ตอนที่ 1691: การประชุมของตระกูลลู่

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 1691: การประชุมของตระกูลลู่

หลังจากที่กินเหรียญผลึกระดับต่ำเข้าไปหลายหมื่นเหรียญ สัตว์อสูรกลืนสวรรค์เจ็ดสีก็ได้มองไปที่เจี้ยนเฉิน ราวกับว่ามันยังกินไม่อิ่ม

เจี้ยนเฉินใช้นิ้วดีดไปที่หัวสัตว์อสูรกลืนสวรรค์เจ็ดสีก่อนจะพูดขึ้นมา “เจ้าทำตัวไม่ดีเลย เจ้าตัวน้อย เจ้าไม่กลัวว่าเจ้าจะกินจนตัวแตกรึไง ? ”

สัตว์อสูรกลืนสวรรค์เจ็ดสีเอาตัวมาถูกับแก้มเจี้ยนเฉินและมองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยสายตาอ้อนวอน มันอยากกินเหรียญผลึกมากกว่านี้

” เจี้ยนเฉิน หากข้าคิดไม่ผิด มันน่าจะเป็นสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ สัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ทุกตัวจะได้รับพรจากสวรรค์และมีพรสวรรค์ที่น่ากลัว ทั้งการเติบโตและพลังนั้นน่าตะลึง เจ้านิยามมันได้ว่าตัวตนแห่งสวรรค์ได้ด้วยซ้ำ มีแค่ตระกูลและสมาคมใหญ่ที่อยู่ระดับการบ่มเพาะเดียวกันที่จะรับมือกับพวกมันได้ มีหลายตระกูลยิ่งใหญ่ถึงกับล่มสลายไป หากเจ้าเลี้ยงดูมันดี ๆ แล้ว สัตว์อสูรตัวนี้จะกลายเป็นผู้ช่วยที่ดีสำหรับเจ้าในอนาคต” เสียงของ นางฟ้าเฮายู่ดังขึ้น

“น่าเสียดายที่สัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่คิดที่จะติดตามข้า ไม่งั้นแล้วข้าก็จะเลี้ยงดูมันอย่างดี” เจี้ยนเฉินยิ้มออกมา ในเวลาเดียวกันเขาก็มองไปที่กล่องผลึก จนตอนนี้เขาก็ยังสงสัยในใจและสับสนว่าทำไมสัตว์อสูรกลืนสวรรค์เจ็ดสีถึงได้ติดตามไคยะด้วยความต้องการของตัวเองและมันถึงกับยังอยู่ข้างกายนางโดยไม่ห่างเลยแม้แต่ก้าวเดียวเพื่อคอยปกป้องตอนที่นางไม่ได้สติ

แม้ว่าพยัคฆ์ปีกเทวะจะเป็นสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่ติดตามเจี้ยนเฉิน แต่สถานการณ์มันต่างกันโดยสิ้นเชิง ย้อนกลับไปตอนนั้นรัมกุยเนสได้ยกพยัคฆ์ปีกเทวะให้กับเขามาก่อนที่มันจะลืมตาด้วยซ้ำ เขาเลี้ยงดูมันมาด้วยความลำบากมากมาย มันไม่เกินไปที่จะบอกว่าเขาคนเดียวนี่แหละที่เลี้ยงดูพยัคฆ์ปีกเทวะ ดังนั้นสายใยระหว่างทั้งสองจึงย่อมลึกซึ้งเป็นธรรมดา แต่เจี้ยนเฉินไม่เชื่อว่าไคยะและสัตว์อสูรกลืนสวรรค์เจ็ดสีจะผ่านความยากลำบากแบบนั้นมาในอดีต

” คนเราโชคดีที่ได้พบกับของที่เป็นของพวกเขาเอง บางทีนี่อาจจะเป็นวาสนาของไคยะ” เจี้ยนเฉินคิด นี่คือทางเดียวที่เขาจะอธิบายเรื่องนี้ได้

“เจ้าต้องยึดเหมืองผลึกระดับสูง ข้าต้องการพลังงานดั้งเดิมเพื่อสร้างร่างใหม่ เมื่อข้ามีร่างที่สมบูรณ์แล้ว ข้าก็สามารถช่วยเจ้าจัดการปัญหาบางอย่างได้” นางฟ้าเฮายู่พูดขึ้นมา จำนวนผลึกที่นางต้องการเพื่อสร้างร่างที่สมบูรณ์นั้นมหาศาล เจี้ยนเฉินได้เหรียญผลึกระดับต่ำมาเป็นล้านชิ้น แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอ

“ข้าไม่คิดจะยอมแพ้เรื่องเหมืองหรอกเพราะข้าเองก็ต้องการเหรียญผลึกระดับสูงเพื่อใช้ในการบ่มเพาะเช่นกัน” เจี้ยนเฉินพูดขึ้น เขาโยนเหรียญผลึกระดับต่ำกว่าสิบชิ้นให้กับสัตว์อสูรกลืนสวรรค์เจ็ดสีก่อนจะออกจากโถงศักดิ์สิทธิ์จันทร์แจ่ม

