจ้าเป็นใคร ทำไมต้องขัดขวางพวกข้าด้วย”

ทันใดนั้นก็มีมกุฎอริยะคนหนึ่งเอ่ยปาก นี่คือชายชุดทองคนหนึ่งที่สายตาคมปลาบ เขาไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายที่เป็นของดินแดนรกร้างโบราณจากร่างหญิงสาวที่ยืนอยู่ในความมืดนั้น

หรือพูดได้ว่า อีกฝ่ายไม่มีป้ายคำสั่งรกร้างโบราณติดตัว!

ไม่มีคำตอบ

ร่างนางอาบไล้ด้วยรัตติกาลนิรันดร์ ก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยหยุดเดิน และไม่เคยพูดอะไรสักคำ

เงียบงัน ราบเรียบ นิ่งสงบ สันโดษตัวคนเดียว ด้านหลังเป็นทางโลหิตแดงก่ำ ภูเขาศพทะเลเลือดกลายเป็นฉากหลังของนาง

ชายชุดทองสีหน้าปรวนแปรไม่หยุด ด้วยถูกคนมองข้าม ถ้าเปลี่ยนเป็นเวลาอื่นเขาคงลงมือไปนานแล้ว

แต่ด้วยเห็นภาพนองเลือดที่น่าเหลือเชื่อต่างๆ ตรงหน้ากับตาตัวเอง จึงทำให้เขาไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม

โชคดีว่าจากที่เขาสังเกต ขอแค่ไม่ขวางทางนาง นางก็จะไม่ลงมือ

‘ทุกคนหลีกทางชั่วคราว ให้นางผ่านไป!’

ชายชุดทองสื่อจิตบอกคนอื่นอย่างรวดเร็ว

มกุฎอริยะพวกนั้นที่ปิดล้อมอยู่หน้าเมืองก็สังเกตเห็นว่าขอแค่ไม่ขวางทาง หญิงสาวที่อาบไล้ด้วยรัตติกาลนิรันดร์คนนั้น อย่าว่าแต่ลงมือกับพวกเขา ตั้งแต่ต้นจนจบคงคร้านจะเหลือบแลพวกเขาด้วยซ้ำ

มองข้ามทุกอย่างโดยสิ้นเชิง!

“พี่เซ่าเฮ่า หลบเร็ว เปิดทางให้นาง!”

ทันใดนั้นเจ้าคางคกก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย รับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง รีบจับแขนเสื้อของเซ่าเฮ่าพุ่งหลบไปอีกด้าน

เซ่าเฮ่ามึนงง แปลกใจสงสัยอยู่บ้างแล้ว หญิงสาวปริศนาคนนี้ไม่ได้มาช่วยพวกเขาหรือ

พร้อมกันนี้หญิงสาวที่อาบไล้ด้วยเงาแสงของความมืดแห่งรัตติกาลนิรันดร์ก็ยืนอยู่บนกำแพงเมือง ชะงักฝีเท้าไปเล็กน้อย

บรรยากาศในยามนี้เงียบสงัดถึงขีดสุด เมืองและสนามรบที่กว้างใหญ่นั้นเงียบสนิท

กลางฟ้าดิน เงาร่างของนางกลายเป็นศูนย์รวมที่ใครๆ ต่างจับจ้อง

“ที่นี่มีกลิ่นอายของเขาเหลืออยู่ แต่เขาล่ะ…”

เสียงพึมพำหนึ่งดังขึ้น ใสสะอาด ไพเราะราวกับเสียงจากธรรมชาติที่เสนาะหู สะท้อนก้องอยู่บนกำแพงเมืองที่เต็มไปด้วยเขม่าควันนี้

…………………..