ตอนที่ 1600 ติดตั้งสำเร็จ!

Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ

ทั้งฟอรั่ม LSPM ระเบิดเปรี้ยงปร้าง

ไม่ใช่ระเบิดแล้วมีคนบาดเจ็บแต่อย่างใด แต่เป็นระเบิดเพราะคนเข้ามาเยอะเกินต่างหาก

ไม่ว่าจะเป็นทั้งพวกคนที่เข้ามาดูเล่นๆ หรือคนที่อยากจะเดินทางไปนอกระบบสุริยะจริงๆ ทุกคนต่างหลั่งไหลเข้ามาในฟอรั่ม

ในขณะเดียวกันสภาพจิตใจของคนคนหนึ่งก็ระเบิดได้ไปพร้อมกัน

หลี่กวงหยามองข่าวการสัมภาษณ์ เขาเอานิ้วลูบคิ้วตัวเองและรู้สึกเหมือนไมเกรนแทบจะขึ้นแล้ว

เขาไม่คิดเลยว่าไอเดียที่เขาคิดออกมาเพราะมี ‘เจตนาดี’ จะเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ตามมาเยอะขนาดนี้

ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่แค่ไม่อยากจะอยู่ที่นี่ต่อ แต่แค่เพราะโน้ตเล็กๆ ฉบับเดียวจากเมื่อร้อยปีก่อน ทำให้เขาถึงกับตัดสินใจยอมทิ้งโลกใบนี้ไป แล้วยังมาโฆษณาการออกไปตั้งอาณานิคมในอวกาศภายนอกออกข่าวอีก

เรื่องที่น่ารำคาญที่สุดก็คือ คนจำนวนมากบนอินเทอร์เน็ตก็เฮโลกันไปตามเขาด้วยเนี่ยสิ

ยุคสมัยนี้มีพวกลูกแกะที่ถูกจูงจมูกได้ง่ายจริงๆ

เพราะอะไรสักอย่างหนึ่ง ทำให้หลี่กวงหยารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนหาเรื่องใส่ตัว

“เอ่อ…แล้วเฉินยู่ซานได้ไปที่เทาเซติจริงๆ หรือเปล่า?”

พอได้ยินหัวหน้าถามมาอย่างนั้น เหว่ยซงก็จำต้องตอบคำถามด้วยสีหน้าอับอาย “เรื่องนั้น…ผมพยายามสืบสวนข้อมูลในกองความมั่นคงแล้วครับ แต่ยังไม่พบเบาะแสมากพอจะระบุที่อยู่ของเธอคนนั้นเลย”

หลี่กวงหยาถามย้ำด้วยความไม่สบอารมณ์ “คุณสืบหามาตั้งนาน แล้วจะมาบอกว่าไม่มีเบาะแสอะไรเลยเหรอ?”

เหว่ยซงส่ายหัวแล้วตอบด้วยเสียงอันหนักอึ้ง “ผมพยายามสุดความสามารถแล้วครับท่าน”

หลี่กวงหยาผ่อนไหล่ที่เกร็งมาเล็กน้อยแล้วเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ออฟฟิศ เขาก็ไม่อยากจะไปโทษอะไรลูกน้องเขามาก

ในเมื่อมันก็เป็นเรื่องจากเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน

ถ้าเปรียบเทียบก็คงเหมือนตามหาคนจากยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 ในสมัยศตวรรษที่ 21 นั่นแหละ ต่อให้เปิดหนังสือประวัติศาสตร์ขึ้นมาก็ใช่ว่าจะหาคนคนนั้นเจอ

นี่ยังไม่นับว่าตอนนี้มันเป็นสมัยศตวรรษที่ 22 ด้วยนะ

สมัยนี้ข้อมูลก็มีจำนวนมากเหลือเกิน ต่อให้มีเบาะแสอะไรหลงเหลืออยู่ มันก็คงจะจมหายไปในกองคลังข้อมูลทั้งหมดแล้ว ยากเหมือนงมเข็มในมหาสมุทรนั่นแหละ

“แล้วกองทุนอาณานิคมเทาเซติล่ะ? คุณติดต่อพวกเขาไปหรือยัง?”

