บทที่ 749.2 ขุนเขาสายน้ำกลับมาบรรจบพบกันอีกครั้ง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ตลอดทางที่เฉินผิงอันเดินมานี้ได้กวาดตามองข้าวของในร้านต่างๆ อยู่หลายครั้ง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นของเก่าแก่ของสะสมหายากตามความหมายที่แท้จริงของราชวงศ์หรือแคว้นใต้อาณัติ ในเมื่อไม่มีปราณวิญญาณก็ไม่ถือว่าเป็นวัตถุวิเศษ จะเรียกว่าเป็นวัตถุวิเศษบนภูเขาได้หรือไม่ กุญแจสำคัญคือต้องดูว่ามีปราณวิญญาณซุกซ่อนอยู่หรือไม่ อีกทั้งยังต้องดำรงอยู่นานไม่สลายหายไปไหน วัตถุวิเศษมีการแบ่งเป็นของเป็นกับของตาย เหมือนอย่างแท่นฝนหมึกชิ้นหนึ่ง พู่กันด้ามหนึ่ง ได้สัมผัสกับโชคชะตาบุ๋นของปราชญ์ผู้ล่วงลับมาบ้างเล็กน้อย ปราณวิญญาณเปี่ยมล้น หากเก็บรักษาไม่ดี หรืออาจารย์หล่อหลอมผลาญใช้ปราณวิญญาณมากเกินไปก็จะกลายไปเป็นวัตถุธรรมดาชิ้นหนึ่ง แส้ปัดฝุ่น เบาะรองนั่งที่อยู่เคียงข้างเกาเจินของลัทธิเต๋ามานานก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะมีปราณวิญญาณซุกซ่อนอยู่ภายใน ส่วนชุดหม่างชุดคลุมมังกรนั้นก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะรั้งกลิ่นอายมังกรเอาไว้ได้เช่นกัน

ของเป็นในบรรดาวัตถุวิเศษ ระดับขั้นจะสูงมากกว่า บนภูเขามีถ้อยคำเรียกขานที่ไพเราะว่า ‘วัตถุมีสติปัญญา’ ก็คือวัตถุที่สามารถดึงเอาปราณวิญญาณฟ้าดินมาหล่อเลี้ยงบำรุงตัวเองได้นั่นเอง

ส่วนสมบัติอาคมนั้น อย่าว่าแต่มนุษย์ธรรมดาเลย ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนอิสระที่อยู่บนเส้นทางของการฝึกตนแล้ว ชั่วชีวิตนี้ก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะได้พบเจอสักกี่ครั้ง ในความเป็นจริงแล้วผู้ฝึกตนอิสระที่ขอบเขตต่ำกว่าเซียนดินลงไปต่างก็ไม่ใคร่จะยินดีคบค้าสมาคมกับสมบัติอาคมเท่าใดนัก เพราะเมื่อวัตถุประเภทนี้ปรากฎกายก็หมายความว่าพวกเขาจะต้องต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับพวกเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล โชคดีเอาชนะมาได้ ตีกับคนรุ่นเยาว์ อาจจะชักนำคนรุ่นอาวุโสมาอีก สรุปก็คือน้อยนักที่จะเป็นฝ่ายได้เปรียบ แล้วนับประสาอะไรกับที่หากพ่ายแพ้ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะไม่มีคนช่วยเก็บศพ

