เซอเยว่เอ่ย “ข้าชื่อเซอเชี่ยนเยว่ มาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง”
แม่นางหน้ากลมสวมชุดผ้าฝ้ายค่อนข้างจะพอใจในคำกล่าวที่มีไหวพริบนี้ของตน นี่ก็คือความหัวไวและประสบการณ์เก่าแก่ที่คนท่องยุทธภพสมควรจะมี
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ยชม “แม่นางมีชื่อที่ดี”
เซอเยว่ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถามว่า “เจ้าเป็นบัณฑิตหรือ?”
หลิวเสี้ยนหยางเองก็สองจิตสองใจ ก่อนตอบด้วยเสียงทุ้มหนักสีหน้าจริงจัง “จะไม่เป็นก็ได้”
เดิมทีคิดถ้อยคำดีๆ เอาไว้มากมาย ยกตัวอย่างเช่นในชีวิตได้สวมใส่ผ้าเนื้อหยาบ อ่านตำรามามากกลิ่นตำราจึงติดตัวอะไรทำนองนั้น แต่ดูท่าแล้วคงจะเอามาใช้ไม่ได้
จะไม่เป็นก็ได้? ไม่เสียแรงที่เป็นบัณฑิต
ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าต้องเป็นแน่นอน
เซอเยว่หมุนตัวเตรียมจะจากไป
นางคิดว่าจะไปหาภูเขาที่เงียบสงบสักลูกหุงข้าวกิน ทางที่สุดที่สุดไม่ว่าใครก็ไม่อาจเห็นข้าได้
หลิวเสี้ยนหยางวิ่งตุปัดตุเป๋ตามไป ห่างจากแม่นางหน้ากลมมาสี่ห้าก้าว ไม่กล้าทำตัวบุ่มบ่ามใส่คนงาม เขาเดินหันข้าง “แม่นางเชี่ยนเยว่ อยู่ห่างอีกแค่ไม่กี่ก้าวแล้ว ไม่อยากไปดูอำเภอไหวหวงของพวกเราสักหน่อยหรือ? ในตรอกฉีหลงมีสถานที่ดีๆ แห่งหนึ่งชื่อว่าร้านยาสุ้ย ขนมอร่อยจนกินแทนข้าวได้เลย ราคาถูกด้วยนะ”
เซอเยว่ส่ายหน้า
หลิวเสี้ยนหยางจึงได้แต่หยุดเท้า
เซอเยว่พลันขมวดคิ้วมุ่น ถามสามคำถามออกมารวดเดียว “คุณชาย…หลิว เจ้าเคยได้ยินชื่อภูเขาลั่วพั่วหรือไม่? ที่นี่อยู่ห่างจากภูเขาลั่วพั่วไกลไหม? ไม่ใกล้กระมัง?”
หลิวเสี้ยนหยางพยักหน้ารับ “ไม่ใกล้…กระมัง”
ภูเขาลั่วพั่วของเฉินผิงอันอยู่ห่างจากร้านตีเหล็กริมลำคลองไม่ถือว่าใกล้จริงๆ
เซอเยว่ผ่อนลมหายใจโล่งอก
สุดท้ายนางไม่ได้ให้หลิวเสี้ยนหยางผู้นั้นตามไป คิดว่าจะไปที่เมืองเล็กสักหน่อย บนร่างของนางพอจะมีเงินเทพเซียนและเงินกับทองที่ใช้ในหมู่ชาวบ้านอยู่บ้าง ต่อให้ไม่สามารถพูดภาษาทางการของที่นี่ได้ ตอนซื้อของก็แค่จ่ายเงินมากหน่อยก็พอ ส่วนร้านยาสุ้ยตรอกฉีหลงอะไรนั่น นางไม่มีทางไปเด็ดขาด ทว่าภูเขาของที่นั่นกลับจะต้องไปมองอยู่ไกลๆ สักหน่อย
