ตอนที่ 1614 สำนักโบราณจรัสเทพ

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

หลินสวินจ้องมองจู๋อิ้งคงครู่หนึ่งก็พยักหน้ารับคำ “ได้”

จู๋อิ้งคงก้าวขึ้นไปกลางอากาศ ยืนอยู่บนนั้น

เขาในตอนนี้เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน นัยน์ตาเยียบเย็นดุจอสนี พลังขับเคลื่อนส่งเสียงกัมปนาท ความซึมเซาทั้งหมดพลันหายไป ราวกับปล่อยวางทุกอย่างในใจได้อย่างสมบูรณ์แล้ว

ในดวงตาดำของหลินสวินฉายแววประหลาดใจเสี้ยวหนึ่ง สังเกตเห็นว่าสภาวะจิตของจู๋อิ้งคงเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ทั้งตัวเขาต่างออกไปแล้ว

นี่ก็คือบุคคลแห่งยุค!

ความพ่ายแพ้และการโจมตีที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ เปลี่ยนเป็นผู้แข็งแกร่งทั่วไปเกรงว่าคงพังทลาย ต้านไม่อยู่ไปนานแล้ว

แต่จู๋อิ้งคงกลับเคี่ยวกรำสภาวะจิตขึ้นไปอีกขั้นภายใต้การโจมตีอย่างต่อเนื่องได้ นี่ไม่ธรรมดาอย่างไม่ต้องสงสัย

“ก่อนหน้านี้ตัวข้าเรียกได้ว่าไร้คู่ต่อกรในหมู่คนรุ่นเยาว์แห่งดินแดนโบราณยอดหยิน ในหมู่คนรุ่นเดียวกันไม่มีสักคนที่เข้าตาข้า ต่อให้เข้ามาในสมรภูมิเก้าดินแดนนี้ ก็มีแค่บุคคลอย่างพวกคุนเซ่าอวี่ เจี้ยนชิงเฉินเท่านั้นที่ข้าให้ความสำคัญ…”

จู๋อิ้งคงกล่าวราบเรียบ “ตอนนี้ข้าเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว ว่าคู่ต่อสู้ที่แท้จริงไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นตัวเอง”

“ตัดความยึดมั่น สำรวจเจตนารมณ์ สำหรับข้าชื่อเสียงจอมปลอมเป็นดั่งเมฆเลื่อนลอย!”

น้ำเสียงไม่โศกเศร้ายินดี

ร่างของหลินสวินลอยล่องมาบนอากาศกล่าว “ได้แต่พูดว่าเจ้าเข้าใจเมื่อสายเกินไปแล้ว”

ในเมืองที่ห่างออกไป เสียงเข่นฆ่าโรมรันสะเทือนใต้หล้า ส่งเสียงกัมปนาทอย่างต่อเนื่อง กำลังปรากฏภาพการสังหารหมู่นองเลือดต่างๆ

ภายใต้การร่วมมือกันโจมตีของพวกเซ่าเฮ่า เจ้าคางคก ผู้แข็งแกร่งของดินแดนโบราณยอดหยินพวกนั้นแทบจะไม่อาจขวาง ไม่มีใครไม่อกสั่นขวัญแขวน หนีกระเจิดกระเจิงไปทั่ว

แต่ทุกอย่างนี้ไม่อาจชักนำให้จู๋อิ้งคงเกิดคลื่นความรู้สึกใด สายตาของเขาจ้องมองหลินสวินแล้วกล่าว “ไม่สายไปหรอก ยามอรุณแจ้งมรรค ค่ำนั้นตายก็นอนตาหลับ”

พูดจบเงาร่างเขาก็พุ่งเข้าหา แขนเสื้อพลิกตลบ เสียงชิ้งดังขึ้น กระบี่มรรคที่แบ่งขาวดำชัดเจนเล่มหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้า

พลังขับเคลื่อนของเขาดุดันถึงขีดสุดในพริบตา!

“ไป!”

เสียงใสของกระบี่ดุจกระแสน้ำ ก้องกังวานเร้าระทึกเหนือเก้าชั้นฟ้า ยามกระบี่มรรคเล่มนั้นพุ่งออกไป กลางฟ้าดินรัตติกาลนิรันดร์และทิวากาลหมุนเปลี่ยนโคจร วิวัฒน์เป็นปราณกระบี่หยินหยางแหวกออกไป

กระบี่แยกสองลักษณ์ ขาวดำเปลี่ยนเป็นพิศวง!

