บทที่ 748.2 ถือเทียนออกเดินทางยามค่ำคืน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ผู้ดูแลคนนั้นกุมหมัดเอ่ยว่า “ล่วงเกินแล้ว เชิญขึ้นเรือ”

เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน ยิ้มเอ่ยว่า “ลมบนภูเขาแรง ระวังไว้ก่อนย่อมขับเรืออย่างปลอดภัยได้นานเป็นหมื่นปี”

หากเฉินผิงอันปรากฏตัวด้วยชุดสีเขียวนี้ก่อน คาดว่าคืนนี้ก็อย่าหวังว่าจะได้ขึ้นเรือเด็ดขาด

นี่ก็คือใจคน

ผู้ดูแลคนนั้นคลี่ยิ้ม

นับว่าเป็นคนที่พูดเป็น

เฉินผิงอันขอห้องพักสามห้องจากเรือข้ามฟาก ของเฉินผิงอันเองหนึ่งห้อง แม่นางน้อยกับเด็กผู้ชายแยกกันอยู่คนละห้อง

เฉินผิงอันมีข้อเรียกร้องเพียงอย่างเดียว ห้องต้องอยู่ติดกัน เงินเทพเซียนนั้นพูดได้ง่าย เชิญเปิดราคามาได้ตามสบาย ส่วนข้อที่ว่าเรือข้ามฟากไฉ่อีต้องปรึกษากับลูกค้าเพื่อหาห้องว่างมาให้พวกเขาหรือไม่ เฉินผิงอันแค่ใช้เงินชดเชยให้เหล่าเซียนซือก็พอแล้ว คงจะปล่อยให้พวกเซียนซือต้องย้ายห้องกันเปล่าๆ ทำให้เรือข้ามฟากต้องลำบากใจไม่ได้

ใต้หล้านี้คนแซ่เฉียน (เงิน) นั้นมีมากที่สุด

ธุระนับว่าจัดการได้ราบรื่น หนึ่งเพราะเงินเทพเซียนบนภูเขาทุกวันนี้ยิ่งมีค่ามากขึ้น นอกจากนี้เรือข้ามฟากไฉ่อีก็ตั้งใจจะยอมถอยให้ด้วยหลายส่วน ทำการค้าบนภูเขา ระมัดระวังขับเรือได้นานหมื่นปี แน่นอนว่าไม่ผิด ทว่าคำเอ่ยที่ว่า ‘บนภูเขาลมแรง’ นั้นกลับยิ่งเป็นสัจธรรมที่แท้จริง

เฉินผิงอันยกสองนิ้วทำมุทรากระบี่ โคจรวัตถุแห่งชะตาชีวิตธาตุทองหนึ่งในห้าธาตุในเวลาเดียวกัน วาดบ่อกระบี่สีทองแห่งหนึ่งโอบล้อมห้องทั้งสองเอาไว้

หลีกเลี่ยงไม่ให้เวลาที่พวกเด็กๆ คุยเล่นกันไม่ทันรู้ตัวถูกพวกสอดรู้สอดเห็นบนเรือข้ามฟากที่กินอิ่มว่างงานไม่มีอะไรทำใช้เวทลับมาลอบสำรวจ

เดิมทีเฉินผิงอันยังอยากจะหยิบยันต์อีกสองสามแผ่นออกมาแปะไว้บนหน้าต่างและบานประตู แต่ก็แค่คิดแล้วล้มเลิกไป พวกเด็กๆ จะได้ไม่รู้สึกว่าถูกควบคุมมากเกินไป

เรือข้ามฟากแห่งนี้จะไปจอดเทียบท่าที่ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งทางทิศใต้สุดของใบถงทวีป ห่างจากสำนักกุยหยกไม่ถือว่าไกลนัก

เฉินผิงอันกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง สั่งเหล้าหมักตระกูลเซียนที่มีเฉพาะบนเรือไฉ่อีมาหนึ่งกา ดื่มไปครึ่งกาแล้วก็ใช้นิ้วแต้มสุรา เขียนตัวอักษรหนึ่งบรรทัดลงไปบนโต๊ะ ‘แม่น้ำใสมหาสมุทรสงบ ผลเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์’