หลิวเสี้ยนหยางเองก็ไม่ได้ตอแยแม่นางเชี่ยนเยว่ที่เดินทางมาไกลผู้นี้มากนัก เพียงแค่เอ่ยเตือนนางว่าที่นี่ห้ามทะยานลมตามแต่ใจ เพราะมีกฎอยู่ แล้วยังเป็นกฎที่ช่างตีเหล็กนิสัยคร่ำครึคนหนึ่งเป็นผู้ตั้งอีกด้วย เซอเยว่เอ่ยขอบคุณคนหนุ่มแซ่หลิวด้วยความจริงใจไปหนึ่งคำ นางไม่มีทางทะยานลมง่ายๆ สถานที่ที่มีชื่อว่าจังหวัดหลงโจวแห่งนี้มหัศจรรย์พันลึกมากเกินไป ปราณวิญญาณในขุนเขาสายน้ำเปี่ยมล้นจนเกินกว่าเหตุ บวกกับที่อาณาเขตไม่กว้างใหญ่ แต่กลับรวบรวมศาลเทพที่มีควันธูปโชติช่วงไว้มากมายขนาดนั้น หากอยู่ที่ใบถงทวีป เซอเยว่ก็คงไม่รู้สึกกริ่งเกรงถึงเพียงนี้ น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง หากใครคิดจะมาหาเรื่องนางจริงๆ นางก็ไม่ถือสาที่จะตอบโต้กลับไป ขอแค่ไม่ใช่พวกคนที่สมองมีปัญหาอย่างเจียงซ่างเจิน ไม่ว่าใครนางก็ไม่กลัวทั้งนั้น แต่ในแจกันสมบัติทวีปที่ขุนเขาสายน้ำเล็ก ทว่าเรื่องประหลาดกลับมากมายแห่งนี้ เซอเยว่รู้สึกว่าไม่ว่าตัวเองเดินไปที่ไหนก็ไม่สงบปลอดภัย หากไม่เป็นเพราะเซอเยว่มีชาติกำเนิดมาจากเผ่าปีศาจแท้ๆ นางถูกโยนทิ้งไว้ที่ไหนก็คงต้องยืนนิ่งอยู่ที่นั่นไม่ขยับอย่างแน่นอน
หลิวเสี้ยนหยางกลับไปที่ร้าน ไปนั่งงีบหลับบนม้านั่งไม้ไผ่ใต้ชายคา ปล่อยดวงจิตล่องลอยไกลหมื่นลี้ต่อไป
เซอเยว่ไปเดินเล่นอยู่ในอำเภอ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังภูเขาลูกที่มีแสงจันทร์เยอะมาก ตรงหน้าประตูภูเขานางได้เจอกับภูตน้ำน้อยตนหนึ่งที่แค่เห็นก็ชื่นชอบทันที
แม่นางน้อยชุดดำยกเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กมานั่งอยู่ใต้ซุ้มประตูภูเขา อีกด้านหนึ่งวางคานหาบสีทองอันเล็กและไม้เท้าเดินป่าสีเขียวพาดไว้เอียงๆ ราวกับว่าแม่นางน้อยต้องการจะทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาลร่วมกับสหายทั้งสอง
ช่วงเช้าและเย็นของทุกวันแม่นางน้อยชุดดำจะต้องออกไปลาดตระเวนภูเขาเพียงลำพัง หลังจากวิ่งตะบึงไปตลอดทางแล้วก็จะรีบกลับมาเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูภูเขา
อวี๋หมี่เดินทางไกลไปยังอุตรกุรุทวีป เผยเฉียนกลับมาบ้านก็ลงจากภูเขาไปอีก ดังนั้นจึงดูเหมือนว่าทุกวันยามเช้าตรู่ภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้จะไม่ต้องไปเป็นเทพทวารบาลให้ใครแล้ว ทุกวันเดินตรวจตราภูเขาเพียงลำพัง ก็แค่ให้จิ่งชิงไปยังภูเขาใต้อาณัติอย่างภูเขาฮุยเหมิง ภูเขาหวงหู เลือกเอาต้นไม้ใบหญ้าบางส่วนมาปลูกไว้บนภูเขาลั่วพั่วก็เท่านั้น