อานุภาพของกระบี่เดียวมากพอจะทำลายภูผาธารา ตัดแบ่งความยิ่งใหญ่ของเขตแดนมืดสว่าง

เงาร่างของหลินสวินแน่นิ่งไม่ขยับ พลันดีดนิ้วทันที

ฟุ่บ!

ปราณกระบี่ไท่เสวียนสายหนึ่งพุ่งออกไป เสียงปึงดังสนั่น ผ่าแหวกสีขาวดำทั่วฟ้า กระแทกกระบี่มรรคเล่มนั้นปลิวกระเด็น

ร่างกายของจู๋อิ้งคงซวนเซเล็กน้อย เขาสูดหายใจลึก ร่างส่องประกาย ด้านหลังเขาปรากฏเงามายาจู๋หลงที่เบียดแน่นฟ้าดินตัวหนึ่ง ดวงตาทั้งสองใหญ่ราวทะเลสาบ ส่องสะท้อนปวงสวรรค์หมื่นพิภพ

“โอม!”

จู๋อิ้งคงก้าวไปข้างหน้า รวบมือทั้งสองเป็นประทับกระบี่แล้วแทงออกไปทันที

ตูม!

ปราณกระบี่เล่มนั้นที่เดิมถูกซัดกระเด็นส่งเสียงกัมปนาท ประสานเข้ากับพลังของเงามายาจู๋หลงแล้วพุ่งออกไปทันใด

กระบี่เดียวที่เรียบง่ายธรรมดา กลับมีคมประกายที่ไม่อาจขวางกั้น!

นัยน์ตาของหลินสวินฉายแววประหลาด มองออกว่าจู๋อิ้งคงก็เหยียบธรณีประตูของการเสาะหาวิชาแห่งตนแล้ว ฤทธิ์เดชของกระบี่นี้เรียกได้ว่าชวนตะลึงหาใดเปรียบ

น่าเสียดาย สำหรับเขาแล้วยังไม่อาจสร้างแรงคุกคามได้เหมือนเดิม!

“ทะยาน!”

ฮูม… ปราณกระบี่ไท่เสวียนทั่วฟ้าม้วนซัดออกมาไขว้ตัดสลับกัน เผยให้เห็นค่ายกลกระบี่ที่แน่นขนัดแผ่กว้างค่ายหนึ่ง

ไม่ทันไรเสียงปะทะสะท้านฟ้าสะเทือนดินก็ดังขึ้น เมฆบนเวิ้งฟ้าพังทลาย ห้วงอากาศปั่นป่วน กำแพงเมืองที่สูงเด่นตั้งตระหง่านอยู่ด้านล่างล้วนพังทลายสนั่นหวั่นไหว

พรูด!

ร่างกายของจู๋อิ้งคงสั่นสะเทือนรุนแรง กระอักเลือดแดงก่ำคำหนึ่งออกมาทันที นัยน์ตาเขาไหววูบ สาดแสงชวนประหวั่นออกมา

เขาสังเกตเห็นว่าเทียบกับตอนที่อยู่ในสมรภูมิเซียนเหินแล้ว พลังของหลินสวินถึงกับแข็งแกร่งขึ้นอีกช่วงใหญ่!

“ถ้าเจ้าไม่ไหวก็บอกเบาะแสเกี่ยวกับปาฉีมา แล้วข้าจะให้เจ้าตายอย่างสมเกียรติ”

หลินสวินสองมือไพล่หลัง เงาร่างโดดเด่นละโลกีย์ ชายเสื้อพลิ้วไหว สง่างามหาใดเปรียบเหมือนเทพเซียนองค์หนึ่ง

“มาอีก!”

จู๋อิ้งคงพลันตวาดลั่น ผมยาวทั้งศีรษะแผ่สยาย แววตาของเขาล้ำลึกเจิดจรัส ร่างกายส่องสว่างเรืองรอง ห้วงอากาศใกล้เคียงถูกกลิ่นอายทั่วร่างเขาบีบกดจนพังทลายแตกระแหง

ครั้งนี้เขาถือกระบี่มรรคพุ่งสังหารราวกับแสงลุกโชนสายหนึ่ง

นัยน์ตาหลินสวินหดรัด

เจ้าหมอนี่กำลังสู้สุดชีวิต!

