ณ แดนลับทวยเทพ
ซากปรักหักพังของระนาบเทพในอดีต จากเดิมที่มีแต่ความเงียบเหงา พอมีเหล่าอัจฉริยะกรูกันเข้ามา ก็คล้ายจะหวนกลับมามีชีวิตชีวาทันใด
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่พึ่งเหินร่างมาถึง ไม่มีใครคิดรั้งอยู่ใกล้ๆจุดเริ่มต้นสักคน ทั้งหมดเร่งรุดเหินร่างจากไปทันที ด้วยคิดว่าหากมีสมบัติใดๆอยู่ ก็ไม่พ้นคนที่มาก่อนต้องฉกฉวยไปหมดสิ้นแล้ว
พวกมันมีเวลากันแค่ 3 วันเท่านั้น ไมอาจมาเสียเวลาที่นี่ได้
“พลังวิญญาณฟ้าดินในซากระนาบเทพบริสุทธ์และมีคุณภาพสูงล้ำไม่ธรรมดาจริงๆ…ว่าแต่มันจะไม่เบาบางไปหน่อยหรือ? ไฉนข้ารู้สึกว่าต่อให้บ่มเพาะพลังที่นี่มันก็ไม่แตกต่างอะไรจากโลกภายนอกเลยเล่า?”
อัจฉริยะที่พุ่งเข้ามาหลายต่อหลายคนตระหนักถึงเรื่องนี้
“ขึ้นชื่อว่าข่าวลือเจ้าจะให้มันจริงสักเท่าไหร่เชียว…โอกาสในซากระนาบเทพล้วนมาในรูปแบบอุปกรณ์เทพอะไรมากกว่า การบ่มเพาะพลังคงไม่ได้ให้ผลอะไรมากหรอก อย่าได้เสียเวลาบ่มเพาะที่นี่เลย”
“ใช่ รีบเข้าไปลึกๆกันเถอะ ไม่แน่พวกเราอาจจะโชคดีได้อุปกรณ์เทพติดไม้ติดมือกันไปคนละชิ้นสองชิ้นก็เป็นได้”
…
ซากปรักหักพังของระนาบเทพที่ล่มสลายนั้น ทุกคนเคยได้ยินข่าวลือมาว่ามันเป็นดั่งสรวงสวรรค์ของการบ่มเพาะ…แต่ตอนนี้เหล่าอัจฉริยะที่เข้ามา กลับไม่พบว่ามันจะมีอะไรพิเศษแบบนั้น!
“คุณภาพและความบริสุทธิ์ของพลังวิญญาณฟ้าดินมันเหนือกว่าระนาบเทวโลกลิบลับเลยก็จริง…แต่จักไม่เบาบางเกินไปหน่อยหรือ? ศิษย์พี่เทียนสิงท่านว่ามันแตกต่างจากคำ ‘ดินแดนศักดิ์สิทธ์แห่งการบ่มเพาะ’ ที่นิกายเราบันทึกไว้หรือไม่?”
เหอจ้านกับเหล่าศิษย์นิกายกระบี่หมื่นหายนะ หันไปมองถามอวี่เทียนสิงที่เหินร่างนำอยู่ด้านหน้าด้วยความสงสัย
“อืม แตกต่างจากที่ข้าเคยได้ยินมาจริงๆ…”
อวี่เทียนสิงพยักหน้าตอบรับ “ที่สำคัญยังถือว่าห่างไกลจากในบันทึกลิบลับ…หรือบางทีกลิ่นอายพลังวิญญาณฟ้าดินที่นี่จะค่อยๆจางหายไปตามกาลเวลา?”
ไม่เพียงแต่อวี่เทียนสิงกับเหอจ้านและคนของนิกายกระบี่หมื่นหายนะเท่านั้น อัจฉริยะจากขุมกำลังอื่นๆก็งุนงงไม่แพ้กัน
เป็นธรรมดาว่าพวกมันก็คาดเดาไปทำนองเดียวกับอวี่เทียนสิง
หากจะถามว่าในบรรดาอัจฉริยะทั้งหมด มีใครที่คิดต่างออกไป เห็นทีคงจะมีแค่ ซูหลี่ กับ กงซุนจิ้ง!