เหตุใดเมฆขาวไม่ต้องฝึกตนก็บินได้ น้ำในลำธารไหลไปไกลขนาดนั้นเหนื่อยหรือไม่ ตอนที่สายลมพัดผ่านต้นไม้ ใบไม้จะสะดุ้งตกใจตื่นเพราะเสียงดังหรือไม่
ปลาน้อยกินใบบัว ภูเขาสายน้ำสบายดี วิถีทางโลกราบเรียบ ชาวประชาสันติสุข
เพียงแต่ว่าโจวมี่ลี่ในทุกวันนี้มีความกลัดกลุ้มเล็กๆ ที่ไม่สะดวกจะระบายให้พี่หญิงหน่วนซู่ฟัง
เพราะคนจิ๋วควันธูปที่มาขานชื่อตามเวลาโมโหอย่างหนัก บอกว่าไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ถึงกับมีคนบอกว่าผู้ถวายงานภูเขาลั่วพั่วของพวกเราเป็นเพียงแค่ภูตน้ำน้อยขอบเขตถ้ำสถิตเท่านั้น
โจวหมี่ลี่ไม่ได้โกรธเคืองสักเท่าไร ตอนนั้นนางก็แค่เกาแก้ม บอกว่าเดิมทีขอบเขตของข้าก็ไม่สูงอยู่แล้วนี่นา
เพียงแต่ว่าหลังจากนั้นมา ยามเจอกับพี่หญิงหน่วนซู่และจิ่งชิง นางจะยังคงพูดเจื้อยแจ้วอยู่เหมือนเดิม ทว่ายามที่อยู่เพียงลำพัง แม่นางน้อยชุดดำกลับไม่ค่อยชอบพูดคุยกับตัวเองเหมือนเก่าแล้ว กลายมาเป็นคนใบ้น้อยที่ชอบเกาหัวเกาแก้มแทน
เมื่อก่อนแม่นางน้อยจะไปหาพ่อครัวเฒ่า บอกว่าข้าเรียนวิชาหมัดล้ำโลกมาจากเผยเฉียน เจ้าตัวสูง ยอมให้ข้าก่อนสามกระบวนท่า พอต่อสู้เสร็จเรียบร้อยก็เผ่นหนี
หมี่ลี่น้อยในตอนนี้มักจะไปดูโถเก็บเงินหลายใบนั้นบ่อยๆ นางกับเผยเฉียนและพี่หญิงหน่วนซู่มีกันคนละใบ ล้วนเป็นโถกระเบื้องสีขาวใบเล็ก
เตาเผามังกรของจังหวัดหลงโจวในทุกวันนี้ไม่ต้องผลิตเครื่องบรรณาการให้กับเชื้อพระวงศ์สกุลซ่งต้าหลี มีชื่อเสียงอยู่ล่างภูเขาอีกแล้ว
เมื่อก่อนโจวมี่ลี่ใช้แต่ละนิ้วคำนวณชะตาฟ้า ทุกวันนี้ใช้แต่ละนิ้วนับจำนวนปี ดังนั้นโจวมี่ลี่จึงเริ่มคัดตัวอักษร ตัดกระดาษกลอนคู่กระดาษแดง เขียนกระดาษแผ่นเล็กๆ ทำนองว่า ‘วสันต์คิมหันต์สารทเหมันต์ สงบสุขปลอดภัยสี่ฤดูกาล’ แล้วเอาไปแปะไว้บนโถเก็บเงิน
ดังนั้นหมี่ลี่น้อยในเวลานี้จึงกำลังแอบกลัดกลุ้มอยู่กับตัวเอง จากนั้นนางก็มองเห็นพี่สาวหน้ากลมที่มาเป็นแขกที่บ้านตัวเอง
เซอเยว่เปลี่ยนใจ เอ่ยถามแม่นางน้อยคนนั้นอยู่ไกลๆ “เจ้าพูดภาษากลางของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเป็นหรือไม่?”