คนกับกระบี่รวมเป็นหนึ่ง ทุ่มพลังทั้งหมดไปที่การโจมตีเดียว กลิ่นอายราวกับจะทำลายล้างนั้นทำให้ฟ้าดินแถบนี้มืดสลัว

หลินสวินไม่แม้แต่จะคิด รวบนิ้วเป็นกระบี่จ้วงแทงออกไปเช่นกัน

ฟุ่บ!

ปราณกระบี่สายหนึ่งพุ่งออกไป อานุภาพของมันไร้ใดเปรียบจนทำให้เทพผีตกตะลึง ไปไร้หวน!

ช่วงเวลาที่ปราณกระบี่สองสายปะทะกัน ฟ้าดินราวกับผ้าใบผืนหนึ่งที่ถูกขยี้ในทันที ปราณกระบี่ไร้ใดเปรียบม้วนซัดแปรปรวนไปทั่วทิศ ทุกหนแห่งที่พาดผ่าน พื้นปฐพีแตกระแหง ภูเขาสูงใหญ่พังทลาย

เมืองอารักษ์มรรคที่กว้างใหญ่นั้นยังถูกสะบั้นแหลกไปครึ่งหนึ่งอย่างแข็งกร้าว!

ฉัวะ!

บนอากาศ จู๋อิ้งคงกระเด็นลอยออกไปอย่างหนักหน่วงราวกับว่าวสายป่านขาด จมูกปากกบเลือด ตรงหน้าอกของเขาถึงกับมีรูโหว่เลือดไหลทะลักทะลวง

แต่ร่างของหลินสวินแค่ซวนเซเล็กน้อย เสื้อผ้าเกิดเสียงสะบัดโบก

เมื่อจู๋อิ้งคงยืนมั่นก็ไออย่างรุนแรง หน้าตาสับสนกล่าวทอดถอนใจ “มีเจ้าหลินสวินอยู่ ดินแดนรกร้างโบราณช่างโชคดีแค่ไหน! พวกเราแปดดินแดนทำไมช่างน่าเศร้าเช่นนี้!”

เขาผมเผ้ายุ่งเหยิง ร่างกายโชกเลือด หน้าซีดเผือดโปร่งแสง แต่แผ่นหลังยังตรงดิ่งเหมือนทวนยาว

นัยน์ตาหลินสวินเยียบเย็น ไม่โศกเศร้ายินดี ทั้งไม่เวทนาสงสาร

สาเหตุที่รับปากอีกฝ่ายว่าจะสู้อย่างยุติธรรม ไม่ได้มาจากการยอมรับและชื่นชม หากแต่เพื่อให้ได้มาซึ่งเบาะแสของปาฉี

บางทีจู๋อิ้งคงอาจเป็นบุคคลแห่งยุคที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง แต่ยังไม่มีค่าพอให้เขาหลินสวินใส่ใจและเลื่อมใส

ไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกันย่อมมีใจแตกต่าง ในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดน คำพูดนี้ไม่มีทางเป็นเท็จ

“ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว ข้าเคยได้ยินผู้อาวุโสในเผ่าพูดว่า สมัยแรกสุดดินแดนรกร้างโบราณเป็นราชันอันดับหนึ่งในเก้าดินแดน ทำให้แปดดินแดนอื่นได้แต่ก้มหัวยอมสวามิภักดิ์ แหงนมองราวกับนายเหนือหัว”

แววตาของจู๋อิ้งคงเลือนรางและเลื่อนลอย กล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “ก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่เคยเชื่อเรื่องนี้มาก่อน เพราะว่า… ดินแดนรกร้างโบราณอ่อนแอเกินไปจริงๆ! เหมือนกับมดปลวกใต้ฝ่าเท้า เจ้าจะใส่ใจการมีอยู่ของมันไหม”

พูดถึงตรงนี้เขาเหลือบมองหลินสวินอีกครั้ง “แม้แต่ตอนนี้ดินแดนรกร้างโบราณก็ยังอ่อนแอเกินไป หากไม่มีเจ้าหลินสวิน ครั้งนี้ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณคงพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย!”