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ไฉนผ่านไปแค่เดือนเดียว แต่พลังวิญญาณฟ้าดินในซากปรักหักพังของระนาบเทพกลับเบาบางลงเรื่อยๆถึงจุดนี้ได้? ตอนนี้ให้เทียบกับความหนาแน่นของพลังวิญญาณฟ้าดินจากวันที่เข้ามา มันยังเหลือไม่ถึง 1 ใน 100 ส่วนด้วยซ้ำ!”
กงซุนจิ้ง ที่เหินร่างท่ามกลางซากปรักหักพังมุมหนึ่งของซากระนาบเทพ อดไม่ได้ที่จะงุนงง
มันเข้ามาอยู่ในนี้ได้เดือนนึงแล้ว…
ตลอดเดือนที่ผ่านมา มันสัมผัสได้ชัดเจนถึงความเปลี่ยนแปลงของพลังวิญญาณฟ้าดินในสภาพแวดล้อมโดยรอบ วันแรกนั้น ทุกที่ท่างหนาแน่นไปด้วยพลังวิญญาณฟ้าดิน หากทว่าแต่ละวันที่ผันผ่านมันกับลดลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายตอนนี้มันก็แทบไม่เหลือเลย…
ซากระนาบเทพ แม้จะเป็นซากปรักหักพังของระนาบเทพที่ล่มสลายไปแล้ว แต่ยังกว้างใหญ่ไพศาลสุดจินตนาการนัก
หากทว่าในสถานที่อันใหญ่โตเหนือจินตนาการแห่งนี้ เพียงช่วงเวลาสั้นๆแค่หนึ่งเดือน พลังวิญญาณฟ้าดินกลับหายสาบสูญไปกว่า 99 ใน 100 ส่วน!
“หรือเพราะการเข้ามาของงพวกเรา มันขัดต่อกฏเกณฑ์ฟ้าดินที่นี่?”
ในขณะที่กงซุนจิ้งงงงวย ซูหลี่เองก็อื้ออึงไม่แพ้กัน
เพียงแค่ต่อให้เป็นซูหลี่เอง ก็ไม่อาจจินตนาการได้ออกเลย ว่าความเปลี่ยนแปลงของพลังวิญญาณฟ้าดินมากมายมหาศาลในซากระนาบเทพแห่งนี้ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา…ทั้งหมดเป็นเพราะสหายประเสริฐของมัน ต้วนหลิงเทียน!
ณ สถานที่แห่งหนึ่งในซากระนาบเทพ ดั่งห้วงลึกไร้ก้นบึ้ง
ในห้วงลึกไร้ก้นบึ้งดังกล่าว ปรากฏดวงแสงหนึ่งที่ส่องสว่างเจิดจ้าปานดวงตะวัน
ด้านข้างของดวงแสงดังกล่าว มีสตรีนางหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ และหากสังเกตให้ดีจะพบว่าต่อให้นางไม่ดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดิน แต่พลังวิญญาณฟ้าดินก็ยังหลั่งไหลเข้าร่างของนางอยู่ดี
อย่างไรก็ตามก่อนที่พลังวิญญาณฟ้าดินดังกล่าวจะไหลเข้าสู่ร่างนาง มันได้ผ่านดวงแสงที่สว่างจ้าปานตะวันนั่นก่อน ทั้งยังเป็นกระแสพลังบริสุทธิ์ที่ไหลมาอย่างต่อเนื่อง มองไปคล้ายเส้นไหมเชื่อมระหว่างสตรีนางนี้กับดวงแสงจ้าอยู่บ้าง
และดวงแสงเจิดจ้าปานตะวันที่ว่า หากดวงตาใครสามารถทนมองผ่านแสงสว่างเข้าไป ย่อมพบว่าต้นตอของดวงแสงที่ว่ากลับเป็นร่างคนๆหนึ่ง! เป็นร่างชายหนุ่มในชุดสีม่วงที่กำลังนั่งขัดสมาธิเดินพลังด้วยสีหน้าจริงจัง และแสงสว่างจ้าปานดววงตะวันก็คือพลังวิญญาณฟ้าดินบริสุทธิ์ ที่ถูกควบรวมออกมาปานรังไหมให้ฮ่วนเอ๋อได้ดูดซับสะดวกๆ!!
“กิ่งของพฤกษาเทพกำเนิดชีพ…พอผสานเข้ากับพฤกษาเทพกำเนิดชีพที่กำลังจะตายในซากปรักหักพังของระนาบเทพแห่งนี้ รวมถึงดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเกือบทั้งหมดในซากระนาบเทพนี่…ไม่คิดเลยว่ามันจะหวนกลับมาเป็นพฤกษาเทพกำเนิดชีพสมบูรณ์ต้นมหึมาได้อีกครั้ง!”