“ติดต่อไปแล้วครับท่าน แต่พวกเขาก็ไม่มีข้อมูลเหมือนกัน…”

เหว่ยซงส่ายหัวเบาๆ แล้วว่าต่อ “รูปแบบการทำงานกับโครงสร้างองค์กรทั้งหมดก็ถูกออกแบบมาด้วยตัวเฉินยู่ซานเอง จำนวนโปรเจกต์ไปอวกาศที่กองทุนมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยทั้งทางตรงและทางอ้อมในศตวรรษที่ผ่านมาก็มีสูงถึง 23,000 โปรเจกต์ โดย 57 โปรเจกต์ในนั้นเป็นโปรเจกต์ยานสำรวจอวกาศ ไฟล์ข้อมูลก็มีส่วนหนึ่งอยู่ในประเทศจีน ส่วนหนึ่งอยู่ในต่างประเทศที่เป็นประเทศเป็นกลาง และก็มีส่วนหนึ่งที่สูญหายไปแล้วครับ ถ้าเฉินยู่ซานต้องการจะปกปิดที่อยู่ของเธอจริงๆ เพราะเธอไม่ต้องการให้ใครมารบกวนเธอ ผมเกรงว่านอกจากเธอเองแล้วก็ไม่มีใครจะหาตัวเธอพบแล้วครับ”

“ยัยผู้หญิงคนนี้…”

หลี่กวงหยากัดฟัน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าสบถด่าเธออยู่ในใจ

ในตอนนั้นเองเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

ราวกับว่าเขาต้องการจะคว้าฟางเส้นสุดท้าย หลี่กวงหยาผุดลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ออฟฟิศพร้อมคว้าไหล่ของเหว่ยซงแล้วพูดออกมา

“แล้วเวร่าล่ะ? ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นไปอย่างไรบ้าง?”

“…พูดตามจริงนะครับท่าน ผมรู้สึกว่าท่านอาจจะทำอะไรที่ไม่จำเป็นลงไปเสียแล้ว” เหว่ยซงมองท่านประธานที่ดูจะตื่นเต้น เขามองอีกฝ่ายด้วยแววตามึนงง จากนั้นเขาก็ยิ้มแห้งๆ แล้วอธิบายต่อ “เขาอาจจะ…ไม่ได้มีความรู้สึกแบบนั้นกับเวร่าจริงๆ ก็ได้”

“เป็นไปไม่ได้” หลี่กวงหยาพูดออกมาโดยไร้ความลังเล “ถ้าไม่มีความรู้สึกอะไรจริงๆ เลยล่ะก็ สารคดีนั่น…”

“มันก็แค่ภาพยนตร์สารคดีนะครับ” เหว่ยซงถอนหายใจแล้วพูดต่อ “แล้วในเวอร์ชันออริจินัล นักวิชาการลู่ก็แค่จูบเธอที่หน้าผากเฉยๆ เอง”

หลี่กวงหยากลับไปนั่งบนเก้าอี้ เขาเงียบกริบและไม่พูดอะไรออกมาต่อ

ผ่านไปสักพักเขาจึงค่อยๆ พูดออกมา “นั่นไม่สำคัญหรอก…จะอย่างไรก็แล้วแต่ เวร่าคือโอกาสสุดท้ายของเรา”

“ผมขอให้คุณ…ไม่สิ คุณต้องหาวิธีทุกอย่างทำเรื่องนี้ให้ได้! คุณต้องช่วยเพิ่มความสัมพันธ์ของเธอกับเขาให้ได้!”

เหว่ยซงมองท่านประธาน นี่เป็นช่วงเวลาพักหนึ่งที่เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรออกมาดี

คำสั่งนี่มันบ้าบอคอแตกอะไรเนี่ย?

