“หยุด! นี่เป็นพื้นที่หวงห้ามของทหาร ข้างหน้าห้ามสัญจร ออกไปเดี๋ยวนี้!”
โดยไม่เสียเวลาพูดอะไรไร้สาระ หวังเผิงยกปืนในมือขึ้นแล้วลั่นไกเรียบร้อย เขายิงไปอย่างรวดเร็วสองนัด คนเฝ้าประตูที่ยืนอยู่ข้างด่านตรวจก็หงายหลังล้มลงไป
“พูดเรื่องอะไรกัน?”
หวังเผิงมองไปทางผู้ชายข้างๆ เขา ผู้ซึ่งหมอบอยู่กับพื้นด้วยความกลัว คนเฝ้าประตูทิ้งอาวุธขณะที่ตัวสั่นเทา หวังเผิงไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น เขาเดินข้ามด่านตรวจไปและมุ่งตรงไปยังศาลากลาง
กองกำลังป้องกันของเมืองเทียนกงใจจดใจจ่ออยู่กับเขตตะวันออก ตอนนี้กำลังสู้อยู่กับกองพลอากาศวงโคจรที่สามเพื่อเข้าควบคุมถนนหมายเลข 23
ซึ่งนั่นเป็นถนนสายหลักที่มุ่งไปสู่ศาลากลาง มันยังเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งที่เชื่อมต่อกับพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่อุตสาหกรรม เมื่อปราศจากการควบคุมถนนหมายเลข 23 ข้อได้เปรียบเรื่องที่มั่นของกองกำลังเมืองเทียนกงก็จะหายไปโดยสมบูรณ์
ไม่ใช่แค่เท่านั้น แต่พวกเขายังจะต้องสู้กับกองพลอากาศวงโคจรที่สามแบบระยะประชิดในตรอกเล็กๆ ที่ยากที่จะเอาชนะด้วยอาวุธหนัก
และนี่เป็นสิ่งที่ผู้บัญชาการกองร้อยหยางไห่ลองไม่อยากจะเห็น
อย่างไรก็ตามถ้าการต่อสู้อยู่ในพื้นที่เปิด ก็อาจจะไม่ได้สะท้อนให้เห็นข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบของอุปกรณ์ของทั้งสองฝ่าย ถ้าสนามรบถูกดึงจากพื้นที่เปิดมาที่ตรอกซอกซอย ชุดเกราะของพวกเขาก็คงจะไม่ต่างอะไรจากชุดคอสเพลย์ปลอมๆ
“การรบแนวหน้าอยู่ในภาวะวิกฤติ! บอกนายกเทศมนตรีเสี่ยว่าถ้ากำลังเสริมของเขาไม่มาถึงภายใน 30 นาที เราทำได้แค่ถอนกำลังแนวป้องกันต่อไปและย้ายสนามรบจากถนนหมายเลข 23 ไปที่จัตุรัสตรงทางเข้าศาลากลาง!”
ด้านนอกศูนย์บัญชาการชั่วคราว เสียงอึกทึกของปืนก็ทำให้เขาต้องเพิ่มความดังของเสียงในการพูด เพียงแค่ตะโกน คำพูดของเขาก็ได้ยินไปจนถึงปลายสายอีกด้านหนึ่ง
ผู้บัญชาการกองร้อยหยางไห่ลองวางสายอย่างโกรธเกรี้ยว เขาใช้นิ้วชี้ปัดหน้าจอโฮโลแกรม เดินไปที่ด้านข้างโต๊ะบัญชาการ และเห็นกำลังเสริมที่ยังอยู่ห่างออกไปสิบกิโลเมตร เขากระแทกหมัดเข้ากับโต๊ะหลายครั้ง
“พวกสวะไร้ประโยชน์นี่… ในเวลาวิกฤติอย่างนี้นอกจากจะมัวแต่ซ่อนตัวและเล่นละครแล้ว พวกมันก็ไร้ประโยชน์!”
ทันใดนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกเสียใจ
ในตอนเริ่มต้นเขาสาบานที่จะเข้าร่วมกับกองทัพกลุ่มพันธมิตร อย่างแรกคือเพราะว่าหมดอารมณ์ และอย่างที่สองคือเพื่อมองหาการสนับสนุนในอาชีพของเขา เขาคิดว่านี่เป็นทางเลือกที่ถูกต้องและเฉิดฉายอย่างที่สุด แต่หลังจากที่เห็นเพื่อนร่วมทีมที่ละโมบที่เขามีอยู่ เขาก็รู้สึกเหมือนว่าการทำงานหนักของเขานั้นสูญเปล่า!
ไม่มีทั้งการระดมพลและการแถลงข่าว โดยที่ไม่ได้เตรียมการล่วงหน้า จู่ๆ พวกเขาก็ประกาศสงครามในตอนที่เป็นเอกราช
คนโง่พวกนี้เอาสมองไปไว้ที่ไหน?
