ดารากฎการเวียนว่ายตายเกิดสอดคล้องกับสีขาวและดำ ดารากฎปริภูมิผลุบ ๆ โผล่ ๆ มองไม่เห็นดารากฎเวลา มีสารไร้รูป

เสี้ยววินาทีที่กฎดาราสี่ดวงผนึกรวมกันจนเป็นแก่นแท้ ออร่าผลการฝึกตนที่มากมายมหาศาลก็ปะทุออกมาจากร่างกายหลัวซิว ส่งผลให้ผลการฝึกตนของเขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งบรรลุถึงเทพฟ้าขั้น 3 !

หลัวซิวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา มีรัศมีเทวที่แวววาวจับตาลอยวนเป็นเกลียวอยู่รอบกาย ปรากฏการณ์แปลกประหลาดของวิถียุทธ์ก็ปรากฏหลังศีรษะเช่นกัน ห้วงดาราหนึ่งขยายออก ตรงกลางคือวัฏสงสาร มีดารา 39 ดวงโอบล้อม มีเพียงดาราที่กลายมากฎเวลาเท่านั้นที่มีสารไร้รูป มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

“ศักยภาพแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อยเลย ทว่าก็ยังห่างจากมกุฏเทพไม่น้อยเลย”

แดนยุทธ์ยิ่งถึงช่วงหลัง ช่วงระยะความต่างก็ยิ่งมาก ครั้นเมื่ออยู่ระดับเทพมารเขาสามารถต่อกรกับราชาเทพได้ แต่หลังจากบรรลุถึงเทพฟ้าแล้ว กลับไม่สามารถต่อกรกับมกุฎเทพได้ เป็นได้เพียงเจ้าถิ่นที่มีอิทธิพลในระดับราชาเทพ

เขาคำนวณเวลาในใจครู่หนึ่ง การปิดขังในครั้งนี้ใช้เวลาไปเกือบห้าปี เนื่องจากอยู่ในโลกาศุภร โลกภายนอกผ่านไปประมาณครึ่งปีกว่า

“โชคดีที่มีเศษใจแห่งศุภร”

นี่จึงทำให้หลัวซิวรู้สึกทอดถอนใจมาก แดนยุทธ์ยิ่งถึงช่วงหลัง การยกระดับในแต่ละแดนก็จะยิ่งยาก ไม่เพียงแค่ต้องการพรสวรรค์และสติปัญญาของตัวนักยุทธ์เอง แต่ยังต้องการทรัพยากรที่เพียงพอ รวมไปถึงเวลาที่เพียงพอด้วย

ยกตัวอย่างเช่นผลการฝึกตนในปัจจุบันของเขาอยู่แดนเทพฟ้า การที่เทพฟ้าจำนวนมากปิดขังเพื่อทลายจุดตีบตันเป็นเวลาหลายร้อยปีนั้น เป็นเรื่องที่ปกติมาก ๆ

ในช่วงเวลาที่รางเลือน เหมือนเขาพอจะเข้าใจสาเหตุที่ซือถูเจิ้งเจี้ยนรวมไปถึงกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังอยากได้เศษใจแห่งศุภรมาตลอดแล้ว หากมีการสนับสนุนจากโลกาศุกภร เช่นนั้นก็จะสามารถผลิตยอดฝีมือออกมาเป็นจำนวนมากเลยมิใช่หรือ?

มาตรแม้นว่ามองในมุมคนที่มีพรสวรรค์ไม่มากพอ หากอาศัยโลกาศุภรก็สามารถลดระยะความต่างกับเหล่าอัจฉริยะให้สั้นลงได้ จุดตีบตันที่ต้องใช้เวลาเป็นพันปีถึงจะสามารถทลายได้ในอดีต เมื่ออยู่ในโลกศุภรใช้เวลาเพียงร้อยปีก็สามารถทลายได้แล้ว ประหยัดเวลาเท่ากับประหยัดอายุไข ประหยัดอายุไขก็เท่ากับมีเวลาที่มากกว่าเพื่อทลายสู่แดนที่สูงกว่า!

นี่เป็นเพียงเศษหนึ่งของใจแห่งศุภรเท่านั้น หากเป็นใจแห่งศุภรที่สมบูรณ์ครบถ้วนละก็ มันจะน่าสยดสยองมากเพียงใดกันนะ?

อย่างน้อยเท่าที่หลัวซิวทราบ ใจแห่งศุภรที่สมบูรณ์ครบถ้วนเป็นสิ่งล้ำค่าที่อยู่ในระดับเดียวกันกับลูกแก้วความเป็นตาย

ตรวจเช็คจำนวนยาที่ยังเหลือในมือ การปิดขังเพียงครั้งเดียวเท่านั้น จากเทพฟ้าขั้น 1 ถึงเทพฟ้าขั้น 3 ก็สูญเสียยาเซียนระดับ 8 ไปร้อยกว่าเม็ดแล้ว ขั้น 3 และขั้น 4 คือจุดตีบตันหนึ่งจุด ยาเซียนระดับ 8 อีกร้อยกว่าเม็ดที่เหลือ หลัวซิวเกรงว่าคงมีไม่พอสำหรับการทำให้ตนบรรลุสำเร็จแน่

และการที่เขาบรรลุสำเร็จภายในเวลาสั้น ๆ เพียงห้าปีนั้น จะมองข้ามคุณูปการของพลังจุติมรณะและเคล็ดแสงดาวเทียนเต้าไม่ได้เลย เนื่องจากเมื่อรวมวรยุทธ์ทั้งสองนี้เข้าด้วยกันแล้ว สามารถกลั่นแปรฤทธิ์ยาที่ซ่อนอยู่ในยาเซียนได้เร็วมาก ๆ ทำให้ประหยัดเวลาไปได้เยอะมาก

ฤทธิ์ยาที่แฝงซ่อนอยู่ในยาเซียนระดับ 8 หนึ่งเม็ดนั้น มาตรแม้นว่าให้ยอดฝีมือระดับราชาเทพช่วงกลางกลืนกิน โดยทั่วไปแล้วก็ต้องใช้เวลาในการกลั่นแปรเกือบหลายปีเลย

ซึ่งเช่นนี้ก็หมายความว่า การที่ราชาเทพช่วงกลางคนหนึ่งจะกลั่นแปรยาเซียนหนึ่งร้อยเม็ดนั้น ต้องใช้เวลาเป็นพันปี ทว่าหลัวซิวกลับใช้เวลาเพียงห้าปีเท่านั้นก็สามารถทำถึงขั้นนี้ได้แล้ว

และในเวลานี้เอง จู่ ๆ หลัวซิวก็ขมวดคิ้วลง ยกมือขึ้นมาโบกทีหนึ่ง เศษใจแห่งศุภรก็ลอยหายเข้าไปในห้วงจักรหยั่งรู้ เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังที่ส่งถ่ายมาจากค่ายกลที่อยู่โลกภายนอก

“ผู้เพื่อนยุทธ์เย่อยู่รึเปล่า?”

ผู้ที่อยู่ข้างนอกค่ายกลก็คืออิงบูเฉิงนั่นเอง การติดต่อระหว่างหลัวซิวและงานประมูลอัคคีนภา มีอิงบูเฉิงเป็นคนกลางที่ช่วยประสาน

“ผู้ดูแลอิงเชิญเข้า”

เสียงอันเรียบนิ่งของหลัวซิวสะท้อนออกไป ถัดจากนั้นก็มีประตูบานถูกเปิดออกบนม่านแสงค่ายกล อนุญาตให้อิงบูเฉิงเดินเข้ามา