คราวก่อนที่ไปเยือนใบถงทวีป เรือข้ามทวีปที่โดยสารคือปลาวาฬกลืนสมบัติที่ครอบครองพื้นที่ลับหลายแห่ง

ทุกวันนี้ภูเขาห้อยหัวไม่อยู่แล้ว ตอนนี้ลู่ไถเองก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน

หากลู่ไถใช้สถานะของ ‘หลิวไฉ’ ปรากฏตัวที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ จะต้องเป็นดั่งการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะสำหรับสภาพจิตใจของเฉินผิงอัน แต่ในเมื่อตอนนี้ได้กลับบ้านเกิดแล้ว เฉินผิงอันก็ไม่ต้องถึงขั้นกลัวหัวหดถึงเพียงนั้นอีกแล้ว

เฉินผิงอันแปะยันต์ชำระสิ่งสกปรกไว้บนหน้าต่างด้วยความเคยชิน แล้วจึงเริ่มเดินนิ่ง ต้องพยายามทำความคุ้นเคยกับการสยบกำราบทางมหามรรคาของฟ้าดินแห่งนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด

นี่ก็คือโรคภัยที่การผสานรวมกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ทิ้งไว้ให้ในภายหลัง อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะถูกสยบกำราบ มาถึงใต้หล้าไพศาลก็เป็นเช่นเดียวกัน

สำหรับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวแล้วกลับถือว่าเป็นเรื่องดีใหญ่เทียมฟ้า อย่าว่าแต่เดินนิ่งหรือประลองฝีมือกับคนอื่นเลย ทุกลมหายใจล้วนถือเป็นการฝึกหมัดทั้งสิ้น

ทว่าสำหรับผู้ฝึกตนแล้ว สภาพการณ์จะค่อนข้างกระอักกระอ่วนแล้ว หากเฉินผิงอันไม่มีพื้นฐานของผู้ฝึกยุทธ มีเพียงสถานะของผู้ฝึกกระบี่ คาดว่าเวลานี้คงต้องนอนหมอบอยู่กับพื้นไปแล้ว เพียงแต่ว่าขอแค่ทำความคุ้นเคยกับการโคจรของมหามรรคาในใต้หล้าไพศาลได้ ผลกระทบก็จะยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ แต่หากต้องเข่นฆ่าเอาชีวิตกับผู้อื่น เรื่องไม่คาดฝันจะมีมากมาย พูดง่ายๆ ก็คือทุกวันนี้เท่ากับว่าเฉินผิงอันเป็นผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจครึ่งตัวที่มาอยู่ในฟ้าดินเล็กของอริยะแห่งใต้หล้าไพศาล

เฉินผิงอันหลับตาลง กึ่งหลับกึ่งตื่น เดินนิ่งไปอย่างเนิบช้า หลายปีที่เฝ้าประตูอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ อาศัยการขัดเกลาอย่างเชื่องช้า ฝึกหมัดไปได้สามล้านกว่าหมัด

คิดว่าก่อนจะกลับไปถึงภูเขาลั่วพั่วจะฝึกอีกห้าแสนหมัด

ดังนั้นการฝึกหมัดสิบล้านครั้งที่เมื่อก่อนแม้แต่จะคิดก็ยังไม่กล้าคิดก็น่าจะมีความหวังอยู่มาก

เด็กสองกลุ่มที่อยู่ในห้องซ้ายขวา ตอนนี้ยังไม่มีใครเดินออกมาจากห้อง เฉินผิงอันจึงฝึกเดินนิ่งอย่างสงบต่อไป

ช่วงเช้าตรู่ เรือข้ามฟากไฉ่อีค่อยๆ จอดสนิท บอกว่าต้องผ่านลานเก็บไข่มุกขนาดใหญ่ที่สุดของเกาะหลูฮวา จึงจะหยุดพักหนึ่งชั่วยาม สามารถซื้อหาไข่มุกสีสันต่างๆ มาจากผู้ฝึกตนเกาะหลูฮวาได้