จนกระทั่งถึงตอนนี้ สงครามดำเนินมาไม่ถึง 20 ชั่วโมง แต่พวกเขาสูญเสียกำลังคนที่ไม่ได้ร่วมรบไปมากกว่า 2,000 คนแล้ว ในกลุ่มคน 2,000 คนนี้ มีอย่างน้อย 80% ที่หนีจากสงครามนี้!
ทันใดนั้นที่มุมขวาล่างของหน้าจอโฮโลแกรมก็ปรากฏคำร้องต่อสายขึ้นมาทันที
หยางไห่ลองมองผาดๆ เขาเห็นว่าเป็นคำขอจากออฟฟิศของนายกเทศมนตรี ในที่สุดเขาก็กดปุ่มเชื่อมต่อ ช่องสื่อสารเชื่อมต่อกัน ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร นายกเทศมนตรีเสี่ยวซึ่งยืนอยู่ที่อีกฝั่งของหน้าต่างวิดีโอ ก็พูดขึ้นด้วยเสียงที่ร้อนรน
“กำลังเสริมใกล้มาถึงแล้ว! คุณต้องรักษาที่มั่นตรงฝั่งคุณไว้! ฟังนะ ไม่ว่ายังไงคุณต้องคุ้มกันถนนหมายเลข 23 ไว้ ทันทีที่กำลังเสริมของเรามาถึง เราก็จะสามารถดักจับกองพลอากาศวงโคจรที่สามในเมืองเทียนกงได้!”
“อีกนานไหม!” หยางไห่ลองตะโกนใส่ด้วยเสียงที่ฉุนเฉียว “ถ้าเรายังสู้จนต่อจนตาย ผมเกรงว่าประชาชนของผมทั้งหมดจะ—”
“งั้นก็ปล่อยให้พวกเขาสู้ไปจนตาย!” เสี่ยวหงพูดแทรกหยางไห่ลองขึ้นมา เขาขึ้นเสียงและพูดอย่างจริงจังว่า “เราสามารถเกณฑ์คนมาใหม่ได้ แต่ถ้าเราสูญเสียแนวป้องกันไป บ้าเอ๊ย นั่นเสียงอะไรน่ะ”
จู่ๆ หน้าต่างวิดีโอโฮโลแกรมก็สั่น
หยางไห่ลองมองมาที่นายกเทศมนตรีเสี่ยวที่อยู่ในหน้าต่างซึ่งดูเหมือนจะส่ายหัว แล้วจู่ๆ การสื่อสารก็ตัดไป
ในศูนย์บัญชาการเงียบไปราวห้านาที
เมื่อเห็นว่าสายนั้นไม่ติดต่อกลับมา หยางไห่ลองก็กลืนน้ำลาย แล้วลางสังหรณ์ร้ายๆ ก็ค่อยๆ ก่อเกิดขึ้นมาในใจของเขา
ราวกับเป็นการยืนยันลางสังหรณ์ของเขา จู่ๆ เจ้าหน้าที่ก็รีบวิ่งเข้ามาจากด้านนอก
“ท่านครับ! มีเสียงปืนดังมาจากทางศาลากลาง! สงสัยว่าจะมีการยิงกันระหว่างทหารคุ้มกันกับกองกำลังติดอาวุธไม่ทราบชื่อครับ!”
“มันเป็นไปได้ยังไง!” ดวงตาของหยางไห่ลองเปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที เขาอดที่จะก้าวไปข้างหน้าแล้วคว้าคอเสื้อของเจ้าหน้าที่คนนั้นไม่ได้ขณะที่เขาพูดขึ้นว่า “เราปิดกั้นไม่ให้ใครเข้าไปที่ใจกลางเมืองแล้ว แล้วพวกกองพลอากาศวงโคจรที่สามเดินเข้ามาอยู่ใต้จมูกเราได้ยังไง!”
แม้ว่าเขาจะไม่ชอบเสี่ยวหงเอามากๆ แต่พวกเขาก็ยังอยู่ข้างเดียวกัน ถ้าศาลากลางโค่นลงมา สถานการณ์ของเขาก็คงจะอันตรายจริงๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ที่ขวัญกำลังใจของกองทัพกลุ่มพันธมิตรเองจะซึมเซา แล้วถ้าพวกทหารรู้ว่าบ้านเกิดของพวกเขาถูกยึด ก็จะมีคนหนีทัพเพิ่มขึ้นไปอีก
เมื่อมองมาที่ผู้บัญชาการกองร้อยหยางที่กำลังโมโห เจ้าหน้าที่ก็ลังเลอยู่นานและไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย
อันที่จริงเขาก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนที่ลูกน้องของเขารายงานสถานการณ์ให้เขาทราบ เขารู้สึกกลัวมากจนเกือบจะหมดสติ
“ให้คนจากกองพันที่ 2 จากโซนป้องกันรีบมาที่ศาลากลางเดี๋ยวนี้!”
“แต่…”
“ไม่มีแต่ ไป!”