อันที่จริงโจวหมี่ลี่แอบชำเลืองตามองพี่สาวน่ารักใบหน้ากลมดิกผู้นั้นอยู่นานแล้ว นางรีบลุกขึ้นยืนกุมมือคารวะ จากนั้นก็วิ่งปรู๊ดไปอยู่เบื้องหน้าเซอเยว่ แล้วพลันหยุดกึกยืนนิ่ง “รู้จักๆ แต่ว่าพูดไม่ค่อยเก่งเท่าไรนะ”
เซอเยว่หัวเราะ พรรคตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่ให้ขอบเขตถ้ำสถิตมาเป็นคนเฝ้าประตู อีกทั้งยังเป็นภูตตนหนึ่งด้วย คิดดูแล้วรากฐานคงไม่ค่อยสูงสักเท่าไร แต่ก็ดีมากนะ แม่นางน้อยตรงหน้าคนนี้น่ารักจะตายไป เซอเยว่พลันรู้สึกประทับใจในภูเขาลูกนี้อย่างมาก ถึงขนาดยินดีให้ภูตน้ำน้อยตนหนึ่งมาเป็นคนเฝ้าประตู ขนบธรรมเนียมต้องดีมากอย่างแน่นอน
ดังนั้นเซอเยว่จึงถามว่า “ที่นี่คือ?”
“หา?”
แม่นางน้อยเกาแก้ม คล้ายจะคิดไม่ถึงว่าพี่สาวคนนี้ถึงขั้นไม่รู้จักชื่อเสียงอันเลื่องลือของภูเขาบ้านตน ไม่เป็นไร ตนเล่าให้พี่สาวฟังเองก็ได้ นี่เป็นหน้าที่ของนาง แล้วยังสร้างคุณความชอบเล็กๆ อีกด้วย เดี๋ยวกลับไปจะต้องไปขอคุณความชอบจากเผยเฉียน
ดังนั้นหมี่ลี่น้อยจึงยืดอกตั้ง เขย่งปลายเท้า สองแขนกอดอก พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “บ้านข้าก็คือภูเขาลั่วพั่วไงล่ะ! เจ้าขุนเขาคนดีของข้าแซ่เฉิน พี่หญิงรู้จักหรือไม่ รู้จักหรือไม่?”
แจกันสมบัติทวีป ภูเขาลั่วพั่ว เจ้าขุนเขาแซ่เฉิน แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมายังโลกมนุษย์ ดูเหมือนว่าสถานที่แห่งนี้จะยึดครองไปเยอะที่สุด
สีหน้าเซอเยว่แข็งค้าง เก็บมือทั้งสองข้างกลับมาเงียบๆ ไม่กล้าตบหน้าตัวเองแรงๆ จึงได้แต่วางลงบนแก้มเบาๆ
ไม่มีใครเขารังแกกันแบบนี้หรอกนะ
……
บนสนามรบนอกมหาสมุทรของทักษินาตยทวีป กองทัพเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีจำนวนเยอะมาก แต่กระนั้นก็ยังคงไม่รีบร้อนรุกรานบุกขึ้นฝั่ง
ได้ยินมาว่าบนอาณาเขตซากปรักเก่าของนครมังกรเฒ่าที่อยู่ทางทิศใต้สุดของแจกันสมบัติทวีล้วนแหลกเละไม่เหลือชิ้นดีแล้ว เพราะถูกซิ่วหู่ชุยฉานใช้เวทคาถาชั้นสูงไร้เทียมทาน นำตราประทับอักษรภูเขาตัวหนึ่งที่ขนาดไม่เป็นรองภูเขาห้อยหัวกระแทกทุบพื้นดินของทิศใต้สุดให้ปริแตก บนสนามรบของขุนเขาใต้ กองทัพม้าเหล็กต้าหลีและกองทัพชายแดนแคว้นใต้อาณัติที่จับมือกับเซียนซือบนภูเขาก็ยิ่งสามารถสกัดขวางกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่ขึ้นฝั่งไปได้สำเร็จ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ถอยร่น
ในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าไพศาล ไม่เคยมีสนามรบแห่งใด ไม่เคยมีสงครามครั้งไหนที่สามารถต่อสู้กันจนแม่น้ำขุนเขาของหนึ่งทวีปค่อยๆ แหลกสลายไปทีละชุ่น จนกลายเป็นคำว่า ‘ขุนเขาสายน้ำแผ่นดินจมดิ่ง’ ตามความหมายที่แท้จริงเช่นนี้มาก่อน
