เมื่อเห็นสีหน้าครุ่นคิดของหยางเฉิน อู่หยางก็ไม่รีบร้อน เขานั่งรอเงียบๆ ด้วยรอยยิ้มมั่นใจ เหมือนไม่กังวลว่าหยางเฉินจะปฏิเสธ
ถึงอย่างไรในสายตาของเขา การกำเนิดของตี้ชุนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในเมื่อหยางเฉินกังวลว่าตี้ชุนจะไม่สามารถควบคุมได้ ในสถานการณ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงการถือกำเนิดได้นี้ การที่เขาใช้เรื่องบุญคุณของผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์ทั้งสองมาแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือจากพวกเขา หยางเฉินจึงไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ
แต่ถึงอย่างไรในขณะที่เขามั่นใจว่าหยางเฉินจะไม่ปฏิเสธ จู่ๆ หยางเฉินก็ส่ายหน้าพลางพูดว่า “ไม่ว่าจะยังไง ผมจะไม่มีวันยอมให้ตี้ชุนถือกำเนิดขึ้น แม้ว่าโอกาสที่ผมจะขัดขวางจะมีน้อยก็ตาม ผมจะลองดู”
เมื่อพูดเช่นนี้ออกมา สีหน้าของอู่หยางก็ชะงักไปทันที เขาถามด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ “คุณจะปฏิเสธจริง ๆ เหรอ?”
หยางเฉินกล่าวอย่างเฉยเมย “การถือกำเนิดของตี้ชุนมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวง หากควบคุมไม่ได้ เกรงว่าจะทำให้เกิดหายนะครั้งใหญ่ต่อจิ่วโจว”
“ในเมื่อราชวงศ์เย่ต้องการให้ตี้ชุนถือกำเนิดขึ้น ผมก็ย่อมไม่ยินยอมอยู่แล้ว ต่อให้จะจัดการกับเย่หลินยากแค่ไหน ผมก็จะทำทุกอย่างให้เต็มที่ แม้ว่าตี้ชุนจะถือกำเนิดขึ้นจริงๆ อย่างน้อยผมก็ได้พยายามแล้ว”
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของหยางเฉิน อู่หยางก็รู้ว่าแทบไม่มีความหวังที่จะโน้มน้าวให้หยางเฉินสืบทอดตี้ชุน
“เอาล่ะ ในเมื่อคุณตัดสินใจแล้ว ผมก็จะไม่รบกวนอีก”
อู่หยางยืนขึ้นและสั่งการซ่งจั่วที่อยู่ข้างกายทันที “พวกคุณคอยเฝ้าคุณหยางไว้ ปฏิบัติตามคำสั่งของคุณหยางทุกอย่าง”
“ครับ!”
ซ่งจั่วและซ่งโย่วทยอยตอบทีละคน
ถึงอย่างไรพวกเขาเป็นหนี้บุญคุณของอู่หยู่หลาน ตอนนี้ถึงเวลาชดใช้หนี้บุญคุณแล้ว สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับพวกเขา หากยังเป็นหนี้บุญคุณใคร มันจะเป็นความกดดันอยู่ภายในหัวใจของพวกเขา
เมื่อหยางเฉินได้ยินสิ่งที่อู่หยางพูด ก็มีสีหน้าแปลกใจ “ผมปฏิเสธคำขอของคุณ คุณทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?”
