หลังจากวันนั้นก็ผ่านไปแล้วหนึ่งเดือน
ตั้งแต่จบภารกิจครั้งที่แล้ว เติ้งหยวนซูกับลูกเรือทั้งหมดของยานฉินหลิ่งก็ย้ายไปประจำการที่สถานีอวกาศเลอเกรนจ์ แผนลาหยุดทั้งหมดถูกยกเลิก
ตอนแรกเขาวางแผนว่าจบภารกิจนี้เขาจะพาครอบครัวไปพักผ่อนที่เกาะสวรรค์ทางตอนใต้แล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ว่าแผนวันหยุดเขาพัง แล้วครอบครัวของเขายังอยู่ภายใต้การพิทักษ์อีกด้วย
ยานฉินหลิ่งที่ตกเป็นจุดสนใจของทั่วโลกตอนนี้ได้ถูกย้ายมาจอดอยู่ที่สถานที่ที่มีการรักษาความปลอดภัยสูงสุดบนสถานีอวกาศเลอเกรนจ์ สถานีอยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังการบินและอวกาศ กองพลอากาศวงโคจรที่สาม ซึ่งรับผิดชอบการเก็บรักษายานฉินหลิ่ง
ในฐานะที่เป็นหน่วยรบพิเศษที่สมาชิกกว่า 50% เป็น ‘นักรบโบราณ’ จากสมัยศตวรรษที่แล้ว ทหารในกองพลอากาศวงโคจรที่สามต่างก็ตั้งใจทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายของตนอย่างเต็มที่ ไม่มีทหารสักกองในกองทัพชุดแรกที่จะตั้งใจมากเท่าพวกเขา
ตั้งแต่ที่การทดลองจบลง เติ้งหยวนซูก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกกักบริเวณอยู่ที่บ้าน
แต่เอาเข้าจริงแล้วเขาก็เข้าใจดีว่าทำไมรัฐบาลถึงทำกับเขาอย่างนี้
ในเมื่อตอนนี้ทั้งโลกต่างก็อยากรู้เหลือเกินว่าเงื่อนไขของวาร์ปไดรฟ์บนยานฉินหลิ่งกับช่องทางไฮเปอร์สเปซคืออะไรกันแน่ ในสายตาของคนนอก ลูกเรือนับร้อยของยานฉินหลิ่งน่าจะเป็นคนที่ใกล้เคียงกับการรู้ความลับพวกนั้นมากที่สุด หากไม่นับตัวนักวิชาการลู่เอง…
สุดท้ายแล้วเขาก็ยังรู้สึกมึนๆ อยู่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์วันนั้น วินาทีสุดช็อกที่เขาก้าวข้ามช่องว่างของจักรวาลมาได้ยังตราตรึงอยู่ในใจ
ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็ เขาอยากให้ใครสักคนมาอธิบายให้เขาฟังหน่อย
ว่าสิ่งที่เขาเห็นในอุโมงค์ไฮเปอร์สเปซคืออะไร…
“เมื่อไรพวกเราถึงจะไปพักวันหยุดได้เหรอครับ?”
ณ โรงอาหารของสถานีอวกาศ
หลิวเจิ้งอี้ ซึ่งเป็นเสนาธิการฝ่ายบริหารของยานฉินหลิ่งนั่งลงตรงข้ามกับเติ้งหยวนซูได้เป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นมา
พอได้ยินลูกน้องถามมาดังนี้ เติ้งหยวนซูก็วางตะเกียบในมือลงแล้วส่ายหัว
“ไม่รู้เหมือนกัน…คุณรีบเหรอ?”