เฉินผิงอันซื้อแค่กระบี่กริชเล็กที่ไม่ค่อยสะดุดตามาเล่มหนึ่ง กับดาบพกเอวฝักสีดำประดับเป็นลายกุยหลงชุบทองมาเล่มหนึ่ง พอจะถือว่าเป็นอาวุธวิเศษได้อย่างถูไถ สาเหตุเกินครึ่งคงเป็นเพราะเคยถูกวางบูชาไว้ในศาลบู๊ท้องถิ่นหรือไม่ก็ศาลเทพอภิบาลเมืองถึงได้สัมผัสกลิ่นอายควันธูปที่หลงเหลืออยู่มาบ้างบางส่วน เอาไปวางไว้ในยุทธภพล่างภูเขาก็สามารถถือว่าเป็นศาตราวุธเทพสองชิ้นได้แล้ว เอาไปขายชิ้นละห้าหกพันตำลึงเงินยังไม่ยาก เฉินผิงอันจ่ายเงินเกล็ดหิมะไปสิบเหรียญ ทางร้านบอกว่าซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง อันที่จริงหากเฉินผิงอันคิดจะเป็นร้านผ้าห่อบุญก็ไม่มีทางได้กำไรใดๆ ของเพียงชิ้นเดียวที่พอจะถือว่าเก็บตกของดีมาได้ คือวัตถุวิเศษของแท้แน่นอน คือนาฬิกาแดดเนื้อหินที่ลักษณะคล้ายเนื้อหยกขาวอย่างที่กล่าวไว้ในตำราว่า ‘อิฐหยกรั้วสีชาด’ ดูจากตัวอักษรที่สลักไว้ด้านหลังคือของเก่าแก่จากกองโหราศาสตร์หลวงของแคว้นหนึ่ง ร้านนี้ขายราคาแปดเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ในสายตาของเฉินผิงอันแล้ว ราคาแท้จริงอย่างน้อยที่สุดน่าจะสูงกว่านี้สองเท่า สามารถขายได้สบายๆ เพียงแต่ว่าขนาดใหญ่ไปสักหน่อย หากตอนนี้เฉินผิงอันมาเดินเล่นที่ตลาดนี่เพียงลำพัง หากต้องแบกก็คงยอมแบกไปแล้ว เพราะถึงอย่างไรขนาดฝ้าเพดานที่ใหญ่กว่านี้เขาก็ยังเคยแบกมาก่อน

หากเปลี่ยนเฉินผิงอันมาเป็นเจ้าของร้านก็ไม่คิดตั้งราคาไว้ที่แปดเหรียญเงินเกล็ดหิมะ เหมือนซี่โครงไก่เกินไป หากเป็นผู้ฝึกลมปราณที่ไม่มีวัตถุฟางชุ่น นอกจากจะต้องจ่ายเงินเกล็ดหิมะแปดเหรียญแล้ว ยังต้องถูกกำหนดมาว่าจะไม่อาจปล่อยให้หลุดจากมือไปได้ในช่วงเวลาสั้นๆ จะต้องแบกวัตถุใหญ่ขนาดนี้ภายใต้สายตาจับจ้องของคนมากมาย จากนั้นก็เดินจากใต้ไปเหนืออย่างนั้นหรือ? ควรจะตั้งราคาหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย ตอนที่คนซื้อแบกก็จะได้มีเรี่ยวแรงมากหน่อย ในกระเป๋ามีเงินเกล็ดหิมะแปดเหรียญกับในอ้อมอกได้กอดเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ ความรู้สึกจะเหมือนกันได้หรือ? แน่นอนว่าไม่ได้

สุดท้ายแล้วเฉินผิงอันจึงนั่งพลิกๆ หยิบๆ อยู่ตรง ‘ภูเขาหนังสือลูกเล็ก’ คัดเลือกด้วยความระมัดระวัง ส่วนใหญ่จะเลิกมุมหนึ่งของหน้าหนังสือออกดู คิดไม่ถึงว่าลูกจ้างร้านจะทิ้งประโยคหนึ่งไว้ที่หน้าประตูร้านว่าไม่ซื้อก็อย่าเปิดดู เฉินผิงอันจึงเงยหน้าขึ้น ยิ้มพูดว่าจะซื้อ ลูกจ้างหนุ่มคนนั้นถึงได้หันกลับไปดูแลลูกค้าคนอื่นต่อ

เฉินผิงอันเลือกตำราที่มีตราประทับของทางการหนักหลายจินมาหลายเล่ม กระดาษที่ใช้เป็นกระดาษของทางการ ทุกหน้าล้วนประทับตราของทางการเอาไว้ อีกทั้งยังบันทึกปีรัชศก กองหนังสือที่ผ่านการพิมพ์จากโรงพิมพ์มัดนี้ ใครเป็นคนเขียน ใครเป็นคนประทับตรา ใครเป็นคนจัดพิมพ์ ล้วนมีบอกไว้ครบถ้วน หน้ากระดาษหนาอย่างถึงที่สุด แล้วยังมีกระดาษไคฮวาอีกมัดหนึ่งที่มาจากหอเก็บหนังสือส่วนตัว สืบทอดกันมาอย่างมีระบบระเบียบ แค่สัมผัสก็รู้สึกเหมือนใหม่ เห็นได้ชัดว่าถูกเก็บซ่อนอย่างดีมานานหลายร้อยปี ถึงขั้นเรียกได้ว่าเป็นของดีหายากในป่าตำรา