ผู้โดยสารเรือข้ามฟากที่ขอแค่มียันต์กระบี่ไผ่เขียวอยู่ในมือก็สามารถทะยานลมไปยังท่าเรือตระกูลเซียนที่สร้างขึ้นชั่วคราวในลานเก็บไข่มุกได้ แต่ทางฝั่งของเรือข้ามฟากนี้จะมีคนนำทางไปให้ ไม่ว่าใครก็ห้ามออกไปท่องเที่ยวเพียงลำพังโดยพลการ ไม่อย่างนั้นก็อย่าได้คิดจะกลับขึ้นเรือมาใหม่ ในเมื่อชอบเดินเที่ยวเล่นส่งเดชนักก็เดินคนเดียวไปถึงใบถงทวีปเลยแล้วกัน

เฉินผิงอันเดินออกมาจากห้อง ไปที่หัวเรือ แต่กลับไม่คิดจะไปยังลานเก็บไข่มุก เพียงแค่ยืนอยู่ตรงหัวเรือ ด้วยอยากฟังพวกผู้ฝึกตนพูดคุยกัน

ก่อนหน้านี้เขาอยากซื้อรายงานขุนเขาสายน้ำสักหลายๆ ฉบับ ทางฝั่งของเรือข้ามฟากก็ตอบกลับอย่างรวดเร็วฉับไวว่าไม่มี หากมีเงินเยอะ ผู้ดูแลของเรือข้ามฟากที่ฝีมือการเขียนตัวอักษรบรรจงเล็กจานฮวาเลิศล้ำก็สามารถเขียนให้เขาได้ฉบับหนึ่ง ไม่แพง แค่เงินเทพเซียนเหรียญเดียวเท่านั้น เงินฝนธัญพืช

นี่เป็นการแสดงออกชัดเจนว่าต้องการรังแกผู้ฝึกตนของใบถงทวีป

เก้าทวีปของไพศาล ชื่อเสียงของผู้ฝึกตนใบถงทวีปฉ่าวโฉ่ไปทั่วทุกหัวถนนแล้ว

ไม่ไปใช้จ่ายเงินเทพเซียนที่ลานเก็บไข่มุก บนเรือข้ามฟากไฉ่อีก็มีเรื่องบนภูเขาที่มากพอจะผ่อนคลายอารมณ์ให้ทำ

ตำแหน่งที่เรือข้ามฟากลอยตัวจอดอยู่มีความพิถีพิถันอย่างยิ่ง จุดลึกเบื้องล่างคือสถานที่ที่กระแสน้ำเส้นหนึ่งในมหาสมุทรต้องไหลผ่าน สามารถตกปลาในกระแสน้ำได้ หากโชคดียังอาจได้เจอกับเผ่าพันธุ์น้ำหายากอีกด้วย

เพียงแต่ว่าคิดจะเสพสุขกับความบันเทิงในการเป็นชาวประมงนี้ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ต้องเช่าเบ็ดตกปลาไผ่เขียวที่สร้างขึ้นด้วยวิชาลับของตระกูลเซียนมาจากเรือข้ามฟาก หนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อยตกได้ครึ่งชั่วยาม

เฉินผิงอันเห็นว่าตรงราวรั้วมีชาวประมงจับกลุ่มกันสองสามคนอยู่ก่อนแล้ว จึงจ่ายเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ ไปนั่งอยู่บนราวรั้วทำท่าทางเหมือนพวกเขา โยนคันเบ็ดลงไปในทะเล เส้นเอ็นที่ใช้ยาวมาก มีเหยื่อให้โถเล็กๆ ที่ในที่สุดก็ไม่ต้องจ่ายเงิน ไม่อย่างนั้นคัมภีร์การทำการค้าเล่มนี้ของเรือข้ามฟากก็เรียกว่าใจดำอำมหิตเกินไปหน่อยแล้ว

เฉินผิงอันถอนหายใจ เมื่อก่อนชุยตงซานมักจะพูดจาเหลวไหลอยู่ข้างกายตนเป็นประจำ บอกว่าตัวอักษรดำบนกระดาษขาวมีความหมายลึกล้ำ ตัวอักษรทุกตัวล้วนเป็นเงาหนึ่งเงา

เวลาผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ จนกระทั่งบัดนี้ เฉินผิงอันก็ยังคงคิดไม่ออก เพียงแค่รู้สึกว่าคำกล่าวนี้มีความนัยลึกซึ้งจริงๆ

เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นมองม่านราตรี ลมหิมะค่อยๆ พัดแรงขึ้นเรื่อยๆ

จากดินไปฟ้าไม่รู้ว่ากี่พันกี่หมื่นลี้ ดวงตะวันจันทราลอยอยู่กลางอากาศ จากฟ้ามาดินก็ไม่รู้ว่ากี่พันกี่หมื่นลี้

เฉินผิงอันพลันนึกอยากจะไปดูที่ม่านฟ้าสักครั้ง ทะยานลมหรือขี่กระบี่ก็ได้ บังคับเรือยันต์ให้ล่องลอยไปก็ดี

เพียงแต่ว่าพอคิดถึงว่าพวกเด็กๆ ยังอยู่บนเรือ เฉินผิงอันจึงล้มเลิกความคิดนี้ไปชั่วคราว

นอกจากจะตกปลาแล้ว ความคิดจิตใจส่วนใหญ่ของเฉินผิงอันยังคงอยู่ที่บทสนทนาระหว่างพวกผู้ฝึกตนเหล่านั้น เพียงแต่ว่าไม่มีอะไรให้ต้องขบคิด ล้วนเป็นเพียงเรื่องหยุมหยิมยิบย่อย ไม่เกี่ยวพันไปถึงสถานการณ์ในใต้หล้า

ตอนนี้สิ่งที่เฉินผิงอันเป็นกังวลมากที่สุดก็คือร่างของตัวเองจะอยู่ในความฝันอย่างที่สี่

ขออย่าให้เป็นฝีมือของพื้นที่มงคลกระดาษขาวเลย

ความลี้ลับมหัศจรรย์ที่ใหญ่ที่สุดของพื้นที่มงคลกระดาษขาวซึ่งสำนักประพันธ์สร้างขึ้นอย่างตั้งใจ ก็คือสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาในพื้นที่มงคล แม้ว่าจะเป็นหุ่นเชิดกระดาษขาว แต่กลับมีสติปัญญาจริงๆ สามารถอิงตามเส้นสายอันซับซ้อนไปมีความคิดมีการกระทำเป็นของตัวเอง ไม่ต่างอะไรไปจากคนตัวเป็นๆ ความต่างเพียงหนึ่งเดียวก็คือคนกระดาษของพื้นที่มงคล ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนก็ยังคงไม่รับรู้การไหลรินหายไปของแม่น้ำแห่งกาลเวลาแม้แต่น้อย

ดังนั้นแน่นอนว่าเฉินผิงอันย่อมต้องกังวลว่า นับตั้งแต่ก้าวแรกที่ตนข้ามออกมาจากถ้ำแห่งโชควาสนาเกาะหลูฮวา คนที่เขาพบเจอหลังจากนั้นล้วนเป็นกระดาษขาว ถึงขั้นที่ว่าเป็นการจำแลงของคนผู้หนึ่ง ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดที่พบเจอล้วนเป็นใบไม้บังตาอย่างที่กล่าวกันในตำนาน

ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล ตัวอยู่ในฟ้าดินราวกับคนชอบดื่มเหล้าที่ดื่มไปจนเริ่มเมากรึ่มๆ ทั้งไม่ได้เมาหลับพับไป แล้วก็ไม่ถือว่ามีสติแจ่มชัดอย่างแท้จริง จากนั้นก็เหมือนว่ามีคนมาอยู่ข้างกาย ยิ้มถามเจ้าว่าเมาแล้วหรือ ดื่มอีกหน่อยได้ไหม…นี่จะไม่ทำให้คนกลัดกลุ้มเป็นทุกข์ได้อย่างไร

