หลินสวินกลับมาแล้ว!

พริบตานี้เมืองอารักษ์มรรคที่กว้างใหญ่นั้น เสียงที่เดิมทีอึกทึกครึกครื้นพลันหายไป เปลี่ยนเป็นเงียบสงัดขึ้นมา

สายตานับไม่ถ้วนพากันมองไปบนเวิ้งฟ้าที่ห่างออกไป ที่นั่นเงาร่างของหลินสวินยืนสันโดษราวกับเทพเซียน

คนผู้นี้เคยก่อเรื่องใหญ่ที่โลกมารโลหิตด้วยตัวคนเดียว ล้อมเมืองแห่งหนึ่งเพียงลำพัง

เคยใช้พลังของตัวเองสร้างเมืองอารักษ์มรรคขึ้นมาใหม่ กำจัดทัพพันธมิตรเจ็ดดินแดนระหว่างคุยเล่น

และเคยเอาชนะมกุฎอริยะนับร้อยที่ชายฝั่งทะเลผาดำ ซัดบุคคลขอบเขตมกุฎทั้งสามอย่างพวกเซวี่ยชิงอีจนแพ้ยับเยิน สร้างโอกาสเข้าไปในแดนลับสนามแม่เหล็กให้บุคคลขอบเขตมกุฎกลุ่มหนึ่งของดินแดนรกร้างโบราณ

สองปีมานี้ เรื่องที่เกี่ยวกับเขาแพร่กระจายไปทั่วสมรภูมิเก้าดินแดนนานแล้ว เหมือนดวงตะวันกลางฟ้า โชติช่วงชัชวาลดั่งตำนาน

ยามนี้เขารอดชีวิตกลับมาจากสมรภูมิเซียนเหินแล้ว!

“กลับมาก็ดี กลับมาก็ดีแล้ว…”

เวลานี้ใจที่เคว้งคว้างของเซ่าเฮ่า รั่วอู่และมกุฎอริยะทั้งหมดต่างกลับมาสมบูรณ์ รู้สึกผ่อนคลายหาใดเปรียบ

ตอนแรกพวกเขาไม่มีใครไม่กังวล หลินสวินมุ่งหน้าไปสมรภูมิเซียนเหิน เป็นไปได้สูงว่าจะถูกมกุฎอริยะมากมายที่มาจากค่ายทัพแปดดินแดนร่วมมือกันกำราบ ถึงขั้นเป็นไปได้ว่าอาจประสบเคราะห์ถึงชีวิต

แต่ยังดี…

ที่เขากลับมาแล้ว! ทั้งยังอยู่รอดปลอดภัย!

แต่ยามพวกเซ่าเฮ่าคิดจะเข้าไปต้อนรับก็กลับหยุดฝีเท้า สีหน้าเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด

ด้วยตอนนี้ยังไม่ถึงคราวพวกเขาออกโรง

เมื่อหลินสวินกลับมาเห็นเมืองอารักษ์มรรคสมบูรณ์ไร้ความเสียหาย ในใจก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกทันที

จากไปสิบวันเมืองยังอยู่ ก็หมายความว่าค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณปลอดภัย นี่คือข่าวดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย!

แต่ไม่นานแววตาของหลินสวินก็หดรัด ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย จ้องมองร่างงามที่อยู่บนกำแพงเมืองนั้นเขม็ง แทบไม่กล้าเชื่อตาตัวเอง

ซย่าจื้อ?

หลินสวินพลันใจสั่นขึ้นมา

ปีนั้นก่อนที่แดนมกุฎจะมาเยือน ซย่าจื้อลอยขึ้นไปบนอากาศเหนือทะเลหมากดารา มุ่งหน้าเข้าไปในบานประตูมืดมิดที่เหมือนรัตติกาลนิรันดร์บานหนึ่งแล้วหายไป

หลังจากนั้นหลินสวินก็ผ่านการเข่นฆ่าโรมรันในแดนมกุฎสิบปี จากนั้นก็หวนกลับสู่โลกชั้นล่าง ฝากร่องรอยไว้ทั่วอาณาเขตของจักรวรรดิ

ต่อมาเขายังไปสมรภูมิกระหายเลือด เข้าไปในป่าต้นหม่อน…

หลังจากกลับมาดินแดนรกร้างโบราณ ยังตั้งเป้าหมายการเดินทางไปที่สมรภูมิเก้าดินแดนอีก…

จนถึงตอนนี้เหตุการณ์ก็ผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว!