วาจาราบเรียบไม่ระบายโทสะ แค่กำลังบรรยายความเป็นจริงเท่านั้น

ใช่ ต่อให้ครั้งนี้ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณได้ชัยชนะ แต่ในสายตาของจู๋อิ้งคง โลกอย่างดินแดนรกร้างโบราณก็ยังสู้แปดดินแดนอื่นไม่ได้อยู่ดี!

หลินสวินสีหน้าราบเรียบ “ข้าแค่อยากรู้เบาะแสของปาฉี”

มุมปากของจู๋อิ้งคงกระตุกเล็กน้อย เผยรอยยิ้มเยาะตนเองให้เห็น “ก็ถูก ชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร ในเมื่อแพ้แล้วก็ควรยอมรับ”

ปาฉี หนึ่งในผู้ก่อตั้ง ‘สำนักโบราณจรัสเทพ’ แห่งดินแดนโบราณยอดหยิน ยกทัพกรำศึกที่ชายแดนมานานปี มีพลังปราณระดับกึ่งจักรพรรดิ

นี่ก็คือคำตอบของจู๋อิ้งคง

กล่าวถึงตอนท้าย ในแววตาของจู๋อิ้งคงฉายประกายแปลกประหลาดสายหนึ่ง “ด้วยพลังของเจ้า ภายหน้ายามก้าวสู่ระดับกึ่งจักรพรรดิคงพอจะสังหารปาฉีได้อย่างง่ายดาย แต่ข้ากังวลว่าเจ้าจะแบกรับเพลิงโทสะของสำนักโบราณจรัสเทพไม่อยู่”

“อ้อ” หลินสวินพลันเลิกคิ้ว

จู๋อิ้งคงยิ้มแล้ว “รู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องไม่เชื่อ แต่ภายหน้าเจ้าจะเข้าใจเอง ว่าสำนักโบราณจรัสเทพเป็นขุมอำนาจที่น่ากลัวแค่ไหน”

พูดจบเขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า สีหน้าผิดหวัง

นานพอควร สายตาเขามองไปทางหลินสวินอีกครั้ง สีหน้าไม่โศกเศร้ายินดี ไม่มีคลื่นลมแม้แต่น้อย “ได้ตายด้วยมือเจ้าหลินสวิน… ก็นับว่าไม่เลว…”

น้ำเสียงแผ่วเบาลงเรื่อยๆ ถึงตอนท้ายสุดก็ไม่มีเสียงอะไรอีก

ตัวเขายังยืนตระหง่านอยู่กลางอากาศ สันหลังยังตรงดิ่ง แต่กลิ่นอายทั่วร่างได้ดับมอดลงอย่างสมบูรณ์

หลินสวินเห็นภาพนี้แล้วคิดไปคิดมา ก่อนสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง

ตูม!

พื้นดินแยกออกเป็นหลุมใหญ่ที่ลึกล้ำยากหยั่งถึง

“ในฐานะที่เป็นศัตรูยังนับว่ามีคำสัตย์ ข้าเคยบอกว่าจะให้เจ้าตายอย่างมีเกียรติ วันนี้จะฝังเจ้าไว้ที่นี่เพื่อให้ตายอย่างสงบ”

ขณะกล่าวหลินสวินแผ่พลังไร้รูปหนึ่งออกไป ฝังร่างไร้วิญญาณของจู๋อิ้งคงลงไปในหลุมใหญ่ใต้ดินนั้น

จากนั้นค่อยกลบหลุม ตกแต่งหลุมศพอย่างพอเป็นพิธี ตั้งป้ายไว้ข้างหน้าสลักว่า ‘สุสานของจู๋อิ้งคง’

“พี่ใหญ่ ทำไมต้องแต่งหลุมตั้งป้ายให้ศัตรูด้วย”

ไม่รู้ว่าเจ้าคางคกกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ สีหน้าดูไม่เข้าใจ

“นี่ก็คือความต่างของพวกเราและพวกเขาแปดดินแดน”

หลินสวินกล่าวลอยๆ “ทั้งข้ายังรับปากเขาแล้วว่าจะให้ตายอย่างมีเกียรติ”

เขาเงยหน้ามองไปยังจุดที่ห่างออกไป

การต่อสู้ในเมืองอารักษ์มรรคใกล้จะปิดฉากแล้ว ทั้งเมืองเต็มไปด้วยสัญญาณของการพังทลายและล่มสลาย ราวกับแดนปรักหักพังที่น้ำเลือดหลั่งชโลมแห่งหนึ่ง

ไม่นานพวกอาหลู่ เซ่าเฮ่า รั่วอู่ทยอยกลับมา แต่ละคนต่างราศีจับเปล่งประกายเจือความแช่มชื่นสะใจ

การต่อสู้สิ้นสุดแล้ว

เมืองที่กว้างใหญ่นั้น นอกจากพวกที่ชิงหนีตายไปก่อน คนอื่นที่เหลือล้วนถูกฆ่าตายหมด!

