วู้ม!

เมื่อจู๋อิ้งคงออกคำสั่ง เมืองอารักษ์มรรคที่กว้างใหญ่เหมือนฟื้นคืนชีพในยามนี้ มีละอองแสงลายมรรคโหมกระหน่ำทะลวงขึ้นเหนือเมฆ

ชั้นเมฆแตกระเบิด สั่นสะเทือนไปทั่วทิศ

พลังผนึกอริยมรรคที่น่ากลัวไร้จำกัดแผ่อบอวลออกมาจากเมืองอารักษ์มรรค

จันทร์ศักดิ์สิทธิ์สามสิบหกดวงทะยานสู่ฟากฟ้า ลอยเด่นอยู่ใต้นภา จันทร์ศักดิ์สิทธิ์แต่ละดวงล้วนเกลี้ยงกลมกระจ่าง ขาวดำเชื่อมประสาน หยินหยางร่วมเคียง

ฟ้าดินแถบนี้ล้วนเกิดกลิ่นอายอัศจรรย์ของการแปรเปลี่ยนระหว่างรัตติกาลและทิวากาล

ในเมือง ผู้แข็งแกร่งของดินแดนโบราณยอดหยินนับไม่ถ้วนเห็นดังนี้ก็เป่าปากโล่งใจเฮือกใหญ่

กระบวนค่ายกลนี้ชื่อว่า ‘กระบวนค่ายกลจันทร์ศักดิ์สิทธิ์สองลักษณ์’ ผ่านการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนมาสองครั้ง ปกคลุมอยู่ทั่วเมืองอารักษ์มรรค ตั้งตระหง่านในกาลเวลาไร้สิ้นสุดมาถึงปัจจุบัน ถูกปรมาจารย์สลักลายมรรคที่มาจากเผ่าจู๋หลงหลายสิบคนซ่อมเสริมอย่างต่อเนื่องจึงมีอานุภาพเช่นวันนี้

ความแข็งแกร่งและน่ากลัวของมัน ฝังลึกเข้าไปในใจของผู้แข็งแกร่งดินแดนโบราณยอดหยินทุกคนนานแล้ว!

เวลานี้สีหน้าของจู๋อิ้งคงก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย

ในฐานะที่เป็นระดับผู้นำของดินแดนโบราณยอดหยินและทายาทของเผ่าจู๋หลง เขารู้ชัดถึงพลังของกระบวนผนึกในเมืองเป็นอย่างดี

พูดอย่างไม่เกินจริง ขอแค่หลบอยู่ในเมือง ต่อให้มกุฎอริยะทั้งหมดถล่มจู่โจมเต็มกำลังก็ยากจะสั่นคลอนเมืองนี้ได้!

ห่างออกไปยานขนส่งอวกาศจอดอยู่กลางอากาศ เงาร่างของพวกหลินสวินทยอยก้าวออกมา เพียงพริบตาก็เห็นภาพนี้

“ดูท่าพวกเขาคงรู้ว่าพวกเราจะเปิดฉากจู่โจมกลับนานแล้ว จึงรวบรวมกำลังพลทั้งหมดมาไว้ในเมืองทันที”

แววตาของเซ่าเฮ่านิ่งสงบ กล่าวเสียงขรึม

ครั้งนี้ทัพของพวกเขาล้วนเป็นมกุฎอริยะ มีแค่สามสิบกว่าคน ดูเหมือนจำนวนน้อย แต่ในสมรภูมิเก้าดินแดนนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นดั่งผู้แข็งแกร่งที่ราวกับนายเหนือหัว

โดยเฉพาะหลินสวิน ซย่าจื้อ… ยิ่งแทบจะเรียกได้ว่าไร้คู่ต่อกร!

“เช่นนั้นก็ดี รอเหยียบย่ำเมืองนี้แล้วจะได้ฆ่าพวกมันให้หมด”

เจ้าคางคกกระเหี้ยนกระหือรือ

“เรื่องเร่งด่วนคือทำลายกระบวนค่ายกลก่อน”

พวกรั่วอู่เหลือบสายตาไปทางหลินสวินที่เป็นผู้นำพร้อมกัน

“ยกเรื่องทำลายกระบวนค่ายกลให้ข้า ทุกท่านอดทนรอสักครู่”