สิบกว่าปีแล้ว หลินสวินมีหรือจะไม่เป็นห่วงซย่าจื้อที่ไม่มีข่าวคราว

เพียงแต่เขากลับคิดไม่ถึงเลยว่า ทันทีที่ตนกลับมาจากสมรภูมิเซียนเหินจะได้เห็นเงาร่างนั้นที่คุ้นเคยที่สุดในความทรงจำ ปรากฏอยู่บนกำแพงเมืองสูงใหญ่นั้นที่ตนสร้างมากับมือ!

นี่คือเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งโดยไม่ต้องสงสัย ทำให้เขาดีใจยิ่งกว่าชัยชนะครั้งใหญ่

บนโลกนี้ไม่มีอะไรทำให้ผู้คนยินดีไปมากกว่าความรู้สึกของ ‘การได้เจอกันอีกหลังจากไม่ได้พบกันมานาน’!

แต่เมื่อหลินสวินคิดจะก้าวเข้าไปใกล้ก็พลันพบว่า บรรยากาศเหมือนมีบางอย่างผิดแปลกไป…

บนกำแพงเมืองที่กว้างใหญ่นั้น นอกจากซย่าจื้อแล้วยังมีจ้าวจิ่งเซวียนยืนอยู่ นอกจากนี้ก็ไม่มีคนอื่นอยู่ตรงนั้นด้วย

นี่เห็นได้ว่าไม่ชอบมาพากลแล้ว

เขากลับมาครั้งนี้ ด้วยพลังรับรู้ของพวกเจ้าคางคก อาหลู่ เซ่าเฮ่า รั่วอู่ คงจะรับรู้ได้ทันที ทำไมถึงตอนนี้แล้วยังไม่ปรากฏตัว

‘พี่ใหญ่ แม่นางซย่าจื้อและแม่นางจิ่งเซวียนกำลังรอท่านอยู่ ท่านต้องค่อยเป็นค่อยไปนะ!’

ทันใดนั้นเสียงสื่อจิตของเจ้าคางคกก็ดังก้องข้างหูหลินสวิน ทำให้หลินสวินลอบสูดหายใจเย็นเยียบอย่างอดไม่อยู่ ขนพองสยองเกล้า

ตอนนี้เขารู้แล้วว่าปัญหาอยู่ที่ไหน!

ปีนั้นซย่าจื้อเคยบอกกับปากตัวเองว่าหากเขาคิดจะแต่งภรรยา จำเป็นต้องผ่านด่านนางไปก่อน…

‘คงไม่ใช่ว่าซย่าจื้อกับจ้าวจิ่งเซวียนเกิดความขัดแย้งกันไปแล้วนะ’

ต่อให้ตอนนี้หลินสวินอยู่ในระดับมกุฎอริยะแล้ว ใจหนักแน่นดั่งหินผา เจอคลื่นใหญ่ลมแรงมาจนชิน แต่ยามนี้ก็ยังอดลนลานไม่ได้

แต่สีหน้าของเขากลับไม่เผยความผิดแปลกใดๆ ยิ้มก้าวไปยังกำแพงเมือง

เวลานี้เจ้าคางคกและอาหลู่ที่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ รวมถึงพวกเซ่าเฮ่า เซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉินต่างเบิกตากว้าง แอบวิตกกังวลแทนหลินสวิน

“หลินสวิน เจ้ากลับมาแล้ว!”

