ชุยตงซานสบตากับเจียงซ่างเจิน
คนหนึ่งบอกว่าสหายเจียงเป็นเจ้าของที่ดิน เจ้าเป็นคนรับผิดชอบเก็บกวาดก็สมควรแล้ว อีกคนหนึ่งบอกว่าสหายชุยเจ้าอย่าได้ปัดความรับผิดชอบ หาดหินหวงเฮ้อแห่งนี้ยังไม่ได้แกะสลักอักษรยิ่งใหญ่พันกวีของเจ้าลงบนหน้าผา อยู่ดีๆ นึกจะหายก็หายไปไม่ได้
หากผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางสองคนปล่อยมือปล่อยเท้าประลองหมัดกันอย่างเต็มกำลังจริงๆ อีกทั้งยังไม่ยินดีจะย้ายสถานที่ในการประชันหมัดเท้าด้วย หนึ่งหมัดต่อยให้ศาลากลิ้งหลุนๆ ร่วงตกน้ำ หนึ่งเท้าเตะให้เสาหยกขาวแหลกสลายไปเป็นแถบ หาดหินหวงเฮ้อซึ่งเป็นอ่างเก็บสมบัติจะเหลือได้สักครึ่งหนึ่งหรือไม่ก็บอกได้ยากจริงๆ
โชคดีที่เฉินผิงอันพูดกับเจียงซ่างเจินว่า “พวกเรากลับไปที่ยอดเขาอวิ๋นจี๋กันก่อน”
จากนั้นเฉินผิงอันก็หันไปกุมหมัดให้กับหวงอีอวิ๋นอีกครั้ง “ผู้เยาว์เฉาโม่ วันหน้าค่อยมาขอความรู้วิชาหมัดจากผู้อาวุโสใหม่อีกครั้ง”
เย่อวิ๋นอวิ๋นรู้สึกเพียงว่าฟ้าดินที่หนาหนักเปลี่ยนมาเป็นเบาโหวงในฉับพลัน นางกุมหมัดคารวะกลับคืน
เจียงซ่างเจินรีบกุมมือเขย่าขออภัยเจ้าขุนเขาหนุ่มทันใด อันที่จริงวันนี้เขาพาเย่อวิ๋นอวิ๋นจากภูเขาเหล่าจวินมาเยือนหาดหินหวงเฮ้อโดยพลการ เดิมทีก็มีใจที่เห็นแก่ตัวอยู่บ้างเล็กน้อย หากพวกเขาต่อสู้กันจนสิบแปดทัศนียภาพของถ้ำเมฆาเหลือแค่สิบเจ็ดทัศนียภาพ เจียงซ่างเจินก็ได้แต่ฝืนใจยอมรับไว้เท่านั้น ถึงอย่างไรพื้นที่มงคลก็ยังมีทัศนียภาพสำรองอยู่อีกเจ็ดแปดแห่ง เพียงแต่ว่าหลังจบเรื่องลูกหลานสกุลเจียงและผู้ถวายงานเค่อชิงที่ดูแลรับผิดชอบกิจธุระในหาดหินหวงเฮ้ออาจไปโวยวายที่ศาลบรรพชนสกุลเจียงอย่างเลี่ยงไม่ได้
เผยเฉียนเองก็กุมหมัด เอ่ยกับเย่อวิ๋นอวิ๋นว่า “ผู้เยาว์เจิ้งเฉียน วันนี้ล่วงเกินแล้ว ในอนาคตหากมีโอกาสจะต้องไปเยี่ยมเยียนผู้อาวุโสเย่ที่เรือนอวิ๋นฉ่าวแน่นอน”
เย่อวิ๋นอวิ๋นพยักหน้ารับ
เฉินผิงอันพาเผยเฉียนและชุยตงซานออกไปจากหาดหินหวงเฮ้อ อาจารย์กับอาจารย์พ่อ นักเรียนกับลูกศิษย์ ไม่มีความบังเอิญก็ไม่อาจแต่งตำรา ไม่นึกว่าคนทั้งสามจะมารวมตัวกันที่ต่างบ้านต่างเมืองได้
ดูเหมือนว่าอาจารย์พ่อจะกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ เผยเฉียนจึงเพียงแค่เดินตามไปตลอดทางโดยไม่เอ่ยอะไร ส่วนชุยตงซานก็กำลังนับนิ้วอยู่อีกด้านหนึ่ง ไม่รู้ว่าบ่นพึมพำอะไรอยู่
เฉินผิงอันเดินลงไปจากหาดหินหวงเฮ้อ ไปหยุดอยู่ตรงท่าเรือริมแม่น้ำ จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าคิดดีแล้ว สำนักเบื้องล่างของภูเขาลั่วพั่วเลือกเป็นที่ใบถงทวีปแห่งนี้ เพียงแต่ว่าตำแหน่งที่แน่นอน ข้ายังต้องไปเยือนภาพขุนเขาสายน้ำของภูเขาเหล่าจวินสักรอบหนึ่งก่อน”
ชุยตงซานยกชายแขนเสื้อขึ้น ชูแขนร้องเสียงดัง “อาจารย์ปราดเปรื่อง แผนการลึกล้ำใคร่ครวญยาวไกล วิสัยทัศน์กว้างขวาง มีคุณความชอบยาวนานพันปี…”
ภูเขาลั่วพั่วไม่เพียงแต่จะเลื่อนจากภูเขาตระกูลเซียนมาเป็นสำนัก ยังจะมีสำนักเบื้องล่างอีกด้วย!