หลังจากที่กินเหรียญผลึกระดับต่ำไปกว่าสองหมื่นชิ้น สัตว์อสูรกลืนสวรรค์เจ็ดสีจึงได้แสดงท่าทีพอใจออกมา มันโน้มตัวเข้าหากล่องผลึกและเริ่มดูดซับพลังดั้งเดิมภายในผลึกพร้อมกับร่างที่ขยายใหญ่ขึ้น มันดูดซับผลึกอย่างรวดเร็วจนทำให้ทุกคนในโถงศักดิ์สิทธิ์จันทร์แจ่มต้องตะลึง

เจี้ยนเฉินได้กลับไปที่ห้องโถงที่เจ็ดของตระกูลโม่ เขาเข้าไปเก็บตัวในอีกห้อง ตอนนั้นเขาพบว่าเหรียญผลึกนั้นไม่เพียงพอที่จะพัฒนาร่างบรรพกาลของเขา หากเขาไม่อาจจะทะลวงผ่านได้ งั้นความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่อาจจะเพิ่มขึ้นได้แม้ว่าเขาจะดูดซับเหรียญผลึกทั้งหมดที่มีก็ตาม อย่างมากมันก็แค่ทำให้เม็ดพลังบรรพกาลใหญ่ขึ้นมาเพียงเล็กน้อย

หากเป็นเช่นนั้นแล้วเขาอาจจะต้องยกเหรียญผลึกทั้งหมดให้กับเฉินเจี้ยน ด้วยวิธีนั้น ความแข็งแกร่งที่พวกเขามีก็จะเพิ่มได้มากที่สุด

เจี้ยนเฉินนั่งอยู่ที่พื้นโดยมีเหรียญผลึกระดับต่ำนับหมื่นวางอยู่ข้างกาย

“มันมีรอยแตกที่เม็ดพลังบรรพกาลและเพราะรอยแตกนี้ ข้าจึงใช้พลังของข้าได้เพียง 8 ใน 10 แต่การปิดรอยแตกนี้ไม่ใช่เรื่องยาก ข้าแค่ต้องการพลังงานที่มาพอเพื่อปิดมันและทำให้มันสมบูรณ์อีกครั้ง” เจี้ยนเฉินคิด เขาหยิบเอาเหรียญผลึกมากำมือหนึ่งและเริ่มดูดซับพลังงานดั้งเดิมในเหรียญผลึกเพื่อซ่อมแซมเม็ดพลังบรรพกาล ในอดีตนั้นแม้ว่าจะไม่มีเหรียญผลึก เขาต้องใช้เวลาที่ยาวนานเพื่อซ่อมแซมเม็ดพลังบรรพกาลด้วยการดูดซับพลังดั้งเดิมจากรอบตัว ผลก็คือเขามักจะมองข้ามเรื่องนี้ไปก่อน หลังจากที่ได้เหรียญผลึกมามากพอจากเหมืองตระกูลลู่ เขาถึงจะใช้โอกาสนั้นซ่อมแซมเม็ดพลังบรรพกาลของเขา

ตอนที่เจี้ยนเฉินยุ่งอยู่กับเม็ดพลังบรรพกาลของตนนั้น ผู้อาวุโสตระกูลลู่ที่ได้ออกไปฆ่าคนที่หนีไปนั้นได้กลับมายังตระกูล ตอนนั้นหัวหน้าตระกูลและผู้อาวุโสทั้งแปดได้มารวมตัวกันพูดคุยกันอยู่ในห้องโถง พวกเขาต่างก็พากันเคร่งเครียดและถึงกับใช้ค่ายกลห่อหุ้มห้องเอาไว้ พวกเขาใช้วิธีนี้เพื่อกันไม่ให้ใครแอบฟังสิ่งที่พวกเขาพูดคุยกันอยู่ พวกเขาพากันระวังตัวกันอย่างมาก

“หัวหน้าตระกูล ตามจำนวนแล้ว คนงานในเหมืองและยามที่หนีไปนั้นโดนฆ่าไปแล้ว นอกจากคนงานในเหมืองที่อาจจะโดนขั้นเทพพาตัวไปนั้น แม้แต่ยามที่ยังคงภักดีต่อเราก็ยังโดนกำจัด” ผู้อาวุโสบอกกับหัวหน้าตระกูล

หัวหน้าตระกูลนั่งอยู่ที่ปลายโต๊ะแสดงสีหน้ากังวลออกมา เขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ “การปรากฏตัวของเหรียญผลึกระดับสูงในภูเขาเมฆดำนี้อาจจะคู่ควรกับการเฉลิมฉลอง มันมีความหมายต่อตระกูลลู่อย่างมาก ข้าไม่คิดว่ามันจะเกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ในเวลาสำคัญ เฮ้อ ตอนนี้สิ่งที่ข้ากังวลมากที่สุดคือเรื่องว่าจะมีสายลับที่มาจากองค์กรอื่นในหมู่ยามและสายลับเหล่านั้นได้แพร่งพรายข่าวเรื่องเหรียญผลึกระดับสูงนี้ก่อนที่เราจะควบคุมสถานการณ์ได้ หากเป็นเช่นนั้นแล้วเราก็ไม่อาจจะรักษาเหมืองได้อีกต่อไป ข้าไม่ได้กังวลว่าขั้นเทพจะแพร่งพรายข่าวนี้ออกไป เพราะนั่นก็ไม่ได้ส่งผลดีต่อเขาหากเขาทำเช่นนั้น”