อีกอย่างนะ ฉันก็อายุปาเข้าไปสี่สิบกว่าแล้ว ไม่เข้าใจความรู้สึกของพวกคนหนุ่มสาวหรอก แล้วก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกคนแช่แข็งพวกนั้นคิดอย่างไรกับเรื่องความสัมพันธ์เมื่อร้อยปีก่อน

จะให้ช่วยอย่างนั้นเหรอ?

ถ้าเขาไม่ทำเรื่องนี้พังคงจะเป็นปาฏิหาริย์อย่างมาก

ในขณะที่เหว่ยซงกำลังปวดหัวกับทางเลือกที่มีนั้น หลี่กวงหยาก็พูดขึ้นมาต่อ “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง”

เหว่ยซงถอนหายใจแล้วพูดต่อ

“ว่ามาเลยครับท่าน”

“เทคโนโลยีความเร็วกว่าแสงนั่น…คุณคิดว่ามันพึ่งพาได้ไหม?”

เหว่ยซงมองเห็นสิ่งที่ไม่ค่อยได้เห็นนักในแววตาของท่านประธาน

มันต่างจากคำสั่งไร้สาระเมื่อครู่นี้อย่างเห็นได้ชัด ตอนที่เขาถามประโยคนี้ขึ้นมา น้ำเสียงของเขาเป็นเสียงจริงจัง

สีหน้าของเหว่ยซงจึงเปลี่ยนเป็นจริงจังบ้าง เขาเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวังหลังจากครุ่นคิดดีๆ อยู่พักหนึ่ง “เอ่อ…ผมเองก็ไม่ได้มั่นใจอะไรนักหรอกนะครับ พวกเราอาจจะต้องรอปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในวงการที่เกี่ยวข้องก่อนที่ผมจะตอบคำถามท่านได้อย่างมั่นใจครับ”

“อันนั้นไม่ต้องหรอก”

หลี่กวงหยาโบกมือ เขาลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ออฟฟิศอีกรอบแล้วเดินตรงไปที่หน้าต่างออฟฟิศซึ่งสูงจากเพดานจรดพื้น

สายตาเหม่อมองออกไปที่ภาพถนนนอกหน้าต่าง แล้วก็เคลื่อนมามองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก หลี่กวงหยาสั่งการในที่สุด “เตรียมรถให้ที ผมจะเดินทางไปสถาบันวิทยาศาสตร์เอง”

เหว่ยซงพยักหน้า

“เดี๋ยวเตรียมให้ครับท่าน!”

ในขณะเดียวกันนั้นเอง

ณ แมนชั่นแถบชานเมืองจินหลิง ลู่โจวที่อยู่ในห้องแล็บสร้างเองตรงสวนหน้าบ้านกำลังยืนอยู่ข้างๆ ชิ้นส่วนหลายชิ้นที่ดูจะกองกระจัดกระจายแบบไม่มีหลักเกณฑ์ ในมือของเขากางอินเตอร์เฟสปฏิบัติโฮโลแกรมไว้ในมือ ในขณะที่ควบคุมอุปกรณ์สำหรับผู้เชี่ยวชาญและแยกชิ้นส่วนไปด้วย

ชิ้นส่วนบางชิ้นก็เป็นสิ่งที่อีสต์เอเชียเฮฟวีอินดัสตรีส์ทำมาให้เขา บางชิ้นส่วนลู่โจวก็ใช้เครื่องพรินต์สามมิติทำขึ้นมาเอง เห็นได้ชัดว่าเขาลงทุนลงแรงไปมากแค่ไหน

เวร่ายืนมองอยู่ข้างๆ ด้วยความสงสัย เธอถามขึ้นด้วยเสียงเบาๆ “อันนี้คือเครื่องสั่นอนุภาคซีเหรอคะ?”