นี่หมายความว่าอาจารย์ตัดสินใจแล้วว่า รอให้เขากลับไปบ้านเกิดก็จะไม่จงใจอำพรางรากฐานของภูเขาลั่วพั่วอีกต่อไป ไม่เพียงเท่านี้ ยังจะถือโอกาสนี้ก่อตั้งสำนักเบื้องล่าง ให้สามทวีปที่อยู่บนแนวเส้นตะวันออกของใต้หล้าไพศาลอย่างอุตรกุรุทวีป แจกันสมบัติทวีปและใบถงทวีปตกใจขวัญกระเจิงกันหมด
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจว่า “เจ้าก็พูดไปเรื่อย เพลาๆ ลงหน่อยเถอะ”
ท่าทางของชุยตงซานในตอนนี้เหมือนเทวบุตรมารนอกโลกขอบเขตบินทะยานที่อยู่ในคุกของกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างมาก
เจ้าขุนเขาหนุ่มที่ปีนั้นออกเดินทางไกลไปจากบ้านเกิด ไปรับหน้าที่เป็นอิ่นกวาน ตอนนั้นก็รู้สึกแล้วว่าซวงเจี้ยงเทวบุตรมารนอกโลกเหมือนกับลูกศิษย์ชุยตงซานยิ่งนัก
คาดว่านี่คงเป็นความต่างที่ใหญ่ที่สุดในการที่นักเดินทางไกลคนหนึ่งกลับหรือไม่กลับบ้านเกิดนั่นเอง
ชุยตงซานหุบปากฉับทันใด
ทุกวันนี้ภูเขาลั่วพั่วไม่ใช่สำนักอะไร ถึงขั้นที่ว่าไร้ชื่อเสียงอยู่ในแจกันสมบัติทวีป เจ้าขุนเขาหนุ่มที่ยังไม่ได้กลับคืนสู่บ้านเกิดที่แท้จริงกลับคิดจะก่อตั้งสำนักเบื้องล่างเสียแล้ว
ไม่ว่าภูเขาลูกใดก็ตามในใต้หล้าไพศาลที่ได้กลายเป็นสำนักอักษรจงล้วนไม่ใช่เรื่องที่ผ่อนคลายง่ายดายอะไร คิดจะสร้างสำนักเบื้องล่างขึ้นมาก็ยากราวกับเดินขึ้นสวรรค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักเบื้องล่างที่ตั้งอยู่คนละทวีป แน่นอนว่ายิ่งยากกว่าการเดินขึ้นสวรรค์เข้าไปอีก หนึ่งเพราะยากที่จะได้รับการยอมรับจากศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง จำเป็นต้องเผาผลาญคุณูปการของสำนัก นอกจากนี้ก็ยากที่จะเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม ปรับตัวเข้ากับน้ำและดินไม่ได้ เหตุใดผู้อาวุโสผู้เฒ่าสวินแห่งสำนักกุยหยกถึงให้นำเจียงซ่างเจินคำพูดประโยคนั้นมาบอกแก่ตน? แล้วเหตุใดถึงต้องให้เจียงซ่างเจินทำหน้าที่เป็นเจ้าสำนักคนแรกของสำนักเจินจิ้งทะเลสาบซูเจี่ยน?
