“วรยุทธ์ระดับมหาจักรพรรดิเทพ ถ้าหากข้าได้ครอบครองละก็ ไม่แน่ช่วงบั้นปลายชีวิตข้าอาจจะฝึกตนจนบรรลุถึงแดนมกุฎเทพได้”อิงบูเฉิงที่อยู่ข้าง ๆ พูดอย่างทอดถอนใจ

“วรยุทธ์ระดับนั้นไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถครอบครองได้ ถึงแม้จะได้ครอบครอง เกรงว่ายังไม่ทันได้ฝึก คงถูกผู้อื่นสังหารไปก่อนแล้ว”ในทางตรงกันข้าม เทพธิดายู่หรงกลับมองจุดนี้ทะลุปรุโปร่งเลย

“เหอะ ๆ ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นโอกาสครั้งหนึ่ง ถ้าเกิดสามารถตามหาคนดังกล่าวเจอจริง ๆ จากตัวตนอัจฉริยะในโลกาชั้นฟ้า เขาไม่ถึงขั้นต้องโกหกพวกเราหรอก น่าจะสามารถได้รับวรยุทธ์ระดับมหาจักรพรรดิเทพฉบับไม่สมบูรณ์ครบถ้วนจริง ๆ ”อิงบูเฉิงหยิบม้วนหยกออกมาหนึ่งชิ้น แล้วประทับรูปร่างลักษณะร่างแท้ของหลัวซิวลงไป

หลังจากชายหนุ่มคนนั้นบอกความต้องการของตนออกมาแล้ว เขาก็ยกมือโบกทีหนึ่ง เก็บร่างเสี่ยวเจียงหมิงเข้าไปในของขลังชิ้นหนึ่ง ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งถึงบัดนี้ เสี่ยวเจียงหมิงไม่ต่อต้านเลยแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้นคือเขาพูดอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ถูกผู้อื่นครอบงำตามใจโดยสิ้นเชิง

หลัวซิวรู้สึกว่าจิตสังหารในอกของตนซัดสาดจนถึงขีดสุดแล้ว เขา ณ วินาทีนี้เหมือนดั่งชนวนระเบิดที่สามารถระเบิดจิตสังหารอันน่าทึ่งออกมาได้ตลอดเวลา

วิถียุทธ์เหมือนดั่งชีวิตของคนเรา ถึงแม้จะเป็นชั่วชีวิตหนึ่งของคนธรรมดาทั่วไป เรื่องที่ไม่สมปรารถนาก็มีเยอะมาก ๆ ยิ่งกว่านั้นคือมีนักปราชญ์เคยกล่าวไว้ว่า ร้อยปีไม่สำนึกเสียใจ ก็ไม่ใช่ชีวิตของคนเรา

และเคยมีกวีปัญญาชนเขียนบทประพันธ์กล่าวไว้อย่างทอดถอนใจ หากชีวิตหนึ่งของคนเราไม่มีสิ่งที่รู้สึกเสียดาย เช่นนั้นก็เท่ากับใช้ทั้งชีวิตไปโดยสูญเปล่าเลยมิใช่หรือ?

อย่างไรก็ตามคนส่วนมากกลับแสวงหาชีวิตที่ไร้เรื่องเสียดายมากกว่า ทว่าในกาลเวลาอันเนิ่นนานในชั่วชีวิตนี้ ทุกอย่างจะราบรื่นโดยไร้เรื่องเสียดายง่ายเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า?