เรื่องแบบนี้ศิษย์พี่ชุยฉานทำได้แน่ แล้วนับประสาอะไรกับที่ราชครูต้าหลีที่มีสามเรื่องราวงดงงามแห่งไพศาลนั้นก็ทำได้จริงๆ

ชุยฉานและชุยตงซาน เรื่องที่เชี่ยวชาญมากที่สุดก็คือเรื่องของการเก็บและปล่อยความคิดจิตใจ ความคิดกระจายไปจำแลงเป็นพันหมื่น ความคิดถูกดึงกลับมาก็แค่พูดคุยไม่กี่คำ เฉินผิงอันกลัวว่าอยู่ดีๆ นาทีใดนาทีหนึ่งทุกคนที่อยู่ข้างกายจะพลันรวมตัวขึ้นเป็นคนคนเดียว กลายมาเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อชุดเขียวที่จอนผมสองข้างเป็นสีดอกเลา รับศิษย์พี่มาแล้ว สู้ก็สู้ไม่ได้ จะด่าก็ไม่กล้าด่า จะนินทาในใจสักสองสามประโยคก็ถูกอีกฝ่ายมองออก ไม่คาดฝันหรือไม่ น่ารำคาญหรือไม่?

มีผู้ฝึกตนคนหนึ่งหัวเราะร่าเสียงดัง แล้วพลันดึงคันเบ็ด ตกปลาในกระแสน้ำมาได้ตัวหนึ่ง แม้จะบอกว่าเป็นปลา แต่แท้จริงแล้วกลับมีลักษณะเหมือนตะพาบน้ำสีแดงตัวใหญ่ ขนาดประมาณอ่างน้ำ มีสี่ตาหกขา มีไข่มุกงอกอยู่บนขาของมัน คนผู้นั้นดึงเอาไข่มุกหกเม็ดมา จากนั้นจึงโยนปลาในกระแสน้ำกลับเข้าไปในทะเล เพียงไม่นานก็มีผู้ฝึกตนหญิงของเรือข้ามฟากคนหนึ่งที่สวมชุดกระโปรงเซียงสุ่ยมาขอซื้อไข่มุก ผู้ฝึกตนได้เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญมาอยู่ในมือ รอยยิ้มก็พลันผลิบาน ตีมือกับสหายที่อยู่ข้างกาย สหายบอกว่าเปิดประตูรับโชค ไปใบถงทวีปครั้งนี้จะต้องมีเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดฝันรออยู่แน่นอน

เฉินผิงอันไม่ได้ผลเก็บเกี่ยวอะไรมาทั้งนั้น แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว เพราะหากโชคดีเกินไป กลับกลายเป็นว่าทำให้รู้สึกระแวง

มีคนตกปลาลี่ที่มีอายุยาวนานยิ่งกว่ามาได้อีกหนึ่งตัว คราวนี้ผู้ฝึกตนหญิงของเรือไฉ่อีถึงขั้นขอซื้อปลาทั้งตัวมาจากคนผู้นั้น จ่ายเป็นเงินร้อนน้อยสามเหรียญ

เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง ผู้ดูแลคนนั้นยืนอยู่ด้านหลังห่างไปไม่ไกล สวมกวานสูงชุดสีดำ มีมาดของความเก่าแก่โบราณอย่างยิ่ง

ผู้ดูแลเอ่ยแนะนำตัวเองว่า “หวงหลิน ผู้ถวายงานลำดับรองของอูซุนหลัน”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างสงสัย “อูซุนหลันสำนักในเกราะทองทวีป? มีผู้ถวายงานเป็นบุรุษตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

อูซุนหลันมีผลผลิตคือกระดาษจดหมายหลากสีของตระกูลเซียนหลายสิบชนิด มีชื่อเสียงเลื่องลือมานานในหมู่ตระกูลชนชนสูงของบนโลกและจวนเซียนในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เงินทองไหลมาเทมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระดาษชุนซู่และกระดานถวนฮวาที่ในอดีตแม้แต่ภูเขาห้อยหัวก็ยังมีวางขาย