ลู่โจวที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงานให้เสร็จอย่างขะมักเขม้นไม่อยากเสียแรงมาคุยกับหญิงสาวในตอนนี้ เขาจึงตอบกลับมาแค่ว่า “อ่าฮะ”

พอเห็นว่าลู่โจวยุ่งมากแค่ไหน เวร่าก็เลยมีเหตุผลมากพอที่จะไม่ชวนคุยเพิ่ม เธอเลือกที่จะยืนมองอยู่เงียบๆ แทน

ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ในที่สุดลู่โจวก็หยุดทำงาน

เขามองผลงานชิ้นเอกที่ตั้งอยู่ตรงหน้า ใบหน้าคร่ำเคร่งของเขาในที่สุดก็เผยรอยยิ้มจริงใจออกมา

เสร็จเสียที!

“…มันดูแปลกๆ นะคะ” เวร่าเอี้ยวตัวไปใกล้ๆ มองอุปกรณ์ที่มีสีทองเหลืองตรงหน้าลู่โจว หญิงสาวเหลือบมองไปทางพื้นผิวที่เรียบเนียนของเปลือกโลหะ แล้วทักขึ้นมาด้วยความสงสัยเต็มอก “รูปร่างเหมือนนาฬิกาทรายเลย”

“ตรงปลายทั้งสองข้างเป็นเครื่องกำเนิดอนุภาคซี ที่จะสร้างพื้นที่ชนกันระหว่างการเร่งหมุนวน ทำให้เกิดเป็นอนุภาคซีคู่หนึ่งที่มีการหมุนวนไปในทิศทางตรงกันข้ามที่พันเกี่ยวอยู่ติดกันและกัน การสั่นที่มีความถี่คงที่จะเข้าไปส่งผลกับความโก้งของกาลอวกาศ และกาลอวกาศที่บิดเบี้ยวจะถูกสร้างขึ้นใกล้ๆ กับตัวอุปกรณ์นี้”

พอได้ยินลู่โจวว่าดังนั้น เวร่าก็รีบเบือนหน้าหนีและถอยหลังกลับไป เธอถามขึ้นมาอย่างระมัดระวัง “อย่างนั้น…ไม่ใช่ว่ามันอันตรายเหรอ?”

“ถ้าเอาไปใช้แบบไม่เหมาะสมก็ทำให้เกิดอันตรายได้นะ แต่สุดท้ายมันก็เป็นเรื่องของอวกาศที่อยู่เหนือมิติทั้งสาม จักรวาลของเราทั้งจักรวาลก็คือเครื่องบินสองมิติที่ทับซ้อนกันอยู่ในอวกาศที่เป็นนามธรรมนั่น” ลู่โจวมองหญิงสาวที่ดูจะวิตกกังวล เขาไม่อยากให้เธอกลัวมากไปกว่านี้แล้ว เลยเอ่ยติดตลกออกมาว่า “ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ ถ้าไม่มีเครื่องปฏิกรณ์ฟิวชั่นที่ควบคุมได้มาคอยให้พลังงานล่ะก็ มันเปิดไม่ติดหรอก”

“อย่างนั้นเองสินะคะ…” เวร่าค่อยๆ รู้สึกโล่งใจ แล้วเธอก็หันไปมองลู่โจว แววตาของเวร่า มีความเขินอายเล็กน้อยแล้วความยกย่องเจืออยู่ หญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยเสียงต่ำ “แต่อุปกรณ์ที่อันตรายแบบนี้…คุณวางแผนจะทดสอบด้วยวิธีไหนกัน?”

“วิธีทดสอบก็ง่ายมากๆ เลย” ลู่โจวยังยิ้มขณะพูดต่อ “พวกเราก็แค่ต้องเอาเครื่องนี้ไปนอกอวกาศ หาแบตเตอรี่ฟิวชั่นที่ควบคุมได้มากับยานอวกาศที่สามารถใช้ทิ้งขว้างได้ ทีนี้เราก็ทดสอบสมมุติฐานนี้ได้แล้ว!”

……………………………………………………