แจกันสมบัติทวีปทำได้แล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้คำวิพากษ์วิจารณ์ที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมีต่อเฉินฉุนอันผู้รอบรู้ ยิ่งนานจึงยิ่งดุเดือด
แผ่นดินที่มีขุนเขาสายน้ำ กับเผ่าปีศาจนอกมหาสมุทร สองกองทัพคุมเชิงกันอยู่ไกลๆ ต่อให้จะปกคลุมไปด้วยบรรยากาศอึดอัดหายใจไม่ออกที่ราวกับว่าลมฟ้าลมฝนจะมาเยือน ทว่าในสายตาของบัณฑิตและปัญญาชนส่วนใหญ่ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่ ‘มือว่างจึงพูดถึงนิสัยใจคอ’ ทักษินาตยทวีปได้รวบรวมกองกำลังบนภูเขาเอาไว้มากมาย ทั้งๆ ที่มีพละกำลังมากพอให้ทำสงคราม ต่อต้านศัตรูให้ ‘หยุดอยู่นอกประตูแคว้น’ สุดท้ายภายใต้การนำของเฉินฉุนอันผู้นั้น กลับมีแต่กลิ่นอายความตายไร้ชีวิตชีวาเช่นนี้ บนสนามรบไม่มีการคุณูปการใดๆ ได้แต่รอการโจมตีจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใหญ่โตอะไรสักที ราวกับว่าหากเปลี่ยนมาเป็นบัณฑิตแผ่นดินกลางที่ปณิธานฮึกเหิม ชี้ให้เห็นความผิดของเหตุการณ์บ้านเมืองเพื่อแก้ไขให้ถูกต้องเหล่านี้ที่ได้อยู่ในทักษินาตยทวีป ป่านนี้ก็คงใช้ความตายมาตอบแทนบ้านเมืองไปนานแล้ว
ลู่จือเซียนกระบี่ใหญ่หญิงแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่โยนรายงานขุนเขาสายน้ำฉบับหนึ่งที่เนื้อหามีแต่เรื่องสกปรกโสมมทิ้ง หัวคิ้วขมวดมุ่นไม่คลาย
เส้าอวิ๋นเหยียนเซียนกระบี่แห่งเรือนชุนฟานยิ้มพลางเอ่ยอธิบายว่า “อาจารย์ลู่ อันที่จริงบัณฑิตของแผ่นดินกลางไม่ได้ทำอะไรโดยใช้อารมณ์เช่นนี้ไปทั้งหมด เพียงแต่ว่าในหลายๆ ครั้ง สิ่งที่พวกเราสามารถมองเห็นส่วนใหญ่มักจะเป็นจิตใจคนที่สกปรกโสโครก”
เส้าอวิ๋นเหยียนเคยชินที่จะเรียกลู่จือด้วยความเคารพว่า ‘อาจารย์’ ไปแล้ว
ในความเป็นจริงแล้วยามที่เฉินฉุนอันอยู่กับเซียนกระบี่หญิงท่านนี้ก็เรียกขานนางเช่นนี้เหมือนกัน
อดีตเจ้าของสวนดอกเหมยแห่งภูเขาห้อยหัว ถัวเหยียนฮูหยินสวมหมวกปิดบังใบหน้างามพิลาสของตัวเองเอาไว้ หลายปีมานี้นางแต่งกายเป็นสาวใช้ประจำกายของลู่จือมาโดยตลอด เสียงหัวเราะพลิ้วหวานของนางดังลอดผ้าโปร่งบางออกมา “ถึงอย่างไรใต้หล้านี้หากไม่ใช่คนฉลาดก็คือคนโง่ นี่เป็นเรื่องปกติอย่างมาก เพียงแต่ว่าคนโง่มีมากเกินไปหน่อยกระมัง ความสามารถอย่างอื่นไม่มี ดีแต่จะทำให้คนอื่นสะอิดสะเอียน”
อันที่จริงถัวเหยียนฮูหยินไม่มีความรู้สึกดีๆ อันใดต่อใต้หล้าไพศาลที่เป็นบ้านเกิดแม้แต่น้อย
เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มกล่าว “จำได้ว่าใต้เท้าอิ่นกวานเคยพูดว่า ใต้หล้านี้คนที่ยินดีถูกใบไม้ใบหนึ่งบังตามากที่สุดก็คือบัณฑิตกับคนที่อ่านตำรามามากมาย จำได้ว่าดูเหมือนสวนดอกเหมยของถัวเหยียนฮูหยินจะมีตำราเก็บสะสมไว้ค่อนข้างเยอะเลยนี่นะ?”