ในฐานะสำนักเบื้องล่างเหมือนกัน การยืนหยัดของสำนักพีหมาชายหาดโครงกระดูกในอุตรกุรุทวีปก็ต้องผ่านอุปสรรคยากลำบากมาเช่นกัน จำต้องเปลี่ยนที่ตั้งอยู่หลายต่อหลายครั้ง ย้ายลงใต้ตลอดทางจนกระทั่งไปถึงทิศใต้สุดของทวีป สุดท้ายยังต้องอาศัยการคุมเชิงเข่นฆ่าอยู่กับนครจินกวานของหุบเขาผีร้ายถึงจะยืนหยัดอย่างมั่นคงได้ไม่ง่ายนัก แม้จะบอกว่าทุกอย่างนี้ล้วนอยู่ในการคาดการณ์ของสำนักเบื้องบนสำนักพีหมาทั้งหมด แต่อันที่จริงแรกเริ่มนั้นเป้าหมายก็เพื่อภาพเทพหญิงแห่งนครปี้ฮว่า ทว่าก่อนหน้านี้ที่สำนักพีหมาต้องหยัดยืนอยู่ท่ามกลางลมฝนที่พัดกระหน่ำหลายต่อหลายครั้ง ต้องเผชิญกับการรับรองแขกของผู้ฝึกตนอุตรกุรุทวีป ก็ทำให้พวกผู้ฝึกตนรุ่นอาวุโสของสำนักพีหมาต้องทุกข์ทนยากจะเอื้อนเอ่ยกันจริงๆ
นี่ก็เหมือนกับลูกหลานขุนนางที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลสูงศักดิ์มากมายที่ไปเป็นขุนนางในท้องถิ่น พวกเขาก็ต้องเผชิญกับอุปสรรคนานัปการเช่นกัน ภายนอกสามัคคีเป็นหนึ่ง แต่ในมุมลับกลับมีแต่แรงอุปสรรคขัดขวางหนาชั้น เจอคนคอยขัดแข้งขัดขาทุกเรื่อง ปีนั้นอู๋ยวนนายอำเภอคนแรกในประวัติศาสตร์ของถ้ำสวรรค์หลีจู ในฐานะลูกศิษย์ของราชครู บุตรเขยตระกูลสูงศักดิ์ ก็ยังถูกพวกตระกูลแซ่ใหญ่บนถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ร่วมมือกันผลักไสจนหน้าหมองไม่ใช่หรือ หากเปลี่ยนมาเป็นขุนนางตระกูลยากจนคนธรรมดาที่ไร้ที่พึ่ง ไม่แน่ว่าอาจไม่ถึงกับต้องลำบากลำบนขนาดนั้นก็เป็นได้ ในนี้เกี่ยวพันไปถึงเรื่องราวบนโลกความสัมพันธ์ของผู้คนและคลื่นมรสุมในวงการขุนนางมากมาย เกี่ยวพันไปถึงการงัดข้อกันระหว่างสิบตระกูลสี่แซ่กับสกุลซ่งต้าหลี ดังนั้นอู๋ยวนจึงเจอกับการต่อต้านมาอย่างเต็มกลืน เลื่อนขั้นเชื่องช้า สุดท้ายได้แต่จากไปอย่างหม่นหมอง ถูกโยกย้ายให้ไปรับหน้าที่เป็นเจ้าเมืองตรงตีนเขาขุนเขากลางราชวงศ์จูอิ๋งเก่า ส่วนหยวนเจิ้งติ้งและเฉาเกิงซินที่มาทำหน้าที่ในภายหลัง กลายเป็นว่าอนาคตในจังหวัดหลงโจวของลูกหลานสองแซ่สกุลเสาค้ำยันแคว้นกลับราบรื่นกว่ามากนัก นี่ก็คือการอาศัยร่มเย็นจากต้นไม้ที่คนในอดีตของวงการขุนนางปลูกเอาไว้
เผยเฉียนสีหน้าสดใสเปี่ยมชีวิตชีวา ไม่ว่าอาจารย์พ่อว่าอะไรนางก็ว่าตามนั้น
ขอแค่มีอาจารย์พ่ออยู่ข้างกายตน นางก็ไม่ต้องกังวลว่าตัวเองจะทำผิด ไม่ต้องกังวลถึงความถูกความผิดในการออกหมัด ไม่ต้องคิดอะไรมากมายขนาดนั้นอีกแล้ว
มีอาจารย์พ่ออยู่ นางก็สบายใจอย่างมาก ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรงแล้ว
เผยเฉียนคิดจะยื่นมือออกไปกำชายแขนเสื้อของอาจารย์พ่อตามจิตใต้สำนึก เพียงแต่ว่าเผยเฉียนรีบหยุดมือแล้วหดมือกลับมาทันที
เฉินผิงอันถาม “ภูเขาลั่วพั่วของพวกเขา หากสมมติว่าไม่มีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนเลยสักคน ลำพังแค่อาศัยราชสำนักสกุลซ่งต้าหลี รวมไปถึงคุณความชอบที่บันทึกไว้ในสองสำนักศึกษาอย่างซานหยาและกวานหู มากพอจะให้แหกกฎเลื่อนขั้นเป็นสำนักหรือไม่?”