“ก็ไม่ขนาดนั้นครับ” หลิวเจิ้งอี้ตอบพร้อมกับถอนหายใจ “ผมแค่ไม่เข้าใจเฉยๆ ถ้าเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับก็คงไม่ต้องมาลำบากแบบนี้แล้ว แต่ก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาจะไม่ทำแบบนั้น เพราะตอนที่ทำการทดลองรอบแรก พวกเราไม่ได้ปิดไว้เป็นความลับจากใครเลย แถมหลังจากนั้นยังจัดแถลงข่าวด้วยซ้ำ ผมแค่ไม่เข้าใจว่าจะมากันให้พวกเราติดอยู่ที่นี่ทำไม?”
“พวกคนข้างบนเขาก็ตัดสินใจตามที่พวกเขาคิดว่าถูกนั่นแหละ” เติ้งหยวนซูมองลูกน้องแล้วบอกว่า “อยู่ที่นี่สงบๆ นั่นแหละ อย่างไรก็ยังเหลือวันหยุดอยู่นี่นา เดี๋ยวพอจบเรื่องพวกเขาก็ต้องชดเชยให้อยู่แล้วล่ะ อีกอย่าง…ผมมีความรู้สึกว่า…”
พอได้ยินดังนั้นหลิวเจิ้งอี้ที่นั่งตรงข้ามก็ดูสนอกสนใจขึ้นมาทันที เขารีบถามกัปตันว่า “รู้สึกว่าอะไรครับ?”
“การสั่งให้พวกเราอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ช่วยปิดบังความลับอะไรอยู่ดี” เติ้งหยวนซูพูดต่อช้าๆ หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง “ในเมื่อพวกเรายังไม่ได้เอกสารทางการที่ขอให้พวกเราเก็บเรื่องไว้เป็นความลับ และยังไม่มีคนจากกระทรวงมาคุยเรื่องนั้นกับผมด้วย”
หลิ้วเจิ้งอี้ทัก “คุณหมายความว่า…”
“อีกไม่นานพวกเราน่าจะได้รับภารกิจใหม่แล้วล่ะ” เติ้งหยวนซูพูดต่อให้จบ หลังจากวางตะเกียบกลับลงไปบนจาน เขาก็พูดเสริม “บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่แท้จริงที่ทำไมพวกเราถึงต้องสแตนด์บายอยู่ที่สถานีอวกาศนี้ก็ได้”
หลังทานอาหารกลางวันเสร็จ เติ้งหยวนซูวางแผนจะกลับไปนั่งในออฟฟิศของเขาสักหน่อยเพื่อเขียนรายงานให้เสร็จ แต่พอเขาเดินกลับมาที่ออฟฟิศแล้วกำลังจะนั่งลงเก้าอี้พอดี คนจากกองทัพชุดแรกก็มาหาแล้วบอกให้เขาไปเจอแขกที่ศูนย์ต้อนรับ
เติ้งหยวนซูมีสีหน้าสับสน เขาแจกจ่ายงานที่เหลือให้เลขาฯของเขาทำนิดหน่อย ก่อนจะเปลี่ยนชุดเป็นชุดทางการ หลังจากนั้น เขาก็เดินไปที่โซนต้อนรับของสถานีอวกาศ
พอเขามาถึงก็เดินตรงเข้าไปในห้องประชุมเล็กที่มีเจ้าหน้าที่คนอื่นประจำอยู่ เขาเห็นชายในห้องประชุมแล้ว ใบหน้าของเติ้งหยวนซูแสดงความประหลาดใจขึ้นมาทันที
“นักวิชาการลู่เหรอครับ?”
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ” หลังจากที่ลู่โจววางกาแฟในมือลง เขาก็หันไปมองกัปตันที่เพิ่งเข้ามา ชายหนุ่มส่งยิ้มให้แล้วกล่าวทักทาย “นั่งลงก่อน…จะว่าไปแล้ว ช่วงนี้คุณเป็นยังไงบ้างล่ะ?”
“ก็ไม่เลวครับ” เติ้งหยวนซูดึงเก้าอี้ออกมาจากโต๊ะเพื่อนั่ง เขามองตรงไปที่ลู่โจวซึ่งนั่งอยู่ตรงกันข้าม สีหน้าของเขาดูจะแปลกๆ พิกลเล็กน้อย เติ้งหยวนซูลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะถามอีกฝ่าย “คุณมาที่นี่ทำไมครับ?”