แต่ตำราที่มีราคาอย่างแท้จริง มีค่าจนถึงขั้นที่ทำให้ผู้ฝึกตนในร้านต่างก็เคยได้ยินมาว่าเป็นตำราลับในเชื้อพระวงศ์บางส่วน แน่นอนว่าต้องได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างไปจากเล่มอื่น

เฉินผิงอันซื้อตำรามาถุงป่านใหญ่ๆ สะพายไว้บนหลัง น้ำหนักมากถึงร้อยกว่าจิน

จ่ายเงินไปแค่ห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะ หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะสามารถซื้อตำราได้ยี่สิบจิน หากเฉินผิงอันยินดีจะหั่นราคา คาดว่าเงินที่จ่ายไปคงไม่ได้น้อยลง แต่กลับสามารถได้ตำรามาเพิ่มอีกถึงยี่สิบกว่าจินเลยทีเดียว

เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันไม่ได้ต่อรองราคากับที่ร้าน กลัวว่าจะอดใจไม่ไหวเหมามาทั้งหมด ถึงเวลานั้นอย่าว่าแต่วัตถุฟางชุ่นเลย แม้แต่วัตถุจื่อชื่อก็ยังไม่อาจบรรจุได้หมด

ยังคงเน้นในข้อที่ว่ามองแล้วถูกชะตามากกว่า

ในบรรดาเด็กๆ มีเพียงน่าหลันอวี้เตี๋ยที่มาเลือกหนังสือ แม่นางน้อยเลือกตำราไปสองสามเล่ม นางไม่ดูว่ากระดาษทำมาจากอะไร เป็นการจัดพิมพ์ของทางการหรือของชาวบ้าน ใช่ตำราที่ผู้คนเก็บสะสมกันหรือไม่ แม่นางน้อยแค่เลือกตำราที่ตัวอักษรงดงามมองแล้วสบายตาเท่านั้น แม่นางน้อยจะจ่ายเงินเอง เฉินผิงอันบอกว่าจ่ายพร้อมกันทีเดียว หลายเล่มรวมกันแล้วก็ยังหนักไม่ถึงหนึ่งจิน ไม่ต้องจ่าย แม่นางน้อยไม่เหมือนคนที่ได้ประหยัดเงิน แต่เหมือนคนหาเงินได้ อารมณ์ดีอย่างถึงที่สุด

เฉินผิงอันก็หัวเราะอารมณ์ดีตามนางไปด้วย

นักเดินทางไกลคนหนึ่งที่โดยสารเรือข้ามฟากไฉ่อีมาเช่นเดียวกันยืนอยู่บนถนน คล้ายกำลังรอคอยเฉินผิงอัน

อันที่จริงเฉินผิงอันสังเกตเห็นคนผู้นี้นานแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในซุ้มของท่าเรือชวีซาน พวกเฉินผิงอันเดินนำอยู่ข้างหน้า คนผู้นี้ก็เดินตามติดมาด้านหลัง ดูจากท่าทางแล้วก็น่าจะไปที่ท่าเรือหวงฮวาเช่นกัน

ผู้ฝึกกระบี่คอขวดโอสถทองที่มาจากเกราะทองทวีปผู้นี้ ตอนอยู่บนเรือข้ามฟากเคยลงมืออย่างมีน้ำใจ ช่วยเหลือหวงหลิน ตอนนั้นเรียกกระบี่บินยันต์หมึกเล่มหนึ่งออกมา พลังอำนาจน่าครั่นคราม มีกลิ่นอายของเซียนกระบี่อย่างยิ่ง เพียงแต่ว่าตอนจบไม่นับว่าสง่างามสมบูรณ์แบบนัก

เขาเห็นเฉินผิงอันเดินดิ่งมาเบื้องหน้าก็รีบกุมหมัดใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ผู้เยาว์เกาอวิ๋นซู่คารวะผู้อาวุโส”

เฉินผิงอันสะพายห่อสัมภาระใบใหญ่ มือทั้งสองกำเชือกป่านแน่น จึงไม่ได้กุมหมัดคารวะกลับคืน เพียงพยักหน้ารับ ยิ้มถามด้วยภาษากลางของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง “เซียนกระบี่เกามีธุระอะไรกับข้าหรือ?”

