ตอนที่ 1615 ไม่มีที่ไหนให้ไป

Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ

[นี่คือปาฏิหาริย์ในหน้าประวัติศาสตร์มนุษย์

ตั้งแต่พวกเราลุกขึ้นมาเดินสองขา จนถึงตอนที่พวกเราจุดไฟเผาป่าครั้งแรก จนตอนที่สร้างพีระมิดตรงลุ่มแม่น้ำไนล์ และตอนที่พวกเราสร้างกำแพงเมืองจีน มนุษย์อย่างพวกเราได้พิชิตดินแดนต่างๆ มามากกว่าหนึ่งครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พวกเราพิชิตทั้งท้องฟ้าและมหาสมุทรได้ในเวลาเดียวกัน

ที่นี่คือเขตแดนของยูเรนัส เทพแห่งผืนฟ้า และโพไซดอน เทพแห่งท้องทะเล ณ สถานที่ดวงดาราส่องแสงบนคลื่นเค็มคราม ผมมองเห็นพระราชวังของเทพทั้งสองและผู้พิชิตดินแดนที่ปักธงของตัวเองไว้ตรงนั้น

บางทีผมอาจจะควรใช้คำที่ชี้เฉพาะกว่านี้ในการบรรยายสิ่งที่ผมเห็น แต่คำบรรยายทุกคำก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องซ้ำซากไป ผมไม่อยากใช้คำหลายคำเกินไปในการบรรยาย เพราะคุณจะสัมผัสความตกตะลึงจับใจได้ก็ต่อเมื่อคุณย่างกรายเข้าไปในปราการเหล็กกล้าแล้วได้สัมผัสมันด้วยมือของคุณเอง…

ก่อนจะมาถึงวันนี้ ผมไม่เคยตั้งหน้าตั้งตารอให้วันนั้นมาถึงเลย

วันที่หอคอยแห่งนี้สร้างเสร็จในที่สุด]

ปากกาในมือของแฮมิลตันหยุดลง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะพลางถอนหายใจ จากนั้นเขาก็โบกมือขวาเบาๆ เพื่อดับภาพโฮโลแกรมที่ฉายอยู่บนโต๊ะ

เป็นเวลาผ่านมาเกือบสัปดาห์แล้วที่เขากลับมาจากเมืองเผิงไหล

ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ เขายังได้รับเชิญให้ไปสถานีอวกาศเนอร์วานาบนวงโคจรพ้องคาบโลกอีกด้วย

ถ้าพูดตามตรงแล้ว ตอนนั้นเขาช็อกกับภาพทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าจนเกือบจะลืมกดชัตเตอร์ถ่ายภาพแล้ว

ยังดีที่เขามีความเป็นมืออาชีพอยู่ เขาอาศัยความชินจากกล้ามเนื้อมือกดชัตเตอร์ถ่ายภาพมาเซ็ตหนึ่งได้ทัน

และด้วยภาพถ่ายนี้เอง จึงทำให้สื่อปล่อยข่าวจากที่แฮมิลตันเขียนออกมาได้ ข่าวได้รับการตรวจทานอยู่หลายสิบรอบ เพื่อให้มันฟังดูเหมือนข่าวทางการมากกว่านิยายแฟนตาซีหรือบทกลอนบทกวี…

เสียงอันไพเราะดังออกมาจากประตูด้านล่างแฮมิลตัน

“คุณคะ ได้เวลาอาหารแล้วค่ะ”

“เข้าใจแล้วครับ เซเลีย เดี๋ยวผมจะรีบไป”

หลังจากแฮมิลตันตอบเสร็จ เขาก็ลุกขึ้นยืน เดินออกจากห้องหนังสือไปห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย จากนั้นก็เดินตรงไปที่ห้องครัว

พอเขาเดินมาถึงห้องครัว หญิงสาวสวมผ้ากันเปื้อนที่ดูอายุราวยี่สิบต้นๆ ก็เตรียมแซนด์วิชกับอาหารว่างให้เขาไว้บนโต๊ะเรียบร้อย เธอยังใส่น้ำแข็งกับมะนาวหนึ่งซีกในเครื่องดื่มให้เขาด้วย

เขาชอบใส่มะนาวหนึ่งซีกในเหล้ายินหรือวิสกี้มาหลายปีแล้ว นอกจากตัวแฮมิลตันเอง ก็มีแค่เซเลียที่รู้นิสัยนี้ของเขา