ไม่ต่างจาก ‘กระโปรงเซียงสุ่ยชุดเซียนมังกรสาว ไข่มุกบนฝ่ามือสุกสกาวราวแสงจันทร์’ เท่าใดนัก ของชิ้นหนึ่งขอแค่เป็นที่ชื่นชอบของเซียนซือหญิงหรือสตรีในตระกูลชนชั้นสูง ก็ไม่กลัวว่าจะหาเงินไม่ได้ ส่วนบุรุษนั้นก็แค่ต้องมองเงินให้ใหญ่เท่าแท่นโม่ ต่อให้ต้องทุ่มหนักแค่ไหนก็พร้อมยอมจ่ายเพื่อสตรีผู้เป็นที่รัก บนภูเขาลั่วพั่วบ้านตนดูเหมือนว่าจะยังขาดของชิ้นเล็กกระทัดรัดน่ารักประเภทนี้อยู่บ้าง

หวงหลินกล่าว “คนตายมากเกินไป”

เฉินผิงอันอึ้งตะลึง หมุนตัวกลับมากุมหมัด

หวงหลินพลันยิ้มเอ่ย “ผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งที่กล้าพาเด็กเก้าคนออกทะเลเดินทางไกล ต่อให้กลัวตายแค่ไหนก็ย่อมต้องมีขอบเขต ก่อนหน้านี้ขัดขวางไม่ให้สหายขึ้นเรือถือว่าล่วงเกินแล้ว เพราะมีภาระหน้าที่ติดตัว หวังว่าจะให้อภัย วันหน้าข้าจะควักกระเป๋าเงินของตัวให้คนนำสุราหลายๆ กาไปมอบให้สหาย ถือว่าเป็นการไถ่โทษ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “สหายหวงช่างใจกว้างยิ่งนัก”

หวงหลินยิ้มรับ เอ่ยลาแล้วจากไป

พอหมดเวลาเฉินผิงอันก็คืนคันเบ็ด กลับเข้าไปในห้องแล้วเดินนิ่งต่อ

ครึ่งเดือนต่อมาทั่วทุกมุมบนเรือข้ามฟากล้วนเต็มไปด้วยเสียงเอะอะจอแจ เฉินผิงอันผลักหน้าต่างเปิดออกก็เจอกับภาพมายาภาพหนึ่ง

ราวกับว่าด้านใต้มหาสมุทรมีหอยกาบตัวใหญ่พ่นไอน้ำออกมาแล้วรวมตัวกันกลายเป็นตำหนักหอเรือนตระกูลเซียนเรียงรายกันเป็นแถบ ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร สูงต่ำไม่เท่ากัน ส่องประกายสีทองระยิบระยับ ประหนึ่งอยู่ในดินแดนเซียนโบราณ ทุกหนทุกแห่งล้วนมีแต่จวนเทพเซียน บนเส้นทางระหว่างก้อนเมฆสายหนึ่งที่ทอดยาวเชื่อมตำหนักหอเรือนตระกูลเซียนเข้าด้วยกันมีรถม้าวิ่งสวนกันขวักไขว่ไม่ขาดสาย ทั้งชายและหญิงต่างแต่งกายแบบโบราณ สารถีขับรถม้าส่วนใหญ่คือเทพร่างทองสวมเสื้อเกราะเรือนกายกำยำ และยิ่งมีตำหนักหนึ่งในนั้นที่ใหญ่โตโอฬารที่สุด ด้านบนมีนกกระสาเหลืองหลายสิบตัวบินล้อมวน

อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็เอ่ยอย่างทอดถอนใจมาประโยคหนึ่งว่า ผู้คนต่างพูดว่ายิ่งมังกรเทพแก่เฒ่าก็ยิ่งศักดิ์สิทธิ์