อู่หยางยิ้มมุมปากเล็กน้อย มองไปที่หยางเฉินและกล่าวว่า “อันที่จริง ที่ผมมาหาคุณครั้งนี้ มันคือภารกิจ”
“ป้าของผมต้องการเกลี้ยกล่อมให้คุณเข้ายึดตี้ชุนโดยใช้เรื่องหนี้บุญคุณของเธอที่มีต่อผู้อาวุโสจั่วโย่วทั้งสองมาอ้าง แต่เธอก็บอกด้วยว่า ถ้าคุณปฏิเสธ ผมต้องให้ผู้อาวุโสจั่วโย่วทั้งสองอยู่เคียงข้างคุณเหมือนเดิม”
เมื่อรู้ว่าเป็นคำสั่งของอู่หยู่หลาน หยางเฉินยิ่งสับสน ถึงอย่างไรลูกนอกสมรสของ อู่หยู่หลานก็ตายในมือเขา แม้แต่อู่หยู่หลานเองก็เกือบตายในมือของเขา
ตอนนี้อู่หยู่หลานกลับต้องการช่วยเขาโดยอาศัยหนี้บุญคุณที่คนอื่นติดเธอไว้ หยางเฉินคิดหาเหตุผลไม่ได้จริงๆ
อู่หยางหัวเราะ “ป้าของผมบอกว่าเธอเป็นหนี้ชีวิตคุณ ครั้งนี้เธอจึงใช้หนี้บุญคุณของผู้อาวุโสจั่วโย่วทั้งสองมาช่วยคุณ เช่นนี้หากเธอคิดจะฆ่าคุณในอนาคต ก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีก”
“ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจความหมายของป้าที่บอกว่าเธอเป็นหนี้ชีวิตคุณ ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ตอนที่เธอได้รับบาดเจ็บสาหัสกลับไปที่ราชวงศ์อู่และเกือบถูกคุณฆ่าตาย ถ้าผมจำไม่ผิด ครั้งนั้นคุณสามารถฆ่าเธอได้ แต่ก็ไม่ได้ฆ่า ใช่ไหม?”
เมื่อครู่หยางเฉินไม่เข้าใจว่าทำไมอู่หยู่หลานถึงคิดว่าเธอเป็นหนี้บุญคุณเขา แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว
แต่ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการฆ่าอู่หยู่หลานในตอนนั้น แต่เพราะตอนนั้นเขาได้เข้าสู่สภาวะคลุ้มคลั่งไปแล้ว ถ้าเขาฆ่าอู่หยู่หลาน เขาจะสูญเสียการควบคุมอย่างสมบูรณ์
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาปล่อยอู่หยู่หลานไป
นึกไม่ถึงเลยว่า อู่หยู่หลานจะคิดว่าเขาไว้ชีวิตเธอ
“แน่นอน การที่ปล่อยให้ผู้อาวุโสจั่วโย่วทั้งสองอยู่กับคุณ ผมก็ยังคงมีความหวังเล็กน้อยว่าคุณจะสามารถสืบทอดตี้ชุนได้ หากคุณไม่สามารถขัดขวางราชวงศ์เย่จากการควบคุมตี้ชุนได้ ผมก็หวังว่าคุณจะพิจารณาเรื่องการสืบทอดตี้ชุน”
พูดจบอู่หยางก็หันหลังเดินจากไป เขาหันหลังให้หยางเฉินก่อนจะโบกมือให้ “ไปล่ะ ถ้ามีวาสนาต่อกัน เราคงได้พบอีกในวันข้างหน้า!”
อู่หยางไม่ให้โอกาสหยางเฉินได้ปฏิเสธผู้อาวุโสจั่วโย่วทั้งสองเลย เขาหันหลังเดินจากไปโดยไม่ลังเล รู้สึกสบายใจมาก
หยางเฉินที่เคยรู้สึกเป็นปฏิปักษ์กับอู่หยาง รู้สึกประทับใจอู่หยางมากขึ้น
“เป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ” หยางเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
พูดจบเขาก็พูดกับซ่งจั่วและซ่งโย่วที่อยู่ฝั่งตรงข้ามว่า “ในเมื่ออู่หยางให้พวกคุณอยู่ที่นี่ หากต้องการความช่วยเหลือใดๆ ก็ขอรบกวนท่านผู้อาวุโสทั้งสองด้วย”
ผู้อาวุโสทั้งสองพากันส่ายหน้า ซ่งจั่วเอ่ยปากว่า “ไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย พวกเราเป็นหนี้บุญคุณอยู่แล้ว นับเป็นเรื่องที่ดีเสียอีกที่เราจะได้ตอบแทนด้วยวิธีนี้”
หยางเฉินมองดูนาฬิกาโดยไม่พูดอะไรอีก เหลือเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก่อนงานฉลองวันเกิดครบ 100 ปีจะเริ่มขึ้น
ในเวลานี้เฉียนเปียวเคาะประตูเดินเข้ามา พร้อมบัตรเชิญสีทองในมือ
“พี่เฉิน นี่คือบัตรเชิญจากราชวงศ์เย่” เฉียนเปียวใช้สองมือยื่นบัตรเชิญให้หยางเฉิน
หยางเฉินชะงักไปชั่วครู่ “ราชวงศ์เย่ส่งบัตรเชิญให้ผมด้วยเหรอ?”