หลินสวินกล่าวง่ายๆ

เขากำลังสังเกตและอนุมานกระบวนค่ายกลพิทักษ์เมืองที่ปกคลุมอยู่บนท้องฟ้าเหนือเมืองที่ห่างออกไป

“หลินสวิน คิดจริงๆ หรือว่ารบชนะไม่กี่ครั้งแล้วจะมองข้ามใครๆ ก็ได้”

บนกำแพงเมืองเสียงของจู๋อิ้งคงราวอสนีบาตดังมาแต่ไกล สีหน้าเยียบเย็นน่าพรั่นพรึง

“บอกเจ้าเลยว่า กระบวนค่ายกลนี้ร่วมกันจัดตั้งโดยผู้แกล้วกล้ามากมายแห่งเผ่าจู๋หลงของข้า อาศัยคนอย่างพวกเจ้า… แน่นอนว่าไม่อาจสั่นคลอนกระบวนค่ายกลนี้ได้แม้แต่น้อย!”

จนถึงตอนนี้จู๋อิ้งคงยังคิดไม่ตก ว่าทำไมหลินสวินถึงมาค่ายทัพดินแดนโบราณยอดหยินเป็นที่แรก นี่คิดว่าเขาจู๋อิ้งคงรังแกได้ง่ายหรือ

“ว่าไปแล้วข้ายังต้องขอบคุณพี่จู๋ ยามอยู่ที่สมรภูมิเซียนเหิน หากไม่ได้เจ้าวางกระบวนค่ายกลพันผีไว้ เกรงว่าข้าคงไม่อาจกำจัดเจ้าพวกนั้นได้หมด”

หลินสวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

เขากำลังอนุมานความลับของกระบวนค่ายกลนี้อยู่

“ขอบคุณข้าหรือ”

จู๋อิ้งคงโกรธจัดจนกลายเป็นหัวเราะ โกรธจนวงหน้าเขียว “ได้ ตัดหัวเจ้ามาเป็นของตอบแทนเป็นอย่างไร”

“ฝืนใจคนอื่นไปก็ไม่ดี”

หลินสวินกล่าว “แต่ครั้งนี้ข้าอาจไว้ชีวิตพี่จู๋ หนึ่งเพื่อแสดงความขอบคุณ สองด้วยอยากรู้เรื่องบางอย่างจากพี่จู๋”

จู๋อิ้งคงชะงัก ข่มกลั้นความโมโหและคั่งแค้นในใจกล่าว “เรื่องอะไร”

“กึ่งจักรพรรดิปาฉีเจ้าน่าจะรู้จัก”

หลินสวินกล่าว

นัยน์ตาของจู๋อิ้งคงหดรัด คล้ายตระหนักถึงอะไรบางอย่าง กล่าวขึ้นมาทันที “เป็นเจ้าที่ฆ่าคนที่ชื่อว่าอวิ๋นชิ่งไป๋นั่นหรือ”

หลินสวินไม่ปฏิเสธ

เวลานี้จู๋อิ้งคงเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งกล่าว “มิน่าล่ะ หากอวิ๋นชิ่งไป๋นั่นไม่ตาย ดินแดนรกร้างโบราณของพวกเจ้าคงพังพินาศไปนานแล้ว ไหนเลยจะเกิดอุปสรรคมากเช่นนี้…”

พวกเซ่าเฮ่า รั่วอู่ต่างอดประหลาดใจไม่ได้ รู้สึกมึนงง คนของดินแดนโบราณยอดหยินก็รู้จักชื่อของอวิ๋นชิ่งไป๋ตั้งแต่เมื่อไหร่

‘อวิ๋นชิ่งไป๋เป็นหมากตัวหนึ่งที่ถูกคนวางไว้ ไม่อาจมีชีวิตเป็นของตัวเอง คนที่ควบคุมเขามาจากดินแดนโบราณยอดหยิน เป็นบุคคลระดับกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งที่ชื่อว่าปาฉี’

หลินสวินสื่อจิตอธิบายรอบหนึ่ง

ทุกคนพลันเข้าใจกระจ่าง

พอนึกถึงว่าอวิ๋นชิ่งไป๋เป็นบุคคลที่มีชีวิตราวกับโศกนาฏกรรมเช่นนี้ ในใจทุกคนก็ทอดถอนใจอย่างอดไม่อยู่

หวนนึกถึงปีนั้น ยอดบุคคลที่เจิดจรัสที่สุดในดินแดนรกร้างโบราณก็คืออวิ๋นชิ่งไป๋ มรรคกระบี่ไม่เป็นสองรองใคร ฝีมือล้ำเลิศ ชักนำให้เกิดคลื่นลมในใต้หล้าได้

ต่อให้เป็นคู่ต่อสู้ ก็ยังไม่อาจไม่ยอมรับความแข็งแกร่งและยอดเยี่ยมของอวิ๋นชิ่งไป๋

ใครจะคิดว่าชีวิตของเขานั้นน่าเศร้าเช่นนี้!