“หัวหน้าตระกูล หากเราพบตัวตนของจอมยุทธลึกลับผู้นั้นล่ะ ? ” ผู้อาวุโสคนหนึ่งถามขึ้นมา

หัวหน้าตระกูลส่ายหน้า “เรามีข้อมูลในตัวตนของจอมยุทธลึกลับผู้นั้นอย่างจำกัด นอกจากความจริงที่ว่าเขาเข้าใจกฎแห่งกระบี่แล้ว มีขั้นเทพเพียงคนเดียวในเขตเราที่เข้าใจกฎแห่งกระบี่ซึ่งนั่นคือคนที่มาจากนิกายจุลกระบี่ แต่ตอนที่ขั้นเทพผู้นี้ได้โจมตีเหมืองของเรานั้น ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหิมะ แน่นอนว่าเราไม่อาจจะมองข้ามความจริงที่ว่านิกายจุลกระบี่อาจจะใช้วิธีบางอย่างเพื่อทำให้เราเข้าใจผิด”

“ว่ากันว่าตอนที่ชายลึกลับนี้จากไป เขาบอกว่าตระกูลลู่ของเรานั้นคงต้องพบกับจุดจบ ฮึ่ม แม้ว่าภูเขาเมฆดำนั้นจะเป็นเหมืองเหรียญผลึกระดับสูงแต่ข้าไม่คิดว่าจะมีตระกูลไหนที่จะสร้างปัญหาให้กับเราได้ตราบใดที่เราแบ่งมันให้กับคนอื่น ๆ ดูเหมือนว่าชายลึกลับผู้นี้จะมีความขัดแย้งบางอย่างกับเรา” ชายแก่ชุดแดงพูดขึ้น

หัวหน้าตระกูลส่ายหน้าอีกครั้ง “มันอาจจะเป็นไปไม่ได้ เราไม่เคยยั่วยุขั้นเทพหรือหาเรื่ององค์กรที่มีขั้นเทพ นอกจากเรื่องการทรยศของลู่เฟยกับตระกูลโม่แล้ว ข้าคิดหาองค์กรอื่นที่เราขัดแย้งด้วยไม่ออกเลย….” จู่ ๆ หัวหน้าตระกูลก็นิ่งไป ตาของเขาเป็นประกายขึ้นมาและพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “มันเป็นตระกูลโม่ ข้าลืมเจ้าไปได้ยังไง ? ไม่ใช่ว่าชายลึกลับจากตระกูลโม่นั้นมีพลังขั้นเทพหรือ ? และเขาเองก็เข้าใจกฎแห่งกระบี่ด้วยเช่นกัน บรรพชนเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะฝีมือของเขา”

สีหน้าของผู้อาวุโสทั้งแปดเปลี่ยนไปเล็กน้อย หนึ่งในนั้นได้ถามขึ้นมา “มันใช่ตระกูลโม่หรือไม่ ? ”

หัวหน้าตระกูลลู่แค่นเสียงออกมาอย่างเย็นชา “มันน่าจะเป็นพวกนั้น นอกจากคนจากนิกายจุลกระบี่แล้ว มันมีชายลึกลับจากตระกูลโม่เพียงคนเดียวที่เป็นขั้นเทพและเข้าใจกฎแห่งกระบี่ แม้ว่ามันจะขัดกับที่บรรพชนอธิบายเอาไว้บ้าง แต่มันก็เป็นไปได้ที่จะเป็นพวกเขา ”

“ใช่ ข้าจำได้ว่าอาวุธเซียนขั้นกลางจากศาลาเฟิงเย่ของเมืองเฟิงเย่นั้นถูกเรียกว่ากระบี่หิมะบิน มันถูกสร้างขึ้นโดย ท่านซินหนง ว่ากันว่ากระบี่นั้นจะสร้างหิมะขึ้นมาได้ตอนที่มันถูกใช้ในการต่อสู้” ผู้อาวุโสคนหนึ่งพูดขึ้น

หัวหน้าตระกูลมองไปที่ผู้อาวุโสคนนั้นและถามขึ้นมาว่า ” ผู้อาวุโสหยุน เจ้าช่วยไปที่เมืองเฟิงเย่ทันทีและตรวจสอบว่ากระบี่หิมะบินนี้โดนขายไปแล้วหรือยังและคนที่ซื้อไปนั้นใช่ชายลึกลับจากตระกูลโม่หรือไม่”

“ได้ ข้าจะไปทันที” ผู้อาวุโสหยุนลุกขึ้นและเดินออกไปทันที