พอเขานั่งลงที่โต๊ะทานอาหาร เซเลียก็ถอดผ้ากันเปื้อนแล้วนำไปแขวนข้างๆ จากนั้นก็นั่งลงตรงข้ามกับเขา มองเขาทานอาหารเย็นอย่างเอร็ดอร่อย

เซเลียไม่ใช่มนุษย์ เธอเป็นหุ่นยนต์แม่บ้านที่ถูกสร้างโดยฮิปโปแคมปัสกรุ๊ป เธอจึงไม่จำเป็นต้องทานอาหาร

ส่วนเรื่องที่ว่าเธอมาอยู่ที่บ้านเขาได้อย่างไรนั้น…

ก็ต้องย้อนกลับไปตอนการประท้วงทั่วโลกเมื่อหนึ่งปีก่อน

เนื่องจากความผิดพลาดร้ายแรงเรื่องการป้องกันและการควบคุมไวรัสอัลฟ่า จึงทำให้โลกตะวันตกทั้งหมดตกอยู่ในภาวะความกลัวหุ่นยนต์และเอไอ ถึงกลุ่มพันธมิตรทะเลเหนือจะไม่ใช่ ‘จุดศูนย์กลาง’ ของไวรัสอัลฟ่า แต่ก็ยังได้รับผลกระทบอยู่ดี

ย้อนกลับไปตอนนั้น เซเลียถูกทิ้งอยู่กลางถนน เธอควรจะถูกส่งไปทำลายทิ้ง แต่แฮมิลตันที่ทำข่าวเรื่องไวรัสอยู่ในตอนนั้นเลือกที่จะรับเธอมาแทน

บางทีอาจจะเพราะว่าอาชีพของเขาก็ได้ แฮมิลตันที่ทำงานในวงการข่าววิทยาศาสตร์จึงไม่กลัวเอไอเหมือนคนทั่วไป เขาจึงรับเธอมาเลี้ยงจนถึงทุกวันนี้

เซเลียทราบซึ้งกับความอบอุ่นที่แฮมิลตันมอบให้เธอมาก แม้แท้จริงแล้วในซอฟต์แวร์ของเธอจะไม่ได้ลงค่าอารมณ์ความรู้สึกไว้มากมายก็ตาม

“คุณกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่หรือเปล่าคะ?”

มือที่ถือแซนด์วิชชะงักไปเล็กน้อย แล้วแฮมิลตันก็เอ่ยขึ้นมาหลังจากนิ่งไปสักพัก “คุณก็รู้เหรอ?”

เซเลียมองเจ้านายของเธอที่นั่งตรงข้ามแล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงนุ่มนวล “หน้าของคุณออกอาการหมดแล้วค่ะ”

“จริงเหรอ?” แฮมิลตันวางแซนด์วิชในมือลง เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วพึมพำกับตัวเอง “ดูเหมือนพอเราอยู่คนเดียวมานาน รู้สึกอะไรก็ออกมาทางสีหน้าหมดสินะ”

หลังจากเงียบไปอยู่นาน เขาก็เงยหน้าขึ้นมามองเซเลียที่นั่งอยู่ตรงข้าม

“เซเลีย”

“อะไรเหรอคะ คุณแฮมิลตัน”

“เธออยากย้ายบ้านไหม?”

เซเลียมองเขาด้วยความสับสน

“ทำไมอยู่ๆ คุณถึงอยากจะย้ายบ้านเหรอคะ?”

“เพราะผมอยากจะลองใช้ชีวิตใหม่ดูน่ะ” แฮมิลตันเงียบไปพักหนึ่ง แล้วก็พูดต่อ “แน่นอน ผมยังไม่ได้ตัดสินใจหรอก เพราะ…คุณเองก็เป็นสมาชิกของครอบครัวนี้เหมือนกัน ผมต้องถามสมาชิกคนอื่นในครอบครัวก่อนถึงจะตัดสินใจได้”

“ฉันเหรอคะ?”