นี่มันนอกเหนือความคาดหมายของเขา เขายังคิดอยู่ว่าจะไปงานฉลองวันเกิดของเย่หลินได้อย่างไร แต่นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะส่งบัตรเชิญให้เขาเอง
เมื่อเปิดบัตรเชิญออก ก็พบว่าเนื้อหาภายในเป็นการเชิญไปงานฉลองวันเกิดอายุครบ 100 ปีของเย่หลินจริงๆ มันเกินความคาดหมายของหยางเฉินอย่างสิ้นเชิง
“พี่เฉิน ราชวงศ์เย่น่าจะรู้แล้วว่า คุณจะไปร่วมงานเลี้ยงด้วยตนเอง ดังนั้นพวกเขาจึงเชิญคุณไปเองเลย” เฉียนเปียวกล่าว
หยางเฉินพยักหน้า “ไม่ว่าจุดประสงค์ของพวกเขาคืออะไร ในเมื่อพวกเขาเชิญมาแล้ว ผมก็ต้องไปด้วยตัวเอง งานฉลองวันเกิดจะเริ่มในอีกครึ่งชั่วโมง รีบไปเถอะ เวลากำลังดี”
เขาพูดพลางลุกขึ้นและเดินออกไปข้างนอก พร้อมกันนั้นก็สั่งการว่า “ที่ให้คุณกับซาตานไปจัดเตรียมไว้ พวกคุณเตรียมพร้อมแล้วใช่ไหม?”
“พี่เฉินไม่ต้องห่วง ทุกอย่างพร้อมแล้ว แค่รอคำสั่งจากคุณ!” เฉียนเปียวพูดพร้อมกับตามหยางเฉินไป
“ดี!”
ขณะที่กำลังพูดคุยกัน กลุ่มคนสี่คนก็มาถึงด้านนอกแล้ว หยางเฉินพาผู้อาวุโสซ่งจั่วซ่งโย่วทั้งสองไปขึ้นรถคันเดียวกัน เฉียนเปียวขับรถไปเอง
ยี่สิบนาทีต่อมา รถโรลส์-รอยซ์สีดำก็มาหยุดที่ประตูโรงแรมนานาชาติเยี่ยนตู หยางเฉินก้าวลงจากรถก่อน ตามด้วยผู้อาวุโสซ่งจั่วซ่งโย่วทั้งสองที่ติดตาหยางเฉินเหมือนเป็นบอดี้การ์ด
ส่วนเฉียนเปียวหลังจากส่งหยางเฉินและคนอื่นๆ ถึงที่หมายแล้วก็ขับรถออกไป เพราะเขายังมีเรื่องสำคัญต้องทำอีก
“กรุณาแสดงบัตรเชิญด้วยครับ!”
พอหยางเฉินพาผู้อาวุโสทั้งสองมาถึงประตูโรงแรม ก็ถูกชายวัยกลางคนสวมชุดสูทและรองเท้าหนังขวางไว้ อีกฝ่ายมองมาที่หยางเฉินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความระแวดระวัง
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายนั้นจำเขาได้ แต่สิ่งที่ทำให้หยางเฉินไม่เข้าใจก็คือ อีกฝ่ายจะไม่รู้ว่าราชวงศ์เย่ได้ส่งบัตรเชิญให้เขาแล้วได้อย่างไร?
หยางเฉินหยิบบัตรเชิญออกมาโดยไม่พูดอะไรมาก หลังจากที่ชายวัยกลางคนรับบัตรเชิญไปแล้ว ก็เหลือบมองและขมวดคิ้ว
“ขอโทษครับ คุณเข้าไปไม่ได้!”
จู่ๆ ชายวัยกลางคนก็พูดขึ้น
ทันทีที่เขาพูดจบ ผู้แข็งแกร่งแดนเทพหลายคนก็กรูออกมาห้อมล้อมหยางเฉินและผู้อาวุโสทั้งสองไว้
สีหน้าของหยางเฉินขรึมลง “ทำไมผมเข้าไปไม่ได้?”