ชุยตงซานรู้สึกลังเลเล็กน้อย
เฉินผิงอันเอ่ยเสริมไปอีกประโยค “อีกทั้งยังไม่นับรวมพวกเราสองคนเข้าไปด้วย”
หากไม่อาจใช้หนึ่งกระบี่แหวกม่านฟ้าไปยังใต้หล้าแห่งที่ห้าได้
ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่ทำอะไรไปตามกฎเกณฑ์แล้ว จำเป็นต้องใช้คุณความชอบแลกมาด้วยเอกสารผ่านด่าน
ในเมื่อจ้าวเหยาสามารถอาศัยสิ่งนี้หวนกลับคืนมายังใต้หล้าไพศาล ถ้าอย่างนั้นเขาเฉินผิงอันก็สามารถไปเยือนใต้หล้าใหม่เอี่ยมได้เหมือนกัน
ส่วนเรื่องที่ว่าหนึ่งกระบี่ของตนจะสำเร็จหรือไม่ ไม่สำคัญ เฉินผิงอันในทุกวันนี้ หากได้พบกับศิษย์จั่วอีกครั้ง เขาจะไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรแน่นอน พอศิษย์พี่ศิษย์น้องคุยกันเสร็จก็จะทำหน้าหนาขอให้ศิษย์พี่ช่วยใช้กระบี่เปิดทางให้ หากศิษย์พี่ไม่ยอมออกกระบี่ ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะเอาอาจารย์มาอ้าง
“ภูเขาลูกหนึ่ง จวนเซียนแห่งหนึ่ง จะสามารถเลื่อนเป็นสำนักได้หรือไม่ มีหรือไม่มีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน ถึงขั้นที่ว่าต้องไม่ใช่ผู้ถวายงานหรือเค่อชิง ต้องเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดทำเนียบวงศ์ตระกูลสายของบ้านตัวเองเท่านั้น นับแต่โบราณมานี่ก็คือกฎเหล็กขุนเขาสายน้ำข้อหนึ่งของใต้หล้าไพศาล แต่ว่าสถานการณ์ของใต้หล้าในทุกวันนี้มีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งขุนเขาสายน้ำของสี่ทวีปที่ปริแตกพังถล่มไม่เหลือชิ้นดี ยังพอจะมีพื้นที่ให้ปรึกษากันได้อยู่จริงๆ เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับโชคชะตาขุนเขาสายน้ำให้ได้โดยเร็วที่สุด ภูเขาตัวสำรองสำนักในอดีต ก็เป็นเหมือนอย่างอาจารย์บอก มีหวังที่ทางศาลบุ๋นแผ่นดินกลางจะยอม ‘แหกกฎ’ ให้เลื่อนเป็นสำนักอยู่จริงๆ”
ชุยตงซานยกชายแขนเสื้อสีขาวหิมะขึ้น ยื่นมือออกมาเกาคางเบาๆ เอ่ยตอบว่า “แต่คุณความชอบที่ภูเขาลั่วพั่วสะสมมา ภายนอกยังไม่ค่อยพอเท่าไร ยากจะสยบใจผู้คนได้ แต่หากทั้งสามฝ่ายมาลองคิดบัญชีใต้โต๊ะกันอย่างชัดเจน อันที่จริงก็ผ่านเกณฑ์แล้ว เพียงพออย่างมาก”