นิ้วชี้ของเซเลียจิ้มอยู่ที่ริมฝีปากล่าง หุ่นยนต์สาวเหมือนจะคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง

ชั่วขณะนั้นเอง แฮมิลตันรู้สึกว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่ปัญญาประดิษฐ์ แต่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง

เขาจ้องเธออยู่นาน

ทันใดนั้นเซเลียก็เผยรอยยิ้มกว้างออกมา เธอเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวล “ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน ฉันก็จะไปด้วยค่ะ”

หลังจากที่สร้างเนอร์วานากับเมืองเผิงไหลเสร็จ สื่อก็เล่นประเด็นข่าวนี้ไม่หยุดหย่อน ข่าวอันน่าสนใจนี้แพร่ไปทั่วทุกมุมโลกอย่างรวดเร็ว และดังไปถึงแม้กระทั่งดาวอังคารที่ห่างไกล

แม้แต่ในอาณานิคมที่ห่างไกลและไม่โดดเด่นสะดุดตาที่สุด ข่าวเรื่องลิฟต์อวกาศระยะแรกสร้างเสร็จแล้วก็ดังไปถึงที่นั่นได้

ในจุดที่ลึกที่สุดของเครือข่ายโลกเสมือน ห้องประชุมห้องหนึ่งถูกซ่อนไว้ในหมู่ข้อมูล บรรยากาศเย็นยะเยียบเหมือนน้ำแข็ง ผู้คนรับรู้ได้ถึงความหนาวเย็นในห้อง

ชายปริศนาในผ้าคลุมสีเทาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงหนักแน่นระหว่างเหม่อมองไปทางผู้บริหารองค์กรอาวุโสคนอื่นที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะประชุม

“สถานการณ์ตอนนี้เป็นเรื่องน่ากังวลอย่างมากต่อพวกเรา

ลิฟต์อวกาศระยะแรกสร้างเสร็จแล้ว ถ้าบวกกับเทคโนโลยีนำทางใหม่ในด้านการเดินทางด้วยการวาร์ป จะเท่ากับว่าสหการพาน-เอเชียนควบคุมทั้งโลก และแม้กระทั่งโลกเหนือระบบโลก-ดวงจันทร์ได้อย่างไม่จำกัด พื้นที่อยู่อาศัยของพวกเราจะต้องถูกบีบให้เล็กลงอย่างแน่นอน

เมื่อวันก่อน ผมได้รับข้อความมาจากหน่วยข่าวกรอง หลังจากสหการพาน-เอเชียนแก้ปัญหาการสื่อสารความเร็วกว่าแสงได้แล้ว พวกเขาจะลองกลับไปควบคุมอาณานิคมทุกแห่งบนดาวอังคาร รวมถึงสถานีอวกาศและด่านอาณานิคมตามดาวเคราะห์น้อยด้วย

ทุกคนครับ ดาวอังคารคือฐานสุดท้ายของพวกเราแล้ว

ถ้าพวกเราเสียที่นี่ไปอีกรอบล่ะก็ ผมเชื่อว่าพวกเราไม่ต้องคุยกันแล้วล่ะว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อ”

หนึ่งปีหลังเหตุการณ์ไวรัสอัลฟ่า องค์กรจิตวิญญาณแห่งจักรวาลถูกกองความมั่นคงของพาน-เอเชียนเข้าสืบสวน การสืบสวนลักษณะนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเขตดินแดนของสหการพาน-เอเชียนเท่านั้น เจ้าหน้าที่ของกองความมั่นคงทำถึงขนาดติดต่อฝ่ายบังคับใช้กฎหมายของกลุ่มพันธมิตรประเทศอื่น ศูนย์บัญชาแต่ละแห่งขององค์กรซึ่งตั้งอยู่ในประเทศที่เป็นกลางจึงถูกค้นพบในที่สุด

แถมยังมีนักรบกลายพันธุ์ที่แข็งแกร่งผิดมนุษย์มนาอีกด้วย

ถึงจะไม่มีหลักฐานโดยตรงว่าเขาไปทำการปรับแต่งยีนพิเศษมา แต่คนที่แข็งแกร่งพอที่จะต่อสู้กับฐานของพวกเขาได้ด้วยตัวคนเดียวก็ต้องมีพลังพิเศษอะไรสักอย่างนั่นแหละ

ทางเลือกสุดท้ายของพวกเขาคือการต้องถอนตัวจากดาวโลก ย้ายศูนย์บัญชาการมาที่อาณานิคมดาวอังคารซึ่งไกลกว่าเมืองก่วงฮั่น พวกเขาวางแผนจะหาทางกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งให้ได้ จึงตั้งศูนย์บัญชาการใหญ่ขึ้นอีกสองแห่ง คือที่นิวเวอร์จิเนียและเมืองเทียนกง

แต่ถ้าเทคโนโลยีการสื่อสารและการเดินทางความเร็วกว่าแสงใช้ได้ขึ้นมาจริงๆ บวกกับลิฟต์อวกาศหายนะนั่นอีก สหการพาน-เอเชียนจะต้องหาวิธีโดยตรงในการจัดการเขตอาณานิคมที่อยู่ห่างไกลแน่นอน