แบบนี้เรียกว่ามอบท้อตอบแทนหลีแล้ว เจ้าเรียกข้าคำหนึ่งว่าผู้อาวุโส ข้าก็คืนเจ้าไปด้วยคำว่าเซียนกระบี่

เมื่อครู่นี้เกาอวิ๋นซู่ใช้กลอุบายน้อยๆ เปิดปากพูดด้วยภาษากลางของเกราะทองทวีป

เวลานี้ถูกอีกฝ่ายเรียกอย่างให้ความเคารพว่าเซียนกระบี่ ก็เห็นได้ชัดว่าเกาอวิ๋นซู่ที่หน้าไม่หน้าพอรู้สึกเขินอายเล็กน้อย เขาแน่ใจแล้วว่ามือดาบที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำตรงหน้าผู้นี้ก็คือผู้อาวุโสเซียนกระบี่ที่ใช้หนึ่งกระบี่แหวกผ่าภาพลวงตา บีบให้หอยกาบใหญ่ต้องถอยร่นไป

แม้จะบอกว่าอีกฝ่ายไม่ได้เดินสวนไหล่ผ่านไปทั้งอย่างนี้ ผู้อาวุโสนิสัยดี ไม่ทิ้งตนไว้ด้านข้างอย่างไม่แยแส กลับกันยังยิ้มมองมาที่ตนอย่างมีน้ำอดน้ำทน ทว่าอันที่จริงตอนนี้เกาอวิ๋นซู่รู้สึกกดดันอย่างมาก มักจะรู้สึกว่าตนเพียงแค่ยืนอยู่ตรงหน้าผู้อาวุโสท่านนี้ก็ราวกับว่าทั้งสองฝ่ายได้ถามกระบี่กันครั้งหนึ่ง กำลังคุมเชิงอยู่กับอีกฝ่าย หากพูดจาไม่เข้าหูก็จะลงมือตัดสินเป็นตายทันที เกาอวิ๋นซู่รีบสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง แข็งใจเอ่ยว่า “สามารถเลี้ยงเหล้าผู้อาวุโสสักมื้อได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า

เกาอวิ๋นซู่ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด

เฉินผิงอันยิ้มถาม “พี่เกาเจ้าคิดจะขอบคุณเซียนกระบี่ท่านหนึ่ง หรือคิดจะขอบคุณการกระทำของคนแปลกหน้าคนหนึ่งที่ยอมลงมือช่วยเหลือ?”

ความซาบซึ้งแบบเดียวกัน แต่กลับมีความคิดสองอย่าง

เซียนกระบี่เกาเองก็เป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกว่าคำถามนี้ของผู้อาวุโสกำลังหยามเกียรติของตน กลับกันยังรู้สึกโล่งอก เอ่ยตอบว่า “แน่นอนว่าต้องมีทั้งสองอย่าง ผู้อาวุโสเซียนกระบี่ลงมือไม่ทิ้งนาม แต่กลับช่วยให้ข้าเอากระบี่บินกลับคืนมา เท่ากับว่าช่วยชีวิตข้าไว้ครึ่งหนึ่ง แน่นอนว่าข้าต้องซาบซึ้งใจอย่างถึงที่สุด หากสามารถได้ผูกมิตรรู้จักกับผู้อาวุโสเซียนกระบี่ที่เปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญด้วยเหตุนี้ ก็ย่อมดีที่สุด บอกตามตรง ผู้เยาว์มีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกตนอิสระ ผู้ฝึกกระบี่ของเกราะทองทวีปมีเพียงหยิบมือเท่านั้น คิดจะรู้จักใครสักคนยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ ให้ผู้เยาว์ไปเป็นผู้ถวายงานที่ถูกมัดมือมัดเท้านั่น ผู้เยาว์ก็ไม่ยินยอมจริงๆ ดังนั้นหากสามารถรู้จักเซียนกระบี่สักคน ไม่มีการคบหาเพื่อผลประโยชน์แม้เพียงน้อย ต่อให้ตอนนี้ผู้เยาว์จะต้องกลับไปมือเปล่าก็ยังรู้สึกว่าการมาครั้งนี้ไม่เสียเที่ยว”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เซียนกระบี่เกาปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ ข้านับถือนัก”