หลัวซิวก็ไม่แน่ชัดเช่นกันว่าตกลงเขาในตอนนี้รู้สึกเสียใจที่ได้ทำผิดไปหรือนึกโทษตัวเองอยู่ เขารู้สึกว่าความผิดของตนที่มีต่อเสี่ยวเจียงหมิงและช่าจื่อเยียนลึกมากยิ่งขึ้นแล้ว

อย่างไรเสียครั้งนี้พี่น้องที่ชีวิตทรหดคู่นี้ ต้องเดือดร้อนอีกครั้งเพราะเขา ได้รับความเสียหายที่ไม่มีเค้ามาก่อน

ถึงแม้จิตสังหารที่อยู่ในใจจะมีมากล้นฟ้าเท่าไหร่ ทว่าหลัวซิวเข้าใจดีมาก ๆ ว่าตนเองจะลงมือในสถานที่เช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด ทันทีที่ถูกเหล่าราชาเทพที่อยู่ในงานรุมโจมตี ถึงแม้ศักยภาพของเขาจะแข็งแกร่งมากกว่านี้เป็นเท่าตัว จุดจบก็ไม่มีทางสวยอย่างแน่นอน

งานค้าขายได้ดำเนินการต่อไป ส่วนกะจิตกะใจของหลัวซิวกลับไม่อยู่ที่นี่เลยแม้แต่น้อย ไม่สนใจเลยด้วยซ้ำว่าผู้อื่นเอาสมบัติอะไรออกมาแลกเปลี่ยนค้าขายกันแน่

ตัวสำนึกหนึ่งของเขาเฝ้าติดตามอยู่บนตัวชายหนุ่มที่มาจากโลกาชั้นฟ้านั่นมาโดยตลอด เขาเฝ้าติดตามอย่างระมัดระวังอยู่เสมอ ไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามสังเกตเห็น

“ผู้เพื่อนยุทธ์เย่?”

ทันใดนั้นเอง เสียงของอิงบูเฉิงก็ดังเข้าไปในหูหลัวซิวกะทันหัน

“มีอะไรหรือ?”ความรู้สึกนึกคิดของหลัวซิวถูกขัด เขาจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย

“คนส่วนมากทำการแลกเปลี่ยนค้าขายไปแล้ว ข้ากับเทพธิดายู่หรงก็ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว อิงตามกฎเกณฑ์ เจ้าก็ต้องเอาสมบัติชิ้นหนึ่งออกมาค้าขายกับทุกคนนะ”อิงบูเฉิงเอ่ยปากพูด เขาสังเกตเห็นว่าเมื่อครู่จิตใจหลัวซิวล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

โดยหลักแล้วราชาเทพคนหนึ่งไม่มีทางตใจล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวง่าย ๆ แน่นอน ทว่าหลัวซิวไม่พูด เขาก็ไม่ได้สอบถามอะไรมากเช่นกัน

หากพูดถึงสมบัติแล้ว สมบัติติดตัวของหลัวซิวนั้นมีไม่น้อยจริง ๆ ทว่าจะเอาของสำคัญออกมาไม่ได้อยู่แล้ว แต่เขากลับไม่มีสมบัติที่ระดับอยู่ในระดับกลาง ๆ จริง ๆ

หลังจากไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง หลัวซิวจึงเอาผังค่ายรูปวงกลมหนึ่งชิ้นออกมาจากแหวนเก็บของ ก่อนจะค่อย ๆ ลุกตัวขึ้น

“นี่คือผังค่ายเทพระดับ 8 หนึ่งชิ้น”หลัวซิวยกมือโยนออกไป ผังค่ายจึงบินหลุดออกไปจากมือเขา และลอยขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่กลางอากาศในห้องโถงใหญ่

เมื่อได้ยินว่าเป็นผังค่ายระดับ 8 สีหน้าของจำนวนราชาเทพช่วงกลางและราชาเทพขั้นปฐมภูมิไม่น้อยที่อยู่ในงานต่างก็ดูสนใจ ทว่าเหล่าผู้ที่มีผลการฝึกตนระดับราชาเทพช่วงปลายเป็นต้นไปกลับดึงสายตาตนกลับไป

“สิ่งที่สลักอยู่ในผังค่ายคือค่ายสังหารเทพระดับ 8 ซึ่งมีกฎปริภูมิดั้งเดิมขั้น 5 แฝงซ่อนอยู่ด้วย”

“ว่าอย่างไรนะ? กฎปริภูมิดั้งเดิมขั้น 5 ?”