“สะใจ! สะใจ! คำว่าลูกผู้ชายต้องควบทะยานบนสมรภูมิคืออย่างนี้นี่เอง!”

อาหลู่ตะโกนลั่น

“อุดมการณ์ยิ่งใหญ่นิจนิรันดร์ สิ้นสุดที่การเข่นฆ่าศัตรู ค่ายทัพดินแดนโบราณยอดหยินเท่ากับถูกพวกเราขุดรากถอนโคน ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะฟื้นคืนกลับมาอีก”

เซ่าเฮ่ายิ้มกล่าว สีหน้ามีความรู้สึกยินดีหลังจากยากลำบากมานานเช่นกัน

ขณะที่ทุกคนกำลังออกความเห็นก็เห็นหลินสวินทะยานสู่ฟากฟ้า นั่งขัดสมาธิอยู่บนฟ้าสูง เคร่งขรึมมีสง่า ทั่วร่างส่องประกายสว่างไสวไร้สิ้นสุด

ราวกับมุนินทร์มาเยือนโลก!

เสียงธรรมกึกก้องแผ่กลิ่นอายเมตตาอาสูรพร่ำออกจากปากของหลินสวินเป็นระลอก สะท้อนก้องอยู่กลางฟ้าดิน

ดอกบัวบริสุทธิ์มากมายรวมตัวกันกลางอากาศ จากนั้นก็โปรยปรายลงมา

ดอกบัวแต่ละดอกล้วนเปล่งประกายดั่งเครื่องแก้ว วิวัฒน์มาจากพลังธรรมบริสุทธิ์ ราวกับโคมแห่งการข้ามเคราะห์ดวงหนึ่งชี้นำทางกลับบ้านแก่ดวงวิญญาณที่ล่วงลับ

นี่คือวิชาที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์มหาครรภ์จุติ มีความอัศจรรย์ในการโปรดวิญญาณให้หลุดพ้น

“พี่หลินเขากำลังทำอะไรหรือ”

มีคนสงสัย

“นานมาแล้วพี่ใหญ่เคยบอกว่า ยามเหยียบย่ำเมืองของศัตรูได้ เขาจะนำศพของเหล่าบรรพชนทั้งหมดกลับไปฝังลงดินอย่างสงบ!”

เจ้าคางคกสูดหายใจลึก สีหน้าเจือความเคารพนับถือ

ความรู้สึกในใจของทุกคนต่างสะท้านสะเทือนขึ้นมา มองเงาร่างเคร่งขรึมมีสง่าที่นั่งอยู่ในชั้นเมฆนั้นแล้ว ไม่มีใครไม่ไหวหวั่น

ฟ้าดินเงียบสงัดในชั่วขณะเดียว มีเพียงเสียงธรรมที่แผ่กว้างสะท้อนก้องเป็นระลอก มีดอกบัวบริสุทธิ์ดั่งเครื่องแก้วนับไม่ถ้วนโปรยปรายทั้งในและนอกเมืองที่ราวกับซากปรักหักพัง

วันนี้ หลินสวินนำผู้แข็งแกร่งของค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณทั้งหมดมาทำลายเมืองอารักษ์มรรคของโลกยอดหยิน สังหารหมื่นศัตรู เหยียบย่ำค่ายทัพดินแดนโบราณยอดหยินจนได้ชัยชนะครั้งใหญ่!

หลังออกจากโลกยอดหยิน พวกหลินสวินไม่กลับไปที่ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณ หากแต่รีบบุกไปยังโลกมารโลหิตที่อยู่ติดกับโลกยอดหยินทันที

ที่นั่นคือค่ายทัพของดินแดนโบราณมารโลหิต!

………………..