ท่านเมี่ยวเสวียนค่อยๆ ปรับสภาพอารมณ์ตกใจให้สงบลง

เขาไม่ได้ถามถึงสาเหตุที่หลินสวินยืนกรานจะไปสนามรบแนวหน้าดินแดนรกร้างโบราณให้ได้ แต่ถามเพียงว่า “ต้องไปให้ได้หรือ”

หลินสวินพยักหน้า

ตอนที่อยู่ในป่าต้นหม่อนของสมรภูมิกระหายเลือด ก่อนชายหนุ่มจักจั่นทองจากไป เคยใช้ใบไม้เทพหิมะน้ำแข็งใบหนึ่งผนึกเหล่าผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งจักรพรรดิไว้ ทั้งกำชับหลินสวินว่าต้องเอาของสิ่งนี้ไปสนามรบแนวหน้าให้ได้

ตอนนี้หลินสวินคิดว่าตัวเขาเตรียมรากฐานพลังพร้อมมุ่งหน้าสู่สนามรบแนวหน้าของดินแดนรกร้างโบราณแล้ว ถึงได้ทำเรื่องนี้ทันทีที่กลับมาถึงดินแดนรกร้างโบราณ

“ได้ ข้าจะช่วยจัดการให้”

ท่านเมี่ยวเสวียนไม่ลังเลอีกต่อไป ตกปากรับคำทันที

หลินสวินเป็นมกุฎอริยะที่สร้างวิชาแห่งตนแล้ว ในเมื่อเขาเลือกจะทำเช่นนี้ย่อมต้องมีเหตุผลมากพอ ไม่จำเป็นต้องย้ำเตือนมากความอีก

“ขอบคุณผู้อาวุโสที่เกื้อกูล”

หลินสวินลอบถอนหายใจโล่งอก

สนามรบแนวหน้าดินแดนรกร้างโบราณไม่ใช่ที่ที่ไปง่ายขนาดนั้น ต้องมีวิธีการพิเศษ ผ่านเส้นทางลับห้วงอากาศพิเศษสายหนึ่งจึงจะเข้าถึงได้

หอฤทธิ์เทพ เชี่ยวชาญวิธีเข้าออกเส้นทางลับห้วงอากาศสายนี้พอดี

ท่านเมี่ยวเสวียนกล่าวกำชับ “หนึ่งวันให้หลัง ข้าจะเปิดค่ายกลลับเคลื่อนย้ายให้เจ้า รอหลังจากถึงสนามรบแนวหน้า ต้องไปหาศิษย์พี่ของข้าตั้งแต่จังหวะแรก มีเขาคอยดูแล คงไม่ปล่อยให้เจ้าประสบอันตรายอย่างแน่นอน”

ศิษย์พี่ของท่านเมี่ยวเสวียนก็คือท่านเซิ่น เคยสอน ‘มรรคแห่งหินสลัก’ ให้หลินสวิน อีกทั้งพลังของเขาก็ลึกล้ำสุดหยั่งอีกด้วย

หากมีท่านเซิ่นคอยดูแล ย่อมเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว

“นายท่าน แม่นางอิ๋นฮวนและคุณชายอ๋าวกลับมาแล้ว”

และเวลานี้เองมีเด็กรับใช้มัดแกละสองจุกคนหนึ่งปรากฏตัวที่นอกโถงใหญ่ กล่าวรายงานด้วยน้ำเสียงยินดี

“พวกเขากลับมาแล้วหรือ รีบเชิญมาเร็ว”

ท่านเมี่ยวเสวียนหยัดตัวเต็มความสูง ขณะเดียวกันก็สื่อจิตกับหลินสวิน ‘สหายน้อย อีกเดี๋ยวข้าจะแนะนำเจ้าให้รู้จักกับผู้กล้าสองคนจากทางเดินโบราณฟ้าดารา’

‘คนหนึ่งคืออิ๋นฮวน เป็นธิดาเทพยุคปัจจุบันของ ‘สำนักเร้นฤทธิ์เทพ’ ติดอันดับที่เก้าใน ‘กระดานยอดจรัสฟ้าดารา’ บรรลุมกุฎอริยะตั้งแต่หลายปีก่อน จากนั้นก็เริ่มบุกเบิกเคล็ดวิชา ‘ประทับมหามายาพันอากาศ’ ค่อนข้างเลื่องชือลือชาในหมู่คนรุ่นเยาว์ทั่วทั้งทางเดินโบราณฟ้าดารา’