เหนือความคาดหมายทุกคน จ้าวจิ่งเซวียนเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน รอยยิ้มกระจ่างงามพิสุทธิ์ ริมฝีปากแดงฟันเป็นระเบียบ ดูเจิดจรัสส่องประกาย หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความยินดีอย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย

ไม่รอหลินสวินเอ่ยปาก จ้าวจิ่งเซวียนก็เหลือบสายตาไปยังซย่าจื้อแล้วกล่าวอย่างใจกว้าง “เจ้าดู ซย่าจื้อก็มาแล้ว เชื่อว่าเจ้าต้องคาดไม่ถึงและประหลาดใจมากแน่”

หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ ตามจิตใต้สำนึก ไม่นานในใจก็ลอบอุทานว่าแย่แน่ แต่เมื่อเขาสังเกตโดยละเอียด กลับไม่พบว่าจ้าวจิ่งเซวียนจะไม่พอใจอะไรจึงค่อยสงบลงได้บ้าง

ยามนี้จ้าวจิ่งเซวียนยิ้มกล่าว “ตอนนี้เห็นเจ้ากลับมาข้าก็วางใจแล้ว พวกเจ้าคุยกันเถอะ ไม่เจอกันหลายปี เชื่อว่าพวกเจ้าต้องมีเรื่องพูดคุยกันมาก ข้าจะกลับไปพักสักหน่อยก่อน รอยามค่ำค่อยไปเรียกสหายพวกนั้นมาเลี้ยงต้อนรับเจ้าด้วยกัน”

นางพูดพลางส่งสายตาให้กำลังใจไปทางหลินสวิน จากนั้นก็หันหลังจากไป

ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่พูดเยิ่นเย้อแม้แต่น้อย เมื่อกล่าวจบอย่างสวยงามแล้วก็หันหลังจากไปอย่างงามสง่า กิริยาและท่าทางนั้นทำให้พวกเจ้าคางคกและอาหลู่ที่แอบอยู่อดประหลาดใจไม่ได้ เกิดความเคารพนับถือขึ้นมาบ้าง

แม่นางจิ่งเซวียน ฝีมือร้ายกาจจริงๆ!

ไม่ทำตัวไร้เหตุผล ไม่ขันแข่งประลอง กลับเป็นฝ่ายถอยออกมาหนึ่งก้าว ทำให้หลินสวินหลีกเลี่ยงฉากน่าอักอ่วนไปได้ ทั้งยังรักษาศักดิ์ศรีของตัวเองไว้ได้อีก ลูกล่อลูกชนฝึกมาจนชำนาญ งดงามเป็นอย่างยิ่ง

แม้แต่รั่วอู่ที่เป็นผู้หญิงยังอดชื่นชมไม่ได้ แม่นางจ้าวคนนี้น้ำใจงามจริงๆ ในสถานการณ์เปราะบางที่พอจะทำให้ชายใดต่างปวดหัว กลับถูกนางคลี่คลายด้วยคำพูดไม่กี่คำ

เหมือนลมใบไม้ผลิเปลี่ยนเป็นสายฝน ตกลงมายามจำเป็น

ในใจหลินสวินแทบอยากจะมอบอ้อมกอดใหญ่ๆ ให้จ้าวจิ่งเซวียนจริงๆ เรื่องลับส่วนตัวเช่นนี้ถูกสายตาของผู้คนจับจ้อง ทันทีที่ถกเถียงกันขึ้นมา เช่นนั้นคงเป็นตัวตลกกันได้ง่ายๆ

“ดูเหมือนเจ้าจะดีใจมาก”

ซย่าจื้อพลันกล่าว เสียงใสสะอาดดุจเสียงจากธรรมชาติดังขึ้น

หลินสวินชะงัก ยิ้มกล่าวอย่างอดไม่ได้ “เห็นเจ้าปรากฏตัว ข้าจะไม่ดีใจได้อย่างไร”

ขณะกล่าวเขามาถึงกำแพงเมือง พริบตาก็ดูออกว่าไม่เจอกันสิบกว่าปี ซย่าจื้อไม่ใช่เด็กสาวเยาว์วัยเหมือนตอนนั้นแล้ว

เงาร่างนางสูงเพรียว เอวเล็กบางเหมือนต้นหลิว ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางโดดเด่น เกือบจะสูงเท่าตนแล้ว

“แต่ข้าไม่ดีใจอยู่บ้าง”

ซย่าจื้อกล่าวราบเรียบหันกลับมา นัยน์ตากระจ่างเป็นประกายเหมือนดวงดาว จ้องมองหลินสวินกล่าวจริงจัง “นอกจากนางแล้ว หลายปีมานี้เจ้ายังมีผู้หญิงอีกกี่คน”