และตัวการของเรื่องทั้งหมดนี้ก็มาจากดินแดนโบราณยอดหยิน!

“ดูท่าเจ้าคงไม่ใช่แค่รู้จักปาฉี ดูจากสถานการณ์แล้วเจ้ายังเหมือนรู้เรื่องที่เขาทำทั้งหมดในดินแดนรกร้างโบราณปีนั้นด้วย เช่นนั้นก็จัดการได้ง่ายแล้ว”

กล่าวประโยคนี้จบหลินสวินก็ไม่พูดมากอีก

เขาเริ่มอนุมานเต็มกำลัง กระบวนผนึกอริยมรรคที่ปกคลุมเมืองแห่งหนึ่ง ย่อมไม่มีทางทำลายได้อย่างง่ายดายเช่นนั้นเป็นธรรมดา

แต่หลินสวินไม่คิดจะทำลายกระบวนค่ายกล ขอแค่บุกเข้าไปในกระบวนค่ายกล หลบเคราะห์สังหารในนั้นจนก้าวเข้าไปในเมืองได้ในที่สุดก็พอแล้ว!

แต่เหนือความคาดหมายของเขา หลังผ่านไปหนึ่งก้านธูปก็ยังไม่มีเส้นทางปลอดภัยที่เขาอนุมานได้

นี่ทำให้หลินสวินคิ้วขมวดอย่างอดไม่อยู่

“หลินสวิน รู้สึกว่าหาทางลงมือไม่ได้ใช่ไหม ฮ่าๆๆ ครั้งนี้พวกเจ้ามาด้วยท่าทีเหิมเกริม แต่เกรงว่าคงต้องล้มลุกคลุกฝุ่นกลับไปแล้ว!”

บนกำแพงเมืองที่ห่างออกไป จู๋อิ้งคงหัวเราะลั่น ไม่เกรงกลัวสิ่งใด

ข้างกายเขา บุคคลสำคัญของดินแดนโบราณยอดหยินมากมายที่เดิมประหม่ากระสับกระส่ายล้วนเป่าปากโล่งใจเฮือกใหญ่ เผยให้เห็นสีหน้าผ่อนคลาย

เจ้าคนแซ่หลินนี่ไม่เห็นน่ากลัวเหมือนในข่าวลือเท่าไร

“รีบไสหัวไปเถอะ อย่ามาขายขี้หน้าอยู่เลย!”

มีคนตะโกนออกมา

นี่ทำให้สีหน้าของพวกเจ้าคางคกและอาหลู่ต่างไม่น่าดูขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ พวกสวะต่างดินแดนนี่ได้ใจเกินไปแล้ว!

“ทุกท่านอย่ารีบร้อน ภายในวันนี้ต้องทำลายเมืองนี้ได้แน่”

นัยน์ตาดำของหลินสวินเยียบเย็น

แต่ยามเขาคิดจะอนุมานต่อ กลับเห็นซย่าจื้อที่อยู่ข้างๆ พลันเอ่ยปาก “กระบวนค่ายกลอยู่ข้างหน้า เหยียบย่ำมันซะก็จบ ทำไมต้องยุ่งยากเช่นนี้ด้วย”

‘ถูกนางหนูนี่ดูถูกอีกแล้ว…’

หลินสวินพลันยิ้มขื่น ตั้งแต่เมื่อก่อนจนถึงตอนนี้ ขอแค่มีซย่าจื้ออยู่ด้วย ก็เหมือนว่าตนจะถูกซย่าจื้อดูหมิ่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ตลอด

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ความตั้งใจ แต่เป็นนิสัยโดยธรรมชาติของซย่าจื้อ

“ข้าไปเอง”

เห็นได้ชัดว่าซย่าจื้อรอจนหงุดหงิดอยู่บ้างแล้ว นางก้าวขึ้นไปกลางอากาศทันที เงาร่างเพรียวบางอาบไล้ด้วยแสงแห่งรัตติกาลนิรันดร์ ราวกับเทพไท้องค์หนึ่งที่ก้าวออกมาจากความมืดมิด

“ระวัง!”