‘อีกคนคืออ๋าวเจิ้นเทียนจากเผ่าเจินหลง คนผู้นี้ยิ่งน่าทึ่ง เป็นทายาทเจินหลงเลือดบริสุทธิ์ รากฐานน่าตกใจถึงขีดสุด จากที่ข้าสังเกต คนผู้นี้มีบุคลิกผ่าเผยไร้ทัดเทียม ภายหน้าไม่ช้าก็เร็วต้องทะยานติดอันดับ ‘กระดานอริยะแท้ฟ้าดารา’ แน่นอน’

ประโยคเหล่านี้ทำให้ในใจหลินสวินไหวสะท้าน

มาจากทางเดินโบราณฟ้าดาราก็เพียงพอจะทำให้โลกหล้าตกตะลึงได้แล้ว ถึงอย่างไรสำหรับทั่วทั้งดินแดนรกร้างโบราณ ทางเดินโบราณฟ้าดารานั่นเป็นโลกที่เหมือนตำนาน ตั้งตระหง่านอยู่เหนือนภาครามชัดๆ!

อย่างน้อยเท่าที่หลินสวินรู้ ในดินแดนรกร้างโบราณแทบจะมีเพียงระดับจักรพรรดิเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนทะยานผ่านห้วงอากาศว่างเปล่าไปถึงทางเดินโบราณฟ้าดาราได้

และสิ่งที่ยิ่งทำให้หลินสวินคิดไม่ถึงคือ ชายหญิงสองคนจากทางเดินโบราณฟ้าดาราถึงกับไม่ธรรมดากินกันไม่ลง!

อิ๋นฮวนสร้างวิชาแห่งตนขึ้นมาแล้ว อ๋าวเจิ้นเทียนยิ่งเป็นทายาทเจินหลงเลือดบริสุทธิ์ หากอยู่ในดินแดนรกร้างโบราณล้วน เรียกได้ว่าสะท้านโลกและหาตัวจับยาก

ต่อมาจากคำอธิบายของท่านเมี่ยวเสวียน หลินสวินก็เข้าใจความลับบางอย่างด้วยเช่นกัน

อย่างเช่น ‘กระดานยอดจรัสฟ้าดารา’ นั่น มีแต่เหล่าผู้กล้าชายหญิงที่โดดเด่นที่สุดในทางเดินโบราณฟ้าดาราเท่านั้นจึงจะติดอันดับได้

แต่ละคนรากฐานต่ำสุดยังเป็นถึงมกุฎอริยะแท้ ไม่เพียงเท่านี้ ชายหญิงที่บุคลิกโดดเด่นเฉิดฉายบนทางเดินโบราณฟ้าดาราเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์ รากฐาน รูปร่างหน้าตา บุคลิก ต่างเรียกได้ว่าเป็นสุดยอดแห่งยุค

‘ยอดจรัส’ สองคำนี้ก็มาจากเหตุนี้นั่นเอง

อิ๋นฮวนนั่นสามารถติดอันดับที่เก้าใน ‘กระดานยอดจรัสฟ้าดารา’ ได้ แค่คิดก็รู้ว่าไม่ธรรมดาปานใด

แน่นอน ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้ โลกปวงสวรรค์เวิ้งว้างปานใด ใช่ว่ารายชื่อกระดานหนึ่งจะสามารถระบุชายหญิงในใต้หล้าที่น่าอัศจรรย์ได้ทั้งหมด

แต่ที่แน่ใจได้คือ ชายหญิงที่สามารถติดอันอับบนกระดานนี้ได้ ย่อมไม่มีพวกธรรมดาทั่วไปสักคนอย่างแน่นอน

และสำนักเร้นฤทธิ์เทพที่อิ๋นฮวนอยู่นั้นก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นแบบไม่อาจแบ่งแยกกับหอฤทธิ์เทพซึ่งตั้งอยู่ในดินแดนรกร้างโบราณ

หากกล่าวว่าหอฤทธิ์เทพเป็นสาขาหนึ่ง เช่นนั้นสำนักเร้นฤทธิ์เทพก็คือสำนักหลักสายตรง!