เกาอวิ๋นซู่ถาม “ผู้อาวุโสไม่ใช่สวีจวินเซียนกระบี่ของบ้านเกิดข้าจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันถามอย่างกังขา “เซียนกระบี่สวีจวิน โปรดอภัยที่ข้าเก็บตัวสันโดษไม่ค่อยรู้ข่าวคราว รบกวนเซียนกระบี่เกาช่วยเล่าให้ฟังหน่อยเถิด พวกเราเดินไปคุยกันไป”

เกาอวิ๋นซู่เดินเล่นไปพร้อมกับเฉินผิงอัน เขามีความจริงใจอย่างยิ่ง ไม่เพียงเล่าเรื่องเซียนกระบี่ท่านนั้น ยังพูดถึงความคิดส่วนหนึ่งของตัวเองด้วย

‘สวีจวิน’ เซียนกระบี่ใหญ่ของบ้านเกิดที่เกาอวิ๋นซู่พูดถึงคนนี้ได้ออกเดินทางมาเยือนใบถงทวีปล่วงหน้าแล้ว

เกาอวิ๋นซู่เดินทางไกลข้ามทวีปครั้งนี้ นอกจากจะต้องการหาโชควาสนาในต่างบ้านต่างเมือง อันที่จริงก็มีความคิดว่าอยากจะขอความรู้ด้านเวทกระบี่จากสวีจวินด้วย

สวีจวินคือเซียนกระบี่ที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มาบนสนามรบของเกราะทองทวีป คนบนโลกยังไม่ทราบนามที่แท้จริงของเขา รู้แค่ว่าแซ่สวี เป็นผู้ฝึกกระบี่ในพื้นที่ของเกราะทองทวีป ทว่าเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนแล้ว ก่อนจะเกิดสงครามใหญ่ครั้งนั้น เขากลับไม่เคยมีชื่อเสียงมาก่อน ว่ากันว่าสวีจวินผู้นี้ถูกชะตากับฉีถิงจี้ ผู้ฝึกกระบี่อาวุโสที่เคย ‘แกะสลักตัวอักษร’ ซึ่งมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มาก เกาอวิ๋นซู่จึงคิดจะมาเสี่ยงดวงดูที่นี่ หากผู้อาวุโสสวีจวินมีความปรารถนาอยากจะก่อสำนักตั้งพรรคอยู่ในเกราะทองทวีป เกาอวิ๋นซู่ก็อยากจะติดตามสวีจวินนับแต่นี้ จะดีจะชั่วก็ให้ได้เป็นหนึ่งในบรรพจารย์ผู้บุกเบิกภูเขาในนามก็ยังดี

เฉินผิงอันมองดูเหมือนสอบถามสถานการณ์บนสนามรบของเกราะทองทวีปอย่างเรื่อยเปื่อย แต่เกาอวิ๋นซู่ก็ยังคงบอกเล่าเหมือนเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่ ไม่ถือสาที่จะเล่าเรื่องมากมายให้ผู้อาวุโสท่านนี้ฟังแม้แต่น้อย

หนึ่งในนั้นคือพูดถึงเฉาสือแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง รวมไปถึงปรมาจารย์วิถีวรยุทธหญิงสองคนที่มาจากบ้านเกิดเดียวกับเขา แต่เกาอวิ๋นซู่เป็นผู้ฝึกตนอิสระ อีกทั้งรายงานขุนเขาสายน้ำยังถูกศาลบุ๋นสั่งห้าม ดังนั้นจึงแค่เคยได้ยินมาว่าสตรีสองคนนั้น คนหนึ่งแซ่สือ คนหนึ่งแซ่เผย เกาอวิ๋นซู่เดาเอาว่าในเมื่อฝ่ายหลังแซ่เผย บังเอิญถึงเพียงนี้ เกินครึ่งก็น่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธของราชวงศ์ต้าตวนแล้ว เขาเอ่ยทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังคำรบหนึ่ง ราชวงศ์ต้าตวนช่างมีโชคชะตาบู๊โชติช่วงจนน่าตะลึงเสียจริง ไม่เพียงแต่มีอาจารย์และศิษย์เผยเปยเฉาสือ ยังมีผู้มีพรสวรรค์ที่ดูเหมือนจะอายุน้อยยิ่งกว่าเฉาสือโผล่มาด้วย ส่วนจะเป็นขอบเขตเดินทางไกลหรือขอบเขตยอดเขาก็บอกได้ยากแล้ว แต่หากเป็นขอบเขตเดินทางไกล นั่นจะไม่เกินจริงไปหน่อยหรือ หรือว่าโชคชะตาบู๊ในใต้หล้าล้วนมาจากต้าตวนครึ่งหนึ่งจริงๆ?