หลินสวินใจกระตุกวูบ กำลังจะห้ามปรามก็ถูกเจ้าคางคกชิงตัดบทก่อน “พี่ใหญ่ หลายวันก่อนแม่นางซย่าจื้อคนเดียวทำลายกระบวนผนึกอริยมรรคเก้าชั้นได้อย่างง่ายดาย ตลอดทางไม่มีสิ่งใดต้านทานได้ ให้นางลองดูหน่อยจะเป็นไร”

คนอื่นต่างพยักหน้า

หลินสวินตื่นตะลึง คิดไม่ถึงว่าภาพลักษณ์ของซย่าจื้อที่อยู่ในใจของทุกคนยามนี้จะสูงส่งถึงขั้นนี้แล้ว

กลางฟ้าดินที่ปลอดโปร่งปรากฏม่านรัตติกาลหนึ่งขึ้นทันใด แผ่ขยายปกคลุมไปทางเมืองอารักษ์มรรคที่อยู่ห่างออกไปราวหมึกเขียน

ซย่าจื้อเดินอยู่กลางอากาศ ก้าวไม่ช้าไม่เร็วมุ่งตรงไปข้างหน้า ในมือขวาของนางไม่รู้มีทวนกระดูกขาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ประกายดาราใสเย็นสะอาดอบอวล

ความมืดแห่งรัตติกาลนิรันดร์ ประกายดาราของกระดูกขาว ขับเน้นให้ซย่าจื้อดูลึกลับยิ่งกว่าเดิม มีกลิ่่นอายเยียบเย็นล้ำลึกที่ทำให้ผู้คนใจสั่น

“เป็นหญิงสาวปริศนาคนนั้นหรือ”

นัยน์ตาของจู๋อิ้งคงหดรัด ในใจเย็นวาบอย่างบอกไม่ถูก

“เป็นนาง เป็นนางขอรับ…”

บุคคลสำคัญคนอื่นที่อยู่ใกล้หน้าเปลี่ยนสีนานแล้ว สีหน้าของคนไม่น้อยต่างซีดเผือด

หลายวันก่อนยามทัพพันธมิตรแปดดินแดนโจมตีค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณเต็มกำลัง พวกเขาก็เข้าร่วมด้วย ทั้งเคยเห็นความน่ากลัวของซย่าจื้อมากับตา!

“ไม่แปลกที่กลิ่นอายจะลึกลับและน่าสะพรึงเช่นนี้…”

จู๋อิ้งคงสูดหายใจลึกกล่าว “วางใจเถอะ มีกระบวนค่ายกลจันทร์ศักดิ์สิทธิ์สองลักษณ์อยู่ นางต้องชนหัวกระแทกเลือดอาบแน่!”

ทันใดนั้นซย่าจื้อที่อยู่ห่างออกไปจู่ๆ ก็พุ่งวาบบุกเข้ามา ราวกับสายฟ้าฟาดที่มืดดำสนิท เร็วจนน่าเหลือเชื่อ

ขณะทะยานเข้ามา ทวนกระดูกขาวในมือนางพลันวาดขึ้น

ราวกับเทพไท้ยกศาสตราจิตขึ้นทลายฟ้ามลายดิน แสงของความมืดแห่งรัตติกาลนิรันดร์กลางฟ้าดินส่งเสียงกัมปนาทอึกทึกสนั่นหู ทั้งหมดถาโถมเข้าไปในทวนกระดูกขาวเล่มนั้น

จากนั้น…

ก็ฟาดลงอย่างหนักหน่วง!

ทุกคนรู้สึกเพียงเบื้องหน้าพลันเปลี่ยนไปในทันที กลางฟ้าดินทุกอย่างล้วนมืดมิด ราวกับรัตติกาลนิรันดร์เข้าปกคลุม พาให้รู้สึกเงียบสงัดอย่างแปลกประหลาด ว่างเปล่าไร้ขอบเขต เหมือนทุกอย่างดับสูญ

ในความมืดมิดที่ไร้สิ้นสุดนี้ เงาร่างที่เหมือนว่างเปล่าร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในความมืดอย่างเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง ร่างกำยำไร้ขีดจำกัดดุจราชันเทพในรัตติกาลนิรันดร์

ตรงหน้าเขา เมืองอารักษ์มรรคที่สูงแค่เข่านั้นดูเตี้ยแคระหาใดเปรียบ

ตูม!