“ผมเพิ่งมาถึงเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนเอง” ลู่โจวเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ แล้วก็พูดติดตลก “ผมว่านะ มองจากข้างนอกแล้ว ปราการอวกาศที่นี่ดูน่ากลัวใช่เล่น”
ถึงประโยคนี้จะพูดด้วยน้ำเสียงขำๆ แต่ก็เต็มไปด้วยจริงใจ
เขายังจำได้ตอนปีนั้นที่เขาอยู่ในปักกิ่ง ที่ท่านประธานาธิบดีถามเขาเรื่องแผนทางอวกาศอันถัดไปจากเมืองก่วงฮั่น ตอนนั้น เขาเสนอว่าจะสร้างสถานีอวกาศถาวรที่จุดเลอเกรนจ์และสร้างอาณานิคมบนดาวอังคาร
ถึงจะเป็นแผนจากเมื่อศตวรรษที่แล้ว พอเขาเห็นว่าเมล็ดพันธุ์ที่ตัวเองเคยหว่านไว้ได้เติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ไพศาล เขาก็อดรู้สึกซาบซึ้งเล็กๆ ไม่ได้
“คุณมาหาผม…แปลว่าคุณต้องการอะไรสักอย่างหรือเปล่าครับ?”
“ก็ประมาณนั้น” ลู่โจวตอบยิ้มๆ ขณะมองหน้ากัปตันเติ้งหยวนซู “แต่ก่อนหน้านั้น ยังมีเรื่องอีกสองสามเรื่องที่ผมต้องถามคุณก่อน”
เติ้งหยวนซูว่า “ถามมาเลยครับ!”
“ไม่ต้องกังวลไปครับ ผมแค่ถามธรรมดาๆ ” ลู่โจวยังคุยต่อด้วยเสียงสดใสขณะมองกัปตันเติ้ง “ช่วงนี้พวกคุณเป็นอย่างไรบ้างครับ? คุณกับลูกเรือสุขภาพแข็งแรงดีไหม?”
“แข็งแรงดีไหมเหรอครับ?” เติ้งหยวนซูทวนคำถาม เขาตะลึงไปเล็กๆ แล้วก็ขมวดคิ้วพร้อมให้คำตอบ “พวกเรา…มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
“เปล่าๆ ผมแค่ถามเฉยๆ น่ะ” ลู่โจวยังถามต่อ ในขณะที่จดบันทึกลงไปในสมุด “แล้วทางจิตใจล่ะโอเคไหม? มีใครเจอปัญหาทางจิตอย่างมีอาการซึมเศร้าหรือโรคกลัวที่แคบหรือเปล่า? หรือมีอาการอะไรทำนองนี้ไหม?”
“ตอนนี้ผมยังไม่ได้ข่าวว่ามีลูกเรือคนไหนต้องไปพบแพทย์นะครับ” เติ้งหยวนซูตอบคำถามขณะยักไหล่
“ผมไม่อยากจะพูดอย่างนี้เลย…” ลู่โจวยิ้มอย่างประหม่าแล้วพูดต่อ “ผมไม่ได้อธิบายให้ชัดเจนตั้งแต่แรก จริงๆ แล้วผมมีเรื่องที่ผมต้องวานรบกวนให้พวกคุณมาช่วยทดลองอีกรอบ”
เติ้งหยวนซูถาม “การทดลองยังไม่เสร็จเหรอครับ?”