ถัวเหยียนฮูหยินบื้อใบ้พูดไม่ออกทันที
เรือนชุนฟานและสวนดอกเหมยต่างก็ถูกอิ่นกวานหนุ่มย้ายไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ จวนหยวนโหรวก็ยกให้กับคฤหาสน์หลบร้อนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ จึงถูกรื้อจนเหลือแต่โครงว่างเปล่า
มีเพียงตำหนักสุ่ยจิ่งของภูเขาห้อยหัวเท่านั้นที่ไม่มีความสัมพันธ์ควันธูปใดๆ กับกำแพงเมืองปราณกระบี่ จึงถูกนักพรตน้อยเจียงอวิ๋นเซิงพลิกคว่ำทิ้งลงทะเลไป สุดท้ายตกอยู่ในมือของปีศาจใหญ่ตนหนึ่ง
เส้าอวิ๋นเหยียนกับถัวเหยียนฮูหยินที่มีใจอาฆาตแค้นต่อใต้หล้าไพศาลผู้นี้ ความเป็นปฏิปักษ์ไม่ถูกกันของทั้งสองฝ่ายไม่ได้เพิ่งเกิดแค่วันสองวันนี้เท่านั้น เมื่อก่อนเส้าอวิ๋นเหยียนไม่รู้สึกว่าการที่คฤหาสน์หลบร้อนจัดการให้ตนมาอยู่ข้างกายลู่จือแล้วจะทำให้ตนไม่มีเรื่องให้ทำหรือไม่ มาตอนนี้เส้าอวิ๋นเหยียนยิ่งแน่ใจในเรื่องหนึ่ง หากปล่อยให้ถัวเหยียนฮูหยินผู้นี้พูดจาเหลวไหลอยู่ข้างกายลู่จือทุกวัน มองดูเหมือนเป็นคำพูดที่มีเหตุผล แต่แท้จริงแล้วล้วนเป็นถ้อยคำที่เกิดจากความอคติอย่างสุดโต่งทั้งสิ้น เวลานานวันเข้าจะต้องเกิดเรื่องเข้าจริงๆ
นางไม่ได้กระพือไฟยุแยงอยู่ข้างกายลู่จือคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนาจริงๆ แต่เป็นเพราะบางครั้งก็อดไม่ไหว
หลังจากถูกเส้าอวิ๋นเหยียนเตือนในทางอ้อม อันที่จริงในใจของถัวเหยียนฮูหยินตอนนี้ก็รู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย นางหวาดกลัวอิ่นกวานหนุ่มที่ใจดำอำมหิตผู้นั้นมากจริงๆ
ถัวเหยียนฮูหยินจึงเปลี่ยนเรื่องพูดทันที “อาจารย์ลู่ เซียนกระบี่ผู้เฒ่าฉีมาที่ทักษินาตยทวีปแล้ว”
ลู่จือพยักหน้ารับ “เกินครึ่งคงจะตัดใจได้แล้ว ไม่คิดพะวงถึงใต้หล้าแห่งที่ห้าอีก ดังนั้นจึงเตรียมจะสั่งสมคุณความชอบให้มาก เพื่อจะได้ก่อสำนักตั้งพรรคอยู่ในใต้หล้าไพศาล นี่เป็นเรื่องที่ดี”
เส้าอวิ๋นเหยียนกล่าว “ดูเหมือนว่ายังมีผู้เยาว์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกสองคน เฉินซานชิวและเตี๋ยจ้างต่างก็เดินทางมาที่นี่ด้วย เพราะตอนนี้ยังไม่มีสงครามให้ทำ ก่อนหน้านั้นพวกเขาไม่เจออาจารย์ลู่ก็เลยไปที่ต้าหรางสุ่ยกันก่อนแล้ว”
ลู่จือกล่าว “ถึงเวลานั้นพวกเจ้าที่อยู่บนสนามรบต้องพยายามปกป้องเฉินซานชิวและเตี๋ยจ้างให้มากหน่อย ข้าอาจไม่มีเวลามาดูแลพวกเขา”
เส้าอวิ๋นเหยียนพยักหน้ารับเบาๆ ถัวเหยียนฮูหยินก็ยอบกายคารวะ