ส่วน ‘กระดานอริยะแท้ฟ้าดารา’ เรียกอีกอย่างว่า ‘กระดานมกุฎอริยะแท้’ อยู่ในทางเดินโบราณฟ้าดารา มีเพียงพวกบารมีไร้ทัดเทียมเท่านั้นจึงสามารถมีคุณสมบัติไต่ทะยานสู่กระดานนี้ได้

ความสำคัญของกระดานระดับนี้ ถึงขนาดสำคัญกว่ากระดานยอดจรัสฟ้าดารา ถูกขุมอำนาจใหญ่บนทางเดินโบราณฟ้าดาราไม่รู้เท่าไหร่คอยจับจ้องอยู่

ไม่ว่าใครก็ตามที่ติดอันอับบนกระดานนี้ได้ ล้วนถูกมองเป็น ‘สุริยันผู้กล้าฟ้าดารา’!

อ๋าวเจิ้นเทียนมีฐานพลังทะยานขึ้นสู่กระดานนี้ได้แล้ว ย่อมไม่ใช่พวกธรรมดาอย่างแน่นอน

เพียงแต่สำหรับหลินสวิน ทั้งหมดนี้ก็เป็นได้แค่ตำนานบทใหม่ เพราะก่อนหน้านี้เขาไม่เคยได้ยินความลับระดับนี้มาก่อน ยังไม่ถึงขั้นสั่นสะท้านสะเทือนอารมณ์

เพราะตัวเขาเองก็เรียกได้ว่าไร้เทียมทานในระดับมกุฎอริยะแท้แล้ว ในแง่จิตใจย่อมไม่มีความรู้สึกไหวหวั่นสั่นคลอนใดๆ

สิ่งเดียวที่ทำให้หลินสวินสงสัยใคร่รู้คือ ชายหญิงเช่นนี้เหตุใดถึงมาเยือนดินแดนรกร้างโบราณ และพวกเขามาครั้งนี้เพราะอะไรกัน

ขณะกำลังอยู่ในภวังค์ครุ่นคิด เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นนอกโถงใหญ่ หนึ่งหญิงหนึ่งชายเดินเคียงไหล่มาพร้อมกัน

ชายหนุ่มรูปร่างสูงกำยำ ก้าวย่างหนักแน่นน่าเกรงขาม สวมชุดคลุมมังกรสีเหลืองสด สวมรองเท้าลายเมฆ ผมยาวม้วนมวย บนหน้าผากเกลี้ยงเกลามีเขามังกรยาวชุ่นเศษงอกขึ้นมาคู่หนึ่ง

พร้อมๆ การย่างก้าวของเขา อำนาจไพศาลก็พลอยคละคลุ้งตามไปด้วย ทำให้เขาดูเหมือนเจ้าเหนือโลกที่โรยตัวสู่โลกหล้า มีกลิ่นอายกลืนกินสี่สมุทร ควบคุมอานุภาพคลื่นลม

โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น ระหว่างเปิดปิดแสงเทพดุจคมดาบ ให้ความรู้สึกเจ็บแปลบเฉียบคมปานตัดลำคอ

คนผู้นี้ก็คืออ๋าวเจิ้นเทียน ทายาทเลือดบริสุทธิ์เผ่าเจินหลงอย่างไม่ต้องสงสัย!

คนบางพวกแค่มองก็รู้ว่าไม่ธรรมดา เป็นเทพสงครามพรสวรรค์ล้ำเลิศ เหมือนอย่างอ๋าวเจิ้นเทียนคนนี้

แต่ว่าหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ เขาไม่ได้ถูกรัศมีผ่าเผยของเขากลบสักนิด ถึงขั้นทำให้ผู้คนสังเกตถึงการมีตัวตนของนางตั้งแต่แวบแรก

เหตุผลนั้นง่ายมาก ความงามของบุคลิกรูปโฉมของผู้หญิงคนนี้ประหนึ่งเซียนสวรรค์!

นางสวมชุดขาว เรือนผมดำขลับดุจน้ำตกถูกมัดรวบด้วยเชือกสีแดงลวกๆ ลู่ตัวลงที่บริเวณช่วงเอวกลมกลึง ดวงหน้าไม่ได้ผลัดแป้งแต่สีดุจหิมะกระจ่างประกายระเรื่อ ผิวเนียนดุจหยก สะคราญโฉมไร้ทัดเทียม

ขณะก้าวเดินประกายควันสายแล้วสายเล่ารายล้อมรอบตัวนาง ดั่งฝันดุจมายา ขับเน้นเงาร่างของนางให้ทรงเสน่ห์ดุจท่วงทำนองเทพแห่งเซียน