“อันนั้นมันแค่เวอร์ชันทดลองน่ะครับ ต้องมีการปรับปรุงหลายๆ อย่างอีก ที่เพิ่มเติมมาก็คือปัญหาเรื่องการปรับตัวกับเรื่องสุขภาพที่ต้องใช้การสังเกตการณ์เพิ่มเติม ระหว่างนี้จะมีกลุ่มแพทย์คอยตรวจเช็กอาการพวกคุณเป็นประจำ ซึ่งนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการทดลองเหมือนกัน ผมต้องขอโทษด้วยครับที่ผมไม่ได้บอกคุณตั้งแต่แรก”
เติ้งหยวนซูตอบ “ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจดี”
“ขอบคุณที่เข้าใจนะครับ! แล้วก็ต้องขอบคุณความร่วมมือของพวกคุณด้วย ทำให้พวกเราได้รับผลลัพธ์ฉบับปัจจุบันมาแล้ว”
ลู่โจวใช้นิ้วชี้มือขวาจิ้มข้อมือซ้าย หน้าต่างโฮโลแกรมจำนวนมากเด้งขึ้นมา ลู่โจวเหยียดแขนออกแล้วปัดหน้าต่างพวกนั้นเบาๆ เขาค่อยๆ ผลักพวกมันเข้าไปตรงหน้าเติ้งหยวนซู
“อันนี้คือแผนวิจัยถัดไปครับ ถ้าคุณสนใจ จะลองอ่านดูก็ได้”
หลังจากรับเอกสารมาจากลู่โจว เติ้งหยวนซูก็จ้องเส้นเล็กๆ ที่โยงอยู่บนจอโฮโลแกรมด้วยสีหน้าจริงจัง
ถึงเขาจะไม่เข้าใจทฤษฎีซับซ้อนมากเท่าไรนัก แต่พอเขาเห็นเส้นตรงกลาง ดวงตาของเขาก็ถูกดึงดูดให้จ้องเขม็งไปที่ตรงนั้นทันที เขาไม่ได้เบนสายตาไปมองทางอื่นเลย…
“1 หน่วยดาราศาสตร์ต่อวินาที…”
เสียงของกัปตันเติ้งสั่นเล็กๆ เขามองไปทางลู่โจวด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
เขากลืนน้ำลาย ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะสามารถเค้นเสียงออกมาเอ่ยประโยคถัดไปได้
“ความเร็วระดับนี้จะทำได้จริงเหรอครับ?”
ระยะทางที่ไกลที่สุดระหว่างโลกกับดาวอังคารคือ 400 ล้านกิโลเมตร ระยะ 1 หน่วยดาราศาสตร์มีค่าประมาณ 149 ล้านกิโลเมตร
แล้ว 1 หน่วยดาราศาสตร์ต่อวินาทีหมายความว่าอย่างไรน่ะเหรอ?
ก็หมายความว่าถ้าเทคโนโลยีนี้ใช้ได้จริง ต่อให้เป็นระยะทางที่ไกลที่สุดนั้น การเดินทางจากระบบโลก-ดวงจันทร์ไปยังดาวอังคารจะใช้เวลาไม่เกินสามวินาที!
“ในทางทฤษฎีแล้ว ถ้าพวกเราเลือกช่องทางถูก วิธีนี้ก็ทำได้เสมอครับ” ลู่โจวลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้แล้วเอ่ยออกมาด้วยเสียงผ่อนคลาย “โอเค ผมคิดว่าคุณรู้ทุกเรื่องที่ควรจะรู้แล้วล่ะครับ ถ้าคุณพร้อมก็ตามผมมาได้เลย”
เราจะไปไหนกันครับ?”
“ก็ต้องไปยานฉินหลิ่งน่ะสิ! จะว่าไปแล้ว พวกคุณไม่เห็นยานนั้นมาสักพักแล้วล่ะสิ ใช่ไหมล่ะ?”
กัปตันเติ้งหยวนซูทั้งประหลาดใจและรู้สึกทึ่ง
ลู่โจวยิ้มแล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงรื่นเริงพร้อมปล่อยมุก “บอกเลยว่าพอคุณได้เห็นยานนั้นอีกรอบ คุณต้องร้อง ว้าว ว้าว ว้าว แน่นอน”
………………………………………………….