เงาร่างในความมืดพลันเหวี่ยงหมัดออกไป

บนท้องฟ้าเหนือเมืองอารักษ์มรรค จันทร์ศักดิ์สิทธิ์สองลักษณ์สามสิบหกดวงพลันส่องประกายทันที เปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์เจิดจ้าและงามแปลกตาเข้าต้านทาน

เสียงกัมปนาทสะท้านฟ้าสะเทือนดินดังก้องขึ้น แผ่นดินสะเทือนภูเขาสั่นคลอน แสงจ้าตาซัดโหมในความมืด ปล่อยคลื่นสะเทือนน่ากลัวออกมาทำลายล้างโลก

พริบตานี้จู๋อิ้งคงและผู้แข็งแกร่งของดินแดนโบราณยอดหยินทั้งหมดล้วนสั่นสะท้านไปทั้งตัว รู้สึกได้ว่าเมืองอารักษ์มรรคยังสั่นสะเทือนรุนแรงไปพักหนึ่ง

ไม่นานความมืดก็แตกละเอียดล่องลอยไปทั่ว ทัศนวิสัยของทุกคนกลับมาชัดเจน

เมื่อมองเมืองอารักษ์มรรคที่ห่างออกไปอีกครั้ง นอกจากแรงสั่นสะเทือนพักหนึ่งก่อนหน้านี้แล้วก็ไม่มีอะไรเสียหาย แม้แต่กระบวนค่ายกลที่ปกคลุมเมืองก็ยังไม่ถูกทำลาย

มีเพียงจันทร์ศักดิ์สิทธิ์สองลักษณ์สามสิบหกดวงที่เจิดจรัสยิ่งกว่าเดิม วงโคจรบนเวิ้งฟ้าอัศจรรย์หมุนวนเริงระบำ

“เป็นกระบวนค่ายกลที่แข็งแกร่งยิ่ง!”

พวกเซ่าเฮ่า เจ้าคางคกต่างหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย

การโจมตีของซย่าจื้อเมื่อครู่นั้นน่ากลัวระดับใด แต่สุดท้ายก็ยังถูกขวางไว้ได้

บนกำแพงเมือง พวกจู๋อิ้งคงสบตากันแล้วมั่นใจได้ในที่สุด สีหน้าฮึกเหิม ในที่สุดก็ขวางไว้ได้แล้ว!

“ไม่ถูกสิ หญิงสาวปริศนานั่นล่ะ”

ทันใดนั้นจู๋อิ้งคงสังเกตเห็นว่าไม่ชอบมาพากล กลางฟ้าดินเสาะหาเงาร่างของซย่าจื้อไม่พบ แม้แต่กลิ่นอายก็ยังหาไม่เจอ

เวลานี้พวกเซ่าเฮ่าก็เห็นความผิดปกติ ใช่แล้ว ซย่าจื้อไปไหนแล้ว

“อยู่ตรงนั้น”

หลินสวินยิ้มแล้วชี้นิ้วไปยังจุดที่ห่างออกไป “นางเข้าไปในเมืองแล้ว!”

ทุกคนเงยหน้ามองออกไป เผยให้เห็นสีหน้ายากจะเชื่อทันที

ก็เห็นว่าบนกำแพงเมืองที่อยู่ห่างพวกจู๋อิ้งคงไปไม่ไกล เดิมทีว่างเปล่าไร้สรรพสิ่ง แต่ไม่ทันไรก็มีเงาร่างหนึ่งค่อยๆ ก้าวออกมาจากความว่างเปล่า

ถึงกับเป็นซย่าจื้อ

เงาร่างนางสูงเพรียว มือกุมทวนกระดูกขาวดูลึกลับ

บนกำแพงเมืองนั้นปกคลุมด้วยกระบวนผนึกอริยมรรคชวนประหวั่น แต่ยามนี้ราวกับไม่สังเกตเห็นตัวตนของซย่าจื้อ ไม่มีการตอบสนองแม้แต่น้อย!

พร้อมกันนี้จู๋อิ้งคงสีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่ ลูกตาแทบถลนออกมา ท่าทางราวกับเห็นผี ร้องเสียงหลง

“นี่เป็นไปได้อย่างไร!?”