เพียงแต่สายตาของนางเย็นชาเกินไป ดูคล้ายเยือกเย็น ความเป็นจริงกลับเย็นเยียบซ่อนคมสุดขีด ให้ความรู้สึกสูงส่ง เหินห่างจากผู้คน

“อิ๋นฮวน องค์ชายเจ็ด พวกเจ้ากลับมาแล้ว”

ท่านเมี่ยวเสวียนก้าวขึ้นไปต้อนรับพร้อมรอยยิ้ม

“คารวะอาจารย์อา”

“คารวะผู้อาวุโส”

อิ๋นฮวนและอ๋าวเจิ้นเทียนต่างโค้งคารวะ สีหน้าไม่อ่อนน้อมไม่โอหัง แม้ว่าท่านเมี่ยวเสวียนจะเป็นระดับกึ่งจักรพรรดิ แต่สำหรับพวกเขากลับคล้ายเห็นจนชินตา

“ฮ่าๆ กลับมาแล้วก็ดี รีบเข้ามานั่ง ข้าจะแนะนำสหายคนหนึ่งให้แก่พวกเจ้า”

ท่านเมี่ยวเสวียนส่งสัญญาณให้ทั้งคู่นั่งลง จากนั้นก็ให้เด็กรับใช้ยกชามา ท่าทีดูกระตือรือร้น

เพียงแต่ทันทีที่อ๋าวเจิ้นเทียนนั่งลงก็กล่าวกลั้วหัวเราะ “ผู้อาวุโส รอให้จัดการธุระเข้าที่เข้าทาง ข้าก็จะกลับสู่ทางเดินโบราณฟ้าดาราแล้ว หาได้มีแก่ใจผูกมิตร”

คำพูดสบายๆ ตั้งแต่ต้นจนจบเพียงเหลือบตามองหลินสวินแค่แวบเดียวแล้วไม่สนใจอีก ความหยิ่งยโสที่อยู่ภายในเผยออกมาเต็มที่ในประโยคที่ดูไม่ยี่หระนี้

รอยยิ้มท่านเมี่ยวเสวียนจางลงไปมาก สายตามองไปทางอิ๋นฮวน

อิ๋นฮวนยกน้ำชาจากโต๊ะกล่าวว่า“อาจารย์อา ที่คุณชายอ๋าวว่ามานั้นไม่ผิด สุดท้ายพวกเราก็ไม่ได้อยู่ดินแดนรกร้างโบราณแห่งนี้ รอเรื่องนี้จบก็ต้องกลับไปแล้ว ผูกมิตรเวลานี้ ต่อไปย่อมไม่อาจได้พบกันอีกแน่ ไม่ใคร่มีความหมาย รังแต่จะเพิ่มภาระ”

กล่าวพลางสายตานางมองไปยังหลินสวินที่นั่งตรงข้ามในโถงใหญ่ กล่าวว่า “สหายยุทธ์ท่านนี้ เจ้าคิดอย่างไรล่ะ”

เสียงของนางดุจนกขมิ้นเหลืองขับขาน ไพเราะเสนาะหู แต่ไม่ว่าท่าทีหรือคำพูดล้วนแฝงแววเยียบเย็นหยิ่งยโส

เดิมหลินสวินยังสงสัยใคร่รู้ คิดอยากชื่นชมความสง่างามของยอดผู้กล้าบนทางเดินโบราณฟ้าดารา แต่พอเห็นภาพนี้เข้าก็พลันหมดความสนใจในทันที

“เจ้าว่ามาก็ถูก คนแปลกหน้าพบกันโดยบังเอิญเท่านั้นเอง ไม่จำเป็นต้องฝืนบังคับกัน” หลินสวินกล่าว

เมื่อเป็นเช่นนี้กลับทำให้อิ๋นฮวนเป็นฝ่ายอึ้งไปเล็กน้อย ในจิตใต้สำนึกของนางคิดว่าท่านเมี่ยวเสวียนต้องการอุ้มชูหลินสวินถึงได้อยากแนะนำให้ตนรู้จัก จึงมองเขาเป็นแค่พวกไร้ความสำคัญคนหนึ่ง

คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายถึงกับแสดงท่าทีเรียบเฉยเช่นนี้

จากนั้นนางก็ส่ายหน้า ไม่คิดมากอีก ช่วงหลายปีมานี้ชายหนุ่มที่เทียวไล้เทียวขื่อนางมีไม่รู้เท่าไหร่ หนึ่งในนั้นไม่ขาดพวกสุริยันผู้กล้าที่ชื่อก้องฟ้าดาราเลย