หลินสวินเกือบเหงื่อแตกพลั่ก กระแอมกล่าว “ซย่าจื้อ กว่าพวกเราจะได้พบกันนั้นไม่ง่าย เวลานี้ไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้ดีไหม”

ซย่าจื้อพยักหน้ากล่าว “ได้ ข้าไม่เคยปฏิเสธคำขอของเจ้าอยู่แล้ว เจ้าเองก็เคยรับปากข้า ว่ายามจะแต่งภรรยาจะรอผ่านความเห็นของข้าก่อน”

หลินสวินกล่าว “แน่นอนว่าข้าจำเรื่องนี้ได้”

พูดถึงตรงนี้หลินสวินพลันจนปัญญาอย่างอดไม่ได้ ยกมือคิดจะลูบหัวของซย่าจื้อตามจิตใต้สำนึก นี่คือความเคยชินที่บ่มเพาะมาหลายปี

แต่ตอนนี้กลับลังเลอยู่บ้างแล้ว เขาชะงักมืออยู่กลางอากาศ

ซย่าจื้อกลับยื่นมือออกไปข้างหนึ่ง จับมือของเขาวางลงที่ศีรษะของตนอย่างเป็นธรรมชาติกล่าว “ใช่ว่าข้าไม่ยอมให้เจ้าแต่งภรรยา เจ้าอยากจะแต่งกี่คนข้าไม่สนใจ แต่ข้ากังวล… ว่าจะค่อยๆ กลายเป็นส่วนเกิน”

เสียงใสกระจ่างเผยความหดหู่เสี้ยวหนึ่งอย่างยากจะได้เห็น

นี่ทำให้ในใจหลินสวินเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก กอดซย่าจื้อไว้ในอ้อมแขน สูดหายใจลึกกล่าว “ไม่มีทาง ไม่มีทางมีวันนั้นแน่”

ซย่าจื้อตัวแข็งทื่อเล็กน้อย จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นผ่อนคลายและอ่อนโยน แนบหน้าผากมนลงบนไหล่ของหลินสวินแล้วกล่าวพึมพำ “ตั้งแต่ข้าตื่นขึ้นมา โลกของข้าก็มืดไปหมด กระทั่งได้เจอเจ้า หลินสวิน เจ้าอย่าจากข้าไปนะ”

หลินสวินกระชับอ้อมกอดแน่นยิ่งกว่าเดิม

ปีนั้นตอนอยู่ที่หมู่บ้านเฟยอวิ๋น ซย่าจื้อที่กำลังหลับฝันเคยกล่าวประโยคนี้ออกมาอย่างแผ่วเบา เพียงแต่วันนี้เขาถึงได้พบว่า ที่แท้ในใจของซย่าจื้อ ตนเองคือคนนั้นที่ไม่มีสิ่งใดเข้ามาแทนได้

คืนวันนั้นงานเลี้ยงเปิดม่านในเรือนใหญ่ที่หลินสวินอยู่

จ้าวจิ่งเซวียนเหมือนนายหญิงคนหนึ่งซึ่งไร้ที่ติ จัดเตรียมทุกรายละเอียดของงานเลี้ยงได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

ทั้งเรือนเต็มไปด้วยแขกผู้มีเกียรติ บรรยากาศสังสรรค์ครื้นเครง เสียงหัวเราะเริงร่ายินดี กลายเป็นภาพงดงามในรัตติกาลนี้

และคืนนี้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสมรภูมิเซียนเหิน ล้วนถูกเจ้านกดำเล่าออกมาทีละเรื่องจนน้ำลายแตกฟอง ชักนำมาซึ่งเสียงโห่ร้องยินดีดังสนั่นไม่รู้เท่าไร

ชีวิตคนเรายามยินดีควรรื่นเริงให้เต็มที่ อย่าให้จอกทองว่างเปล่าคู่แสงจันทร์

ในสมรภูมิเซียนเหิน หลินสวินสังหารยอดบุคคลแปดดินแดนเกือบทั้งหมดจนได้ชัยชนะใหญ่กลับมา กลายเป็นอันดับหนึ่งในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนอย่างสมชื่อคู่ควร

หน้าเมืองอารักษ์มรรค ทัพใหญ่แปดดินแดนพ่ายแพ้สลัดขนหนีกลับ ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณพลิกสถานการณ์กลับมาได้

การต่อสู้ทั้งสองทำให้สถานการณ์ของสมรภูมิเก้าดินแดนเปลี่ยนไปโดยปริยาย

ค่ายทัพแปดดินแดนที่สูญเสียกำลังพลชั้นยอดมากมาย ทั้งล้มตายกันเป็นเบือ นับจากนี้ไปก็ไม่มีทางคุกคามค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณได้อีก!