ในใจเฉินผิงอันลองอนุมานคร่าวๆ ไปรอบหนึ่ง ปีนั้นช่วงเวลาที่หวานเหยียนเหล่าจิ่งถูกกระโจมเจี่ยจื่อแกะสลักชื่อลงบนหัวกำแพงเมือง สือไจ้ซี ก็คืออวี้เจวี้ยนฟู ส่วนผู้ฝึกยุทธหญิงที่อายุน้อยกว่าเฉาสือ หรือว่าจะเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดอีกคนของเทพีแห่งการต่อสู้เผยเปย?

หลังจากฟังจบ เฉินผิงอันก็ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าไม่ใช่ ‘เซียนกระบี่สวีจวิน’ อะไรนั่นจริงๆ”

ยื่นมือไปตบด้ามดาบแคบพิฆาต บอกเป็นนัยแก่อีกฝ่ายว่าตนคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัว

เกาอวิ๋นซู่ปลุกความกล้าถามหยั่งเชิงว่า “ถ้าอย่างนั้นเหตุใดผู้ดูแลหวงถึงได้มองผู้อาวุโสสูงกว่าคนอื่น แล้วยังให้คนนำกล่องไม้ใบหนึ่งมามอบให้ผู้อาวุโสโดยเฉพาะด้วย?”

เกาอวิ๋นซู่รีบพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ผู้อาวุโสอย่าได้คิดมากเด็ดขาด ผู้เยาว์เห็นโดยบังเอิญ เพราะนับตั้งแต่ที่ผู้อาวุโสขึ้นเรือมาก็ค่อนข้างจะโดดเด่นกว่าผู้อื่น ทำให้ผู้เยาว์จดจำได้อย่างลึกซึ้ง”

เจ้าตัวดี ตาแหลมจริงๆ แล้วยังสืบสาวเบาะแสจนมาหยั่งเชิงตนได้ด้วย?

เฉินผิงอันคร้านจะอธิบายอะไร แล้วก็ไม่ใช้เสียงในใจพูดต่อ แต่กุมหมัดเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นแค่การพบเจอกันอย่างผิวเผิน พวกเราก็หยุดแต่พอสมควรเถิด”

เกาอวิ๋นซู่พยักหน้า ไม่กล้าจะตอแยไปมากกว่านี้ หากเป็นผู้อาวุโสเซียนกระบี่ที่ร่ายเวทกระบี่คนนั้นจริงๆ ไม่ว่าจะใช่สวีจวินของบ้านเกิดหรือไม่ ในเมื่ออีกฝ่ายแสดงออกเช่นนี้ ตนก็ไม่ควรได้คืบจะเอาศอก เขาจึงกุมหมัดคารวะกลับคืนอย่างเด็ดเดี่ยว “ถ้าอย่างนั้นผู้เยาว์ก็ขออวยพรให้ผู้อาวุโสท่องเที่ยวราบรื่นปลอดภัย!”

มั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายคือเซียนกระบี่ท่านหนึ่งแน่นอน

ต่อให้อีกฝ่ายจะเอ่ยเรียกเซียนกระบี่เกาคำแล้วคำเล่าก็ตาม

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอให้การเดินทางครั้งนี้ของพี่เกาสมหวังดังใจปรารถนา”

เกาอวิ๋นซู่หัวเราะร่าเสียงดัง “จากลากันตรงนี้เถิด”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับตายิบหยี

เกาอวิ๋นซู่หันตัวก้าวยาวๆ จากไป ต้องการกลับไปที่ซุ้มท่าเรืออีกครั้ง เพราะต้องเปลี่ยนท่าเรือแห่งใหม่เพื่อใช้เป็นที่พักเท้าในการเดินทางขึ้นเหนือแล้ว

อวี๋เสียหุยเอ่ยเบาๆ “เห็นหรือยัง ยุทธภพ นี่ก็คือยุทธภพ”

เฉิงเฉาลู่เอ่ยเตือนน่าหลันอวี้เตี๋ยเบาๆ “อวี้เตี๋ย ประโยคเมื่อครู่นี้ของอาจารย์เฉา เหตุใดเจ้าไม่จดเอาไว้เล่า?”