แต่ล้วนถูกนางปฏิเสธโดยไม่มีข้อยกเว้น

ท่าทีเรียบเฉยที่หลินสวินแสดงออกมาในตอนนี้ก็ถูกนางมองว่าเป็นการ ‘เสแสร้งแกล้งทำ’ อย่างหนึ่ง จงใจทำเช่นนี้เพื่อดึงความสนใจของตน

ที่น่าเสียดายคือ ลูกไม้เช่นนี้นางเห็นมามากแล้ว

อ๋าวเจิ้นเทียนก็หัวเราะเยาะออกมา กล่าวพร้อมรอยยิ้มนึกสนุกว่า “คนแปลกหน้าพานพบกันก็คือวาสนา หากพบคนที่ถูกชะตา ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะรู้จักสักหน่อย น่าเสียดาย ข้ากับเจ้ามีบุญแต่ไร้วาสนา”

สนทนาจนถึงตอนนี้ บรรยากาศภายในโถงใหญ่ดูเปราะบางอย่างเห็นได้ชัด

ท่านเมี่ยวเสวียนในฐานะเจ้าบ้านมีหรือจะมองไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นอิ๋นฮวนหรืออ๋าวเจิ้นเทียน ล้วนไม่เคยเห็นหลินสวินอยู่ในสายตาสักนิด

ก็ต้องโทษที่เขาใจร้อนเกินไป อยากให้หลินสวินรู้จักสหายไว้ส่วนหนึ่ง ต่อไปเมื่อมุ่งหน้าสู่ทางเดินโบราณฟ้าดาราจะได้มีมิตรเพิ่มขึ้น

คิดไม่ถึงว่ากลับทำเสียเรื่อง

ท่านเมี่ยวเสวียนเพิ่งคิดจะอธิบาย หลินสวินก็ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส เรื่องมีบุญแต่ไร้วาสนาไม่ต้องฝืนบังคับ หากไม่มีเรื่องอื่นแล้วข้าผู้แซ่หลินขอตัวก่อน”

กล่าวจบเขาก็หยัดตัวเต็มความสูงอย่างเด็ดขาด

ช่วงก่อนหน้านี้ผู้บำเพ็ญมรรคในดินแดนรกร้างโบราณดูแคลนผู้บำเพ็ญมรรคจากโลกชั้นล่าง ตอนนี้กลับดีนัก ผู้บำเพ็ญมรรคจากดินแดนรกร้างโบราณก็ถูกคนจากทางเดินโบราณฟ้าดาราดูแคลนเช่นกัน

อันที่จริงเรื่องนี้ธรรมดามาก ในวิถีฝึกปราณ ในการดำเนินชีวิต เรื่องทำนองนี้มีมากมายเหลือเกิน

แม้แต่ในจักรวรรดิ ประชาชนคนทั่วไปในนครต้องห้ามยังดูแคลนประชาชนจากเขตเมืองอื่นเลย

หลินสวินเข้าใจได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมรับโดยดุษณี

สำหรับการจากไปของหลินสวิน ท่านเมี่ยวเสวียนทอดถอนใจคราหนึ่ง ไม่ได้ห้ามปราม กำชับเด็กรับใช้ให้จัดแจงสถานที่พักผ่อนให้หลินสวิน

ส่วนอ๋าวเจิ้นเทียนและอิ๋นฮวน ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้มองหลินสวินอีกเลย ไม่มีความสำคัญ ไยต้องใส่ใจ

“อาจารย์อา พวกเราสืบข่าวมาได้แล้ว คนที่คุณชายอ๋าวหาตัว ตอนนี้อยู่ข้างกายผู้บำเพ็ญมรรคคนหนึ่งที่ชื่อหลินสวิน”

ในโถงใหญ่อิ๋นฮวนเอ่ยพูดตรงประเด็น “ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนี้หลินสวินนี่อยู่ที่ไหน”

“หลินสวิน?”

ท่านเมี่ยวเสวียนอึ้งงัน สีหน้าแปลกไป

และพร้อมกันนั้นหลินสวินที่เพิ่งเดินออกจากโถงใหญ่ยังไม่ไกลนักพลันชะงักฝีเท้า นัยน์ตาดำหรี่ลง เจ้าสองคนนี่มุ่งหน้าจากทางเดินโบราณฟ้าดารามาดินแดนรกร้างโบราณเพื่อหาคนหรือ

หนำซ้ำยังอยู่ข้างๆ ตนด้วย?

……