พอถึงตอนนั้น ต่อให้พวกเขายังไม่ถูกคนพวกนั้นหาพบ พวกเขาก็จะสูญเสียความหวังสุดท้ายในการต่อต้านไปแล้ว

พอพูดคำพวกนั้นออกมาแล้ว ชายในผ้าคลุมสีเทานอกจากจะรู้สึกถึงความไร้พลังอย่างสุดซึ้งแล้ว เขายังสัมผัสได้ถึงโทสะและความไม่ชอบใจอย่างเต็มเปี่ยม

เขาเชื่อว่าพวกเขาอยู่ใกล้ชัยชนะเต็มที่แล้ว

ถ้าไม่ใช่เพราะผู้ชายคนนั้นที่จู่ๆ ก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ จากนั้นทำลายชัยชนะของพวกเขาไปจนหมด ไวรัสอัลฟ่าก็คงยึดครองอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ได้หมดแล้ว และพวกเขาจะใช้พลังในการทำลายระเบียบบนโลกให้สิ้นซาก!

พอถึงตอนนั้นแล้วพวกเขาแค่ต้องโบกธงแห่งระเบียบแบบใหม่และปรากฏตัวต่อหน้าคนอื่นในฐานะผู้กอบกู้เท่านั้นเอง จากนั้นระบอบการปกครองแบบอุดมคติที่มีศาสนาใหม่ควบคุมอย่างเต็มที่ก็จะถือกำเนิดขึ้นบนดาวดวงนี้ พวกเขาใช้ประโยชน์จากความตื่นกลัวของผู้คน โดยใช้โอกาสนี้สร้างศรัทธาที่จะทำให้พวกเขาปกครองโลกนี้ได้…

พวกเขาไม่จำเป็นต้องซ่อนอยู่ในเงามืดอีกต่อไป พวกเขาสามารถออกมาปรากฏกายอยู่หน้าฉากได้อย่างสบายๆ ใช้พลังที่เทียบเท่าได้กับพระเจ้าควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาเห็น

“ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าหมอนั่นที่อยู่ๆ ก็โผล่มาจากไหนไม่รู้…”

หน้ากากขาวที่นั่งอยู่ข้างผ้าคลุมเทากัดฟันกรอดๆ ขณะพ่นถ้อยคำเหล่านั้นออกมา

แต่ตอนนั้นเองเสียงกระแอมเบาๆ ก็ดังขึ้นมาจากทางโต๊ะประชุม

“แล้ว…

หมอนั่นที่ว่านี่ใครกัน?”

ทั้งห้องประชุมเงียบไปชั่วขณะ สายตาหลายคู่เหลือบไปมองต้นทางของเสียงนั้น

เจ้าของเสียงเป็นชายสูงวัยที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ตอนนี้ชายคนนั้นกลับนั่งอยู่ในกลุ่มพวกเขา

รูปร่างของชายสูงวัยนั้นผอมแห้งแรงน้อยราวกับเป็นซากศพที่เพิ่งคลานขึ้นมาจากหลุม แต่ไม่ใช่ว่าลูกตาของชายคนนั้นยังกลอกไปมาได้ คงไม่มีใครคิดว่าเขายังมีชีวิตอยู่เป็นแน่

หน้ากากขาวกลืนน้ำลาย เขามองชายสูงวัยที่เฝ้ามองตัวเขามานาน แอบรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมาตงิดๆ

ถึงที่นี่จะเป็นโลกเสมือนก็ตาม แต่รูปร่างของชายสูงวัยคนนี้ก็ชวนน่าขนลุกเสียเหลือเกิน

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ มันคือสัญชาตญาณของหน้ากากขาวต่างหากที่บอกว่าชายสูงวัยที่นั่งอยู่ตรงนี้นั้นแตกต่างจากคนที่เหลือ…

ไม่ว่ารูปลักษณ์เสมือนของพวกเขาจะเป็นอย่างไร พวกเขาก็ยังเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ แต่หน้ากากขาวกลับไม่รู้สึกถึงสายใยชีวิตในร่างของชายสูงวัยเลย

เขาเหมือนกับผีไม่มีผิด…

ผ้าคลุมเทาเพ่งไปที่ชายสูงวัยคนนั้น เขาหรี่ตาอย่างไม่ตั้งใจ

ทำไมผู้ชายคนนี้…

ถึงดูคุ้นๆ จังนะ?