แม่นางน้อยยกชายแขนเสื้อขึ้น ถลึงตาใส่ “พู่กันกระดาษแล้วก็หมึกใส่ไว้ในนี้ได้หรือ?”

เฉิงเฉาลู่คิดจะเถียงสักสองสามคำ น่าหลันอวี้เตี๋ยจดบันทึกแค่ต้องใช้กระดาษกับพู่กันก็พอแล้ว แต่ว่าพอเฉิงเฉาลู่จะเปิดปาก เฉินผิงอันกลับยื่นมือมากดศีรษะของเขาไว้ เอ่ยสัพยอกว่า “ถ้าไม่อยากโสดขึ้นคานไปตลอดชีวิตก็อย่าพูด”

อันที่จริงเด็กๆ ทุกคนมารู้สึกตัวภายหลัง ทุกคนต่างก็สัมผัสได้ถึงเรื่องหนึ่ง ใต้เท้าอิ่นกวานห่วงใยเหยาเสี่ยวเหยียนและน่าหลันอวี้เตี๋ยมากที่สุด แม้จะบอกว่าเขาปฏิบัติกับทุกคนด้วยใจที่เป็นกลาง มีความเท่าเทียมเสมอภาค ไม่ให้ความสำคัญหรือดูถูกใครโดยดูแค่ขอบเขตหรือระดับขั้นของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต เพียงแต่ว่ายามอยู่กับแม่นางน้อยทั้งสอง ใต้เท้าอิ่นกวาน หรือควรเรียกว่าอาจารย์เฉา กลับมีสายตาอ่อนโยนมากเป็นพิเศษ ราวกับมองลูกหลานในบ้านตัวเองอย่างไรอย่างนั้น

ไปถึงสถานที่กินอาหาร เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน สุดท้ายเลือกเหลาสุราแห่งหนึ่ง แล้วยังขอห้องส่วนตัวจากลูกจ้างร้านมาหนึ่งห้อง ไม่ได้สั่งสุรา พออาหารขึ้นโต๊ะ เฉินผิงอันกินไม่มาก ยังคงละเลียดเคี้ยวเนิบช้า

ป๋ายเสวียนกับน่าหลันอวี้เตี๋ยนั่งอยู่ข้างกายสองด้านของเฉินผิงอัน ไม่ใช่เพราะพวกเขาสองคนคือขอบเขตถ้ำสถิต ขอบเขตสูงกว่าคนอื่นๆ แต่เพราะใจกล้า ไม่กลัวคนแปลกหน้า

เด็กๆ เหล่านี้ ตอนอยู่บนเรือข้ามฟากไฉ่อีไม่เคยออกจากห้องมาแม้แต่ครั้งเดียว

ลงเรือที่ท่าเรือชวีซานก็เป็นเด็กดีว่าง่ายจนไม่สอดคล้องกับอายุและนิสัยใจคอ

แต่เด็กของกำแพงเมืองปราณกระบี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวอ่อนเซียนกระบี่นับแต่กำเนิดอย่างพวกเขา อันที่จริงก็เคยเป็นเด็กที่ ‘ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ’ มากที่สุดในใต้หล้า

เพราะเซียนกระบี่มีมากเกินไป พบเห็นได้ทุกที่ และเซียนกระบี่ที่เดินลงมาจากหัวกำแพงเหล่านั้นก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นผู้อาวุโสในตระกูล อาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้หรือเพื่อนบ้านของเด็กคนใดคนหนึ่ง

น่าหลันอวี้เตี๋ยกล่าว “อาจารย์เฉา วันนี้ข้าเป็นคนจ่ายเงินเองนะ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มกล่าว “น้ำใจรับไว้แล้ว แต่เรื่องจ่ายเงินนั้นอย่าดีกว่า”

น่าหลันอวี้เตี๋ยเอ่ย “ข้ามีเงินฝนธัญพืชตั้งเยอะนะ ปีนั้นท่านย่าบรรพจารย์มอบวัตถุฟางชุ่นชิ้นนั้นให้ข้า ด้านในมีแต่เงินเทพเซียน ท่านย่าบรรพจารย์มักจะชอบพูดว่าเงินไม่ย้ายบ้านก็หาเงินมาเพิ่มไม่ได้นะ”