ผู้ฝึกกระบี่ที่เข้ามาในใต้หล้าไพศาล นอกจากลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่เซียนกระบี่ซึ่งออกเดินทางไกลอย่างพวกลี่ไฉ่ ผูเหอรับไว้แล้ว ก็แทบจะเป็นคนที่อายุน้อยเยาว์วัยกันทั้งสิ้น ด้านหนึ่งพวกเด็กๆ ยังไม่เติบโต อีกด้านหนึ่งอาจารย์ผู้มีพระคุณของพวกเขาที่ต่อให้จะไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยังช่วยออกกระบี่อีกไม่น้อย
ลี่ไฉ่แห่งอุตรกุรุทวีป ซ่งพิ่นแห่งเกราะทองทวีป ผูเหอแห่งหลิวเสียทวีป เซี่ยซงฮวาแห่งธวัลทวีป เป็นต้น
นอกจากนี้ผู้ฝึกกระบี่และเซียนกระบี่ที่ต้องออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ล้วนต้องย้อนกลับมาในสนามรบอย่างไม่มีข้อยกเว้น เพียงแต่ว่าสนามรบเปลี่ยนจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มาเป็นแต่ละทวีปของใต้หล้าไพศาลเท่านั้น แทบไม่มีใครที่เลือกจะนิ่งดูดายปล่อยให้สถานการณ์ใหญ่เอนล้มไปข้างหนึ่ง ทักษินาตยทวีปแห่งนี้ ทุกวันนี้มีฉีถิงจี้ที่ทยอยผลัดเปลี่ยนสนามรบระหว่างฝูเหยาทวีปและเกราะทองทวีป กับลู่จือที่เฝ้าพิทักษ์อยู่ในทักษินาตยทวีปมาโดยตลอด หมี่อวี้ที่ออกกระบี่ในนครมังกรเฒ่า นอกจากนี้ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่เซียนดินทั้งหลายก็มีเฉินซานชิวและเตี๋ยจ้างที่เร่งรุดเดินทางจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมายังทักษินาตยทวีป รวมไปถึงชุยเหวยที่ออกจากภูเขาลั่วพั่วไปยังแนวเส้นสนามรบของขุนเขาตะวันออก
อันที่จริงนี่เป็นเรื่องที่หลังจากครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งแล้วก็มีค่ามากพอให้ขบคิดอย่างลึกซึ้ง
ทักษินาตยทวีป เซียนกระบี่ต่างถิ่นที่ไปตายอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ หยวนชิงสู่
ดังนั้นอันดับแรกก็มีลู่จือ เซียนกระบี่แห่งเรือนชุนฟานเส้าอวิ๋นเหยียน ตามมาด้วยเซี่ยซงฮวา แล้วจึงมีเฉินซานชิวกับเตี๋ยจ้าง เรื่องแรกที่พวกเขาทำหลังจากมาถึงทักษินายตทวีปก็คือต่างพากันไปเยี่ยมเยือนต้าหรางสุ่ยสำนักของหยวนชิงสู่ก่อน บรรพจารย์ผู้บุกเบิกภูเขามีนามว่าหลงเฉิง เป็นคนของจังหวัดเฟิ่งเจี๋ย เคยพบกล่องหินใบหนึ่งในหรางสุ่ย มีเทพเฝ้าพิทักษ์ สุดท้ายหลงเฉิงก็ได้รับหยกประทับเก่าแก่ห้าชิ้นจากในกล่องหินไป ตัวอักษรไม่ใช่อักษรที่ใช้กันในยุคหลัง หลงเฉิงเก็บตราประทับไว้ในภูเขาบ้านตัวเองแค่ชิ้นเดียว หลังจากนั้นมาเขาที่มีตบะแค่ขอบเขตชมมหาสมุทรก็เดินทางขึ้นเขาลงห้วยข้ามทวีปไปไกล กระทั่งไปถึงทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง แล้วจึงนำตราประทับอีกสี่ชิ้นที่เหลือมอบให้กับศาลบุ๋นทั้งหมด จากนั้นจึงถูกรองเจ้าลัทธิส่งตัวมายังหอสยบมหาสมุทรของทักษินาตยทวีปด้วยตัวเอง
——