ภาพลวงตาโดยทั่วไปแล้วส่วนใหญ่มักจะพุ่งผ่านไปได้อย่างไร้อุปสรรค แต่ภาพมายาของที่นี่กลับเห็นได้ชัดว่าไม่ได้เป็นเช่นนี้ ปราณวิญญาณไหลวน ภาพลวงตาแทบกลายเป็นของจริง เรือข้ามฟากไฉ่อีคล้ายจะเคยเจอภาพลวงตาเช่นนี้มาก่อนจึงเลือกจะอ้อมผ่านไปอย่างไม่ลังเล คิดไม่ถึงว่าอ้อมมาร้อยกว่าลี้ ภาพมายานั้นก็ยังคงขัดขวางทางไป มีผู้ฝึกตนเซียนดินไม่รู้จักหนักเบา คิดจะไปสืบเสาะให้รู้กระจ่าง แต่ถูกผู้ดูแลหวงหลินขัดขวางเอาไว้ บอกว่าหอยกาบที่ใกล้ตายตัวนี้อำพรางตัวอย่างลึกล้ำยิ่ง แม้แต่ชงเชี่ยนเซียนเหรินไล่ตามหาอยู่นานหลายเดือนก็ยังไม่เคยพบเจอร่องรอยของมัน อีกอย่างปีศาจตนนี้ตอนนี้ก็อยู่ในสภาพการณ์ที่ ‘มรรคาสลาย’ คล้ายคลึงจิตวิญญาณแตกสลายของผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง จึงไม่อาจสะกดกลิ่นอายบนร่างไม่ให้ไหลออกด้านนอกได้อีกแล้ว มาซ่อนตัวลึกอยู่ในเมืองใต้ทะเล ยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางทั่วไปใช้ไม่ได้ผล อีกอย่างการกระทำในวันนี้ของปีศาจใหญ่ตัวนี้ ก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะสำแดงความดุร้าย ก่อนที่มรรคาจะดับสูญอาจเลือกที่จะให้เรือข้ามฟากพินาศวอดวายไปพร้อมกับมัน

สตรีภาพวาดลงสีนอกผนังเรือพากันปรากฏกาย ค่ายกลกระบี่ไผ่เขียวก็ยิ่งถูกเปิดใช้ กระบี่บินเหมือนสายฝนที่แหวกไอเมฆหมอกสกปรกที่หอยกาบใหญ่ตัวนั้นพ่นออกมา ประหนึ่งเรือกระบี่ลำจิ๋ว

เบื้องหน้าเรือข้ามฟากมีตำหนักหนึ่งโผล่พรวดขึ้นมาท่ามกลางไอเมฆกว้างใหญ่ แล้วยังมีรุ้งขาวเส้นหนึ่งลอยโค้งอยู่ด้วย

นี่ทำให้หวงหลินหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง รุ้งขาวบนโลกมนุษย์อาจไม่ได้แปลกประหลาดสักเท่าไร แต่รุ้งขาวในที่แห่งนี้กลับเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของสงคราม

หอยกาบตัวนั้นไม่อำพรางร่องรอยอีกต่อไปจริงดังคาด ในที่สุดก็เริ่มคิดจะสังหารคนอย่างอำมหิต

เพียงแต่ไม่รู้ว่าเรือข้ามฟากบ้านตนจะสามารถประคับประคองตัวจนกระทั่งชงเชี่ยนเซียนเหรินมาช่วยเหลือได้หรือไม่

เฉินผิงอันขมวดคิ้วน้อยๆ ตามการอธิบายตัวอักษรของอริยะปราชญ์ อักษรหงของคำว่ารุ้ง (虹) อธิบายไว้ว่าเป็นเจียวหลงสองหัว นี่จึงเป็นเหตุให้มีอักษรฉง (虫 ) รวมอยู่ด้านข้าง

เฉินผิงอันเพ่งสายตามองไป รุ้งขาวเส้นนั้นมีเส้นทางหลักรองอยู่สองเส้นจริงดังคาด แบ่งออกเป็นทุติยรุ้งตัวผู้และตัวเมีย คนโบราณมองทุติยรุ้งเป็นปรากฎการณ์แห่งความโสมมของฟ้าดิน ก็เหมือนคางคกในตำหนักดวงจันทร์ยุคบรรพกาลที่ถือเป็นเผ่าพันธุ์ของแก่นแห่งจิตวิญญาณดวงจันทร์