หยางไห่ลองปล่อยมืออย่างแรงแล้วผลักเจ้าหน้าที่ไปที่ประตูศูนย์บัญชาการ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะได้ออกจากประตูไป ก็เกิดแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงขึ้นที่เท้าของเขา
เขายื่นมือออกไปจับโต๊ะข้างเขาขณะที่เขารอให้แรงสั่นสะเทือนหายไป หยางไห่ลองพึมพำกับตัวเองด้วยความงุนงง “แผ่นดินไหวเหรอ? ไม่ เป็นไปไม่ได้ แผ่นดินไหวไม่ได้มาจากดาวอังคาร! ตอนนี้มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นวะ…”
“อาจจะเป็นปืนบนยานฉินหลิ่ง” เจ้าหน้าที่มองไปที่เพดานที่กำลังสั่น ขณะที่กำลังเกาะกรอบประตูไว้ เขาก็พูดต่อไปอย่างกังวลว่า “พวกเขายิงกันอย่างน้อย 5 ครั้ง…”
“ยิงที่เมือง?! พวกเขาบ้าหรือเปล่า?!”
“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ในเมือง…” เจ้าหน้าที่กลืนน้ำลายและพูดต่อว่า “ถ้ามีการยิงมาที่เมือง เราก็คงจะไม่ได้อยู่ที่นี่… ดูจากการสั่นสะเทือนแล้ว ลูกปืนใหญ่ตกลงมาห่างออกไปประมาณ 10 กิโลเมตร”
ห่างไป 10 กิโลเมตร…
หยางไห่ลองอึ้งไปชั่วครู่ แล้วจู่ๆ ลูกตาของเขาก็หดเล็กลงเท่าจุด
กำลังเสริม!
นั่นเป็นกำลังเสริมของเราที่โดนระเบิด
เขานั่งกระแทกลงบนเก้าอี้ ผมของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาว ราวกับว่าเขาอายุเพิ่มขึ้นสิบปีในพริบตา
เมื่อจ้องมองมาที่หัวหน้าของเขา เจ้าหน้าที่ก็กลืนน้ำลายและพูดว่า
“ท่านครับ…”
“ขอผมอยู่คนเดียวสักพัก”
เจ้าหน้าที่ลังเล แต่เขาก็เชื่อฟังคำสั่งและถอยออกไปจากห้อง
เมื่อเห็นว่าประตูของศูนย์บัญชาการชั่วคราวปิดลง หยางไห่ลองก็ถอดหมวกทหารออกอย่างเงียบๆ แล้ววางมันลงบนเข่า เขาจ้องไปที่ตราอยู่นาน แล้วจู่ๆ รอยยิ้มอันขมขื่นก็ปรากฏขึ้นมาที่มุมปาก
“ทุกอย่างมันจบแล้ว…”
เขาเลื่อนมืออันสั่นเทาไปจับที่เอว
ไม่นานหลังจากนั้น เสียงปืนก็ดังมาจากศูนย์บัญชาการ
ไหล่ของเจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่นอกประตูสั่นเทิ้ม และเขาก็เดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับมา
โดยที่ไม่มีกำลังเสริมใดๆ กระสุนที่ยิงของกองพลอากาศวงโคจรที่สามไม่โดนใครเลย และแนวป้องกันของถนนหมายเลข 23 ก็หายไปในความเร็วระดับที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ในเวลาเดียวกันศาลากลางก็เต็มไปด้วยควันอีกด้วย
ภายใต้การโจมตีของกองกำลังติดอาวุธไม่ทราบฝ่าย ทหารคุ้มกันที่ประจำการอยู่ที่นี่ถูกโจมตีและตกอยู่ในความสับสน พวกเขาสามารถทำได้แค่พยายามซ่อนตัวอยู่กับนายกเทศมนตรีเสี่ยวและเจ้าหน้าที่ของเขาในตึกใหญ่
ในขณะที่การต่อสู้เมืองเทียนกงกำลังจะจบลง ทันใดนั้นใครบางคนที่อยู่ใต้ดินซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายสิบกิโลเมตรก็หยุดควบคุมระบบโมเดลโฮโลแกรม
“นี่เป็นเทคนิคความเร็วแบบวาร์ปของอารยธรรมขั้นสูงใช่ไหม… ผมเข้าใจแล้ว”
นายพลเรนฮาร์ทซึ่งยืนอยู่ข้างเขา เหลือบมองมาที่เขา
“ในฐานะนักวิชาการจากอารยธรรมที่ด้อยกว่า โปรดอย่าบอกผมว่าเทคโนโลยีนี้ธรรมดามาก”
“ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น” อันที่จริงแล้วมันตรงกันข้าม… มันเป็นการเปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริงที่ได้เห็นอะไรแบบนี้
ในที่สุดใบหน้าที่เคร่งขรึมของลู่โจวก็คลี่ยิ้มออกมา เมื่อมองดูโมเดลโฮโลแกรมอันซับซ้อนที่ตั้งอยู่ในมือของเขาอย่างเงียบๆ ลู่โจวก็พูดอย่างนุ่มนวลด้วยน้ำเสียงที่พึงพอใจว่า “ในที่สุดมันก็เสร็จแล้ว!”