เมื่องานเลี้ยงสิ้นสุด หลินสวินตัดสินใจได้อย่างหนึ่ง ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณจะเป็นฝ่ายออกโจมตี ถ้าค่ายทัพแปดดินแดนไม่แตกพ่าย สาบานว่าจะไม่เลิกรา!

รัตติกาลดุจสีหมึก หลังแขกเหรื่อจากไป ในเรือนที่กว้างใหญ่นั้นเหลือเพียงหลินสวิน ซย่าจื้อ จ้าวจิ่งเซวียนสามคน

เจ้าคางคก อาหลู่พาเสี่ยวอิ๋นและเสี่ยวเทียนจากไปอย่างรู้จักกาลเทศะ

เจ้านกดำเป็นตายก็ไม่ยอมจากไป บอกว่าจะหารือกับหลินสวินเรื่องแบ่งสรรปันส่วนทรัพย์หลังศึก แต่กลับถูกพวกเจ้าคางคกลากตัวไปทั้งอย่างนั้น ไม่ว่าจะร้องจนคอแตกอย่างไรล้วนไม่เป็นผล

“เจ้านกขี้ขโมยนี่ โลภมากเกินไปแล้ว”

หลินสวินอดหัวเราะไม่ได้

เวลานี้ซย่าจื้ออิ่มหนำสำราญ หลับไปอย่างสงบเหมือนที่ผ่านมา แน่นอนว่านางยังยึดเตียงของหลินสวินเหมือนหลายปีก่อนอย่างเป็นธรรมชาติ

“จิ่งเซวียน วันนี้เจ้าไม่โกรธใช่ไหม” หลินสวินเหลือบมองจ้าวจิ่งเซวียน

ทั้งสองคนนั่งพิงไหล่อยู่บนบันไดหน้าชายคา แสงโคมพลิ้วไหว สาดแสงพร่างพร้อยวูบไหวไม่แน่นอน

จ้าวจิ่งเซวียนแนบหน้าผากมนพิงบ่าของหลินสวินอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาคู่งามทอดมองนภายามค่ำที่ห่างออกไป กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน

“วางใจเถอะ ข้าจะไปโกรธซย่าจื้อได้อย่างไร บางทีพลังต่อสู้ของนางอาจแข็งแกร่งหาใดเปรียบ แต่ข้ากลับรู้สึกว่านางเข้ากับโลกนี้ไม่ได้ มีความโดดเดี่ยวอย่างบอกไม่ถูก เจ้าเป็นคนเดียวที่นางใส่ใจ ข้ากลับดีใจเป็นอย่างยิ่ง อย่างน้อยนางก็ไม่ต้องโดดเดี่ยวอีกแล้ว”

ในรัตติกาลที่ห่างออกไปมีเสียงอึกทึกครึกครื้นดังขึ้นเป็นระลอก เหล่าผู้ฝึกปราณในเมืองยังคงร่วมเฉลิมฉลอง

ภายในห้อง ซย่าจื้อหลับอย่างสบายใจ

ข้างกายคือยอดพธูที่มีจิตใจงามและอ่อนโยน

แค่นั่ง ฟัง มองและรับรู้เงียบๆ มุมปากของหลินสวินก็ค่อยๆ ระบายยิ้มอย่างไร้สุ้มเสียง

เขาไม่ได้ดีใจเช่นนี้มานานมากแล้ว ความรู้สึกยินดีที่นิ่งสงบและเรียบง่ายนั้น เหมือนความอบอุ่นที่เข้ามาเติมเต็มจิตใจให้อิ่มเอิบ

ภาพนี้เหตุการณ์นี้ ตอนนี้เวลานี้ หลินสวินไม่มีทางลืมชั่วชีวิต

………………………