ตอนนี้เมื่อต้วนหลิงเทียนมองไปยังโลกภายในร่างเขา ก็สามารถเห็นได้ชัดเจน
กลางโลกใบเล็กของเขา กิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพจากเดิมที่ไม่ต่างอะไรจากต้นกล้าเล็กๆ บัดนี้ได้กลับกลายเป็นต้นไม้ใหญ่โตมหึมา ราวกับจะตระหง่านเย้ยฟ้าดิน เปล่งกลิ่นอายพลังชีวิตมหาศาลแผ่ซ่านไปทั่วร่างของเขา
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ตอนนี้ภายในโลกใบเล็กของต้วนหลิงเทียน กลับอุดมไปด้วยพลังวิญญาณฟ้าดินของซากระนาบเทพ เรียกว่าหนาแน่นบริบูรณ์จนแทบจะกลั่นตัวเป็นโคลนเหลว
“เจ้าหนู…ข้าว่าชาติก่อนเจ้าต้องเคยกอบกู้มหาสหัสไตรโลกธาตุมาแน่ๆ”
ภายในร่างเขาปรากฏเสียงเด็กน้อยปากยยังงไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดังขึ้น ฟังแล้วแลท่าจะยังตกใจไม่หาย “ข้าว่าตั้งแต่ยุคบรรพโกลาหลจวบจนปัจจุบัน คงมีแค่เจ้าคนเดียวเท่านั้นที่มีชีพจรสวรรค์ 99 จุดสาย ได้รับกิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพ รวบรวมเทพเบญจธาตุได้ครบ และได้เข้าสู่ซากระนาบเทพแบบนี้”
“วารีเทพชำระโลกาที่เจ้ายัดเยียดให้เจ้าหยูหวงเจียหลงนั่น สุดท้ายในซากระนาบเทพนี่ เจ้าไม่เพียงได้พบเจอพฤกษาเทเทพกำเนิดชีพที่กำลังจะตาย แต่ยังพบเจอวารีเทพชำระโลกาอีก…แถมยังเป็นวารีเทพชำระโลกาขั้น 5 อีกด้วย!”
กล่าวถึงจุดนี้เสียงของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็ฟังดูเหลือเชื่อ เห็นได้ชัดว่ามันเองก็ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้
“ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ ข้าเกรงว่าโลกใบเล็กในร่างข้า คงไม่อาจฝืนดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินจากซากระนาบเทพมาเก็บไว้ทั้งหมดได้กระมัง?”
ต้วนหลิงเทียนยังอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมา
ก่อนจะเข้าสู่ซากระนาบเทพ เขาไม่คิดเลยว่าตัวเองจะได้พบเจอมหาโชคเทียมฟ้าขนาดนี้
เดิมทีเขาคิดว่าจะเข้ามากอบโกยอุปกรณ์เทพเพราะมีหวงเอ้อ ที่ไม่ต่างอะไรจากเรดาร์ในโลกเก่าเขาเลย แค่นางคือเรดาร์หาอุปกรณ์เทพเท่านั้น
ทว่าเขาไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่าอยู่มาวันหนึ่ง กิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพในร่างเขากลับชักจูงเขา จนไปพบเจอพฤกษาเทพกำเนิดชีพที่กำลังจะตายในซากระนาบเทพเข้า…!
ระนาบเทพทุกระนาบ ล้วนมีพฤกษาเทพกำเนิดชีพดำรงอยู่
ยามเมื่อระนาบเทพถูกทำลาย ปกติแล้วพฤกษาเทพกำเนิดชีพก็ไม่อาจอยู่รอดได้เช่นกัน แต่ทว่าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าพฤกษาเทพกำเนิดชีพในซากระนาบเทพแห่งนี้กลับสามารถรอดชีวิตมาได้…และที่มันรอดมาได้ก็เพราะวารีเทพชำระโลกา!
ทว่าราคาในการรักษาชีวิตของพฤกษาเทพกำเนิดชีพ ก็ทำให้วารีเทพชำระโลกาดังกล่าวได้ถดถอยจากขั้นที่ 9 ลงมาถึงขั้นที่ 5!!
วารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 9 นั้น เรียกว่ามันคือเทพเบญจธาตุที่สามารถช่วยให้คนผู้หนึ่งบรรลุถึงขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุดได้แล้ว
เจ้าของเดิมของมัน และยังเป็นเจ้าของพฤกษาเทพกำเนิดชีพในระนาบเทพแห่งนี้ เดิมทีกำลังจะทะลวงถึงขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุดอยู่แล้ว แถมยังเป็นคนแรกอีกด้วยที่กำลังจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดเพราะพฤกษาเทพกำเนิดชีพ!
อนิจจาในช่วงเวลาที่มันกำลังจะทะลวงถึงขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุด กลับถูกผู้แข็งแกร่งที่สุดคนอื่นล่วงรู้ และโดนบุกมาเข่นฆ่าสังหาร กระทั่งแกนกลางของระนาบเทพแห่งนี้ก็ถูกทำลายลงไปเช่นกัน
ในช่วงเวลาที่แกนกลางของระนาบเทพถูกทำลาย สำนึกสติของพฤกษาเทพกำเนิดชีพก็ได้ถูกทำลายลงไปด้วย ถึงแม้วารีเทพชำระโลกาจะยังสามารถรักษาสำนึกสติของตัวเองเอาไว้ได้ แต่เพื่อรักษาพฤกษาเทพกำเนิดชีพเอาไว้ จึงได้แต่ใช้พลังของตัวเองค้ำจุน จนในที่สุดก็ถดถอยกลับมาเป็นวารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 5
มันปกป้องพฤกษาเทพกำเนิดชีพเอาไว้ จนในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็มาพบเจอ
ต้วนหลิงเทียนไม่เพียงมีชีพจรสวรรค์ 99 จุดสาย ยังสามารถทำให้พฤกษาเทพกำเนิดชีพยอมรับเป็นนายได้ล่วงหน้า และนอกจากทองเทพสุดลี้ลับ เพลิงเทพโกลาหล ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน เขายังมีพฤกษาเทพครองสวรรค์ขั้นที่ 1 ติดตัวอยู่ด้วย…
ต่อมาภายใต้การจัดการของวารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 5 พฤกษาเทพกำเนิดชีพของซากระนาบเทพแห่งนี้ก็ได้ผสานหลอมรวมเข้ากับกิ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพในโลกใบเล็กของต้วนหลิงเทียน
“เทพเบญจธาตุทั้ง 5 บรรจบ มหาค่ายกลเบญจธาตุผ่านฟ้า!”
จากนั้นภายใต้การชี้นำของวารีเทพชำระโลกา 4 เทพเบญจธาตุในร่างต้วนหลิงเทียน ก็ได้ร่วมมือกันสร้างมหาค่ายกลไว้ในโลกใบเล็กของต้วนหลิงเทียน เดิมทีต้วนหลิงเทียนก็งุนงงเพราะไม่เห็นว่ามหาค่ายกลที่ว่าจะทำอะไรได้เลย แต่ทันทีที่คิดแบบนี้ เขาก็สัมผัสได้ว่าพลังวิญญาณฟ้าดินในซากระนาบเทพ…กำลังถูกมหาค่ายกลดังกล่าวชักนำเข้ามากักเก็บในโลกใบเล็กของเขาด้วยความเร็วอันน่าพรั่นพรึง!!
เรียกว่ามหาค่ายกลดังกล่าว เป็นมหาค่ายกลที่ท้าทายสวรรค์อย่างแรง!!
จากนั้นในขณะที่มหาค่ายกลดำเนินการ เทพเบญยจธาตุทั้ง 5 ในร่างของเขาก็ประสบกับความเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวง…ทั้งหมดยกระดับพัฒนาไปถึงขั้นที่ 6 ในคราวเดียว!
กล่าวได้ว่าครั้งนี้ผู้ที่ก้าวหน้าน้อยที่สุดก็คือตัววารีเทพชำระโลกาเอง
ผู้ทีบังเกิดการกระดับพัฒนายิ่งใหญ่กว่าใครเพื่อนก็คือ พฤกษาเทพครองสววรรค์ เพราะมันพุ่งพรวดจากขั้น 1 มาถึงขั้น 6 ในคราเดียว!
“พี่หญิงพี่สุ่ยขา เมื่อไหร่ข้าจะพัฒนาเป็นขั้นที่ 7 ได้อ่า?”
เมื่อพฤกษาเทพครองสวรรค์ของต้วนหลิงเทียนเริ่มก่อเกิดสำนึกเทวะ นางก็ประสบกับความก้าวหน้ารวดเร็วฉับไวกว่าใคร และความก้าวหน้าทั้งหมดของนางเป็นวารีเทพชำระโลกานำพามา นางจึงยึดถือวารีเทพชำระโลกาเป็นพี่สาวคนสนิท
“น้องหญิงมู่…มหาค่ายกลเบญจธาตุหลอมฟ้า แม้จะปล้นชิงพลังวิญญาณฟ้าดินจากทั่วทั้งซากระนาบเทพแห่งนี้มา จนช่วยยกระดับพวกเราจนถึงขั้นที่ 6 ได้ แต่นั่นก็นับเป็นขีดจำกัดแล้ว…หากเจ้าคิดจะพัฒนาต่อไปมีแต่ต้องหาวิธีอื่นเท่านั้น”
เสียงของพฤกษาเทพครองสวรรค์กับวารีเทพชำระโลกาล้วนเป็นเสียงของสตรีด้วยกันทั้งคู่
อย่างไรก็ตาม เสียงของพฤกษาเทพครองสวรรค์กลับไม่เหมือนเสียงของวารีเทพชำระโลกาที่เติบโตเป็นสาวแล้ว เสียงนางยังฟังเหมือนเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งเท่านั้น
“งั้นหรือ?”
เห็นได้ชัดว่าพฤกษาเทพครองสวรรค์จ๋อยลงทันที
“หนูน้อยมู่เอย…แค่เดือนเดียววิวัฒน์จากขั้นที่ 1 เป็นขั้นที่ 6 เจ้ายังไม่พอใจอีกหรือ?”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าววกับพฤกษาเทพครองสวรรค์ด้วยวาจาราวอาวุโสกล่าวปรามรุ่นเยาว์ หากแต่เสียงเด็กน้อยยังไม่หย่านมของมัน ไม่ได้มีอานุภาพสะกดผู้ใดได้เลย
“น้องถู เสียงเจ้าเด็กน้อยมากเลย…รอวันหลังเมื่อพวกเราจำแลงกายได้เมื่อไหร่ ต้องปล่อยให้พี่สาวหยิกแก้มตุ้ยนุ้ยน่ารักของเจ้าเล่นด้วย”
พฤกษาเทพครองสวรรค์กล่าวด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน
“ข้าพูดไปกี่รอบแล้วว่าข้าไม่ใช่น้องถู! สำนึกสติของเจ้าพึ่งจะก่อเกิดมาไม่ถึงเดือนที แต่ริอาจเรียกข้าว่าน้องรึ! ตัวข้าก่อเกิดสำนึกเทวะมาเนิ่นนานกว่าเจ้าเป็นร้อยๆเท่า! เจ้าต้องเรียกข้าว่าพี่ชายรู้หรือไม่!?”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าวค้านอย่างไม่ยินยอม
เดิมทีทองเทพสุดลี้ลับกับเพลิงเทพโกลาหลก็แลดูไม่สนใจมันอยู่แล้ว
กับวารีเทพชำระโลกาที่สามารถช่วยให้มันยกระดับกลายเป็นขั้น 6 ในเวลาอันสั้นแถมอีกฝ่ายยังดำรงอยู่มาเนิ่นนานยิ่งกว่าเพลิงเทพโกลาหล ทองเทพสุดลี้ลับ รวมถึงตัวมันมากมาย เช่นนั้นมันย่อมไม่กล้าหืออือ
แต่ตอนนี้พฤกษาเทพครองสวรรค์ที่พึ่งจะก่อเกิดสำนึกสติได้ไม่ถึงเดือนดี กลับคิดจะกดหัวมันและเรียกหามันว่าน้องชายอีก?
“อัยยะ เสียงเด็กน้อยเช่นนี้ยังคิดเป็นพี่ชายข้าหรือ…น้องถูเจ้าโง่รึเปล่า?”
เสียงเย้ยเยาะของพฤกษาเทพครองสวรรค์ดังขึ้นอีกรอบ ทำให้ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินหัวร้อนแทบตาย อยากได้วิธีทำให้เสียงของมันเป็นหนุ่มใหญ่เหลือเกิน…