“ที่ต้องการก็คือผลลัพธ์นี้ ภูเขาลั่วพั่วอย่าเพิ่งโอ้อวดตัวเองเกินไปจะดีกว่า การเลื่อนเป็นสำนักและการเลือกที่ตั้งสำนักเบื้องล่างในอนาคตต้องดำเนินไปพร้อมกัน มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่ากว่าจะเตรียมการทุกเรื่องในการเลือกที่ตั้งในใบถงทวีปให้พร้อมสรรพต้องใช้เวลาสิบปี อย่างมากสุดคือสิบปี ถึงเวลานั้นค่อยเปิดปากพูดเรื่องนี้กับฮ่องเต้ต้าหลีและสองสำนักศึกษา ถึงอย่างไรภูเขาลั่วพั่วก็ไม่ใช่นักเล่านิทานที่เล่าเรื่องอยู่ใต้สะพานที่ต้องทำให้คนฟังรู้สึกตกตะลึงฮือฮากันทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่งอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็เอ่ยอย่างกังขาว่า “คำว่า ‘เพียงพอมาก’ ของเจ้า หมายความว่าอย่างไร?”
ชุยตงซานเริ่มนับนิ้วให้ดู “หมี่อวี้ขอบเขตหยกดิบ ชุยเหวยขอบเขตก่อกำเนิด เซียนกระบี่ผู้อาวุโสและเซียนกระบี่ใหญ่สองท่านนี้ของพวกเรา อันที่จริงคุณความชอบในการสู้รบล้วนไม่น้อย เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้สถานะของพวกเขาล้วนแขวนไว้ที่ภูเขาพีอวิ๋น ไม่ได้เปิดเผยอย่างชัดเจน ได้แต่รอให้อาจารย์กลับภูเขาลั่วพั่วไปก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกที อาจารย์จ้งชิวที่อยู่บนขุนเขาตะวันตก ทั้งออกหมัดสังหารศัตรู แล้วยังช่วยวางแผนการรบด้วย เขาเองก็ไม่เลวเหมือนกัน แล้วยังช่วยให้ภูเขาลั่วพั่วสะสมความสัมพันธ์ควันธูปที่ไม่เล็กไว้กับศาลลมหิมะและซานจวินแห่งขุนเขาตะวันตก สุยโย่วเปียนที่ถึงแม้จะยังไม่เลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดเสียที แต่คุณความชอบบนสมุดของต้าหลีก็ยังมีอยู่บ้าง ขอแค่นางยอมรับบรรพชนกลับเข้าสำนัก ก็จะเอาคุณความชอบทางการสู้รบที่ไม่เล็กกลับมาให้ภูเขาลั่วพั่วได้ ถึงอย่างไรเจ้าสำนักคนที่สามของสำนักเจินจิ้งก็เป็นหลิวเหล่าเฉิง เขาคือสหายเก่าของอาจารย์ ในเรื่องเล็กๆ แบบนี้ก็ไม่น่าจะคิดเล็กคิดน้อยมากเกินไป ส่วนหลูป๋ายเซี่ยงกับเว่ยเซี่ยน ตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวตน ฝ่ายศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็ยิ่งร้ายกาจ สังหารศัตรูบนสนามรบของเกราะทองทวีปและแจกันสมบัติทวีปไปนับไม่ถ้วน คุณูปการทางการสู้รบที่ช่วงชิงมาได้ยังมากกว่าเซียนกระบี่สองท่านเสียอีก หวังฟู่ซู่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางที่อายุมากที่สุดในอุตรกุรุทวีปหมายตาในพรสวรรค์การฝึกวรยุทธของศิษย์พี่หญิงใหญ่ ตาเฒ่าหน้าไม่อายผู้นั้นถึงกับคิดจะมาขุดมุมกำแพงภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา เกือบจะลงไปนั่งคุกเข่าขอร้องให้ศิษย์พี่หญิงใหญ่ไปเป็นลูกศิษย์ของเขาแล้ว…”
เผยเฉียนกระแอมเบาๆ หนึ่งที
ชุยตงซานรีบเปลี่ยนเรื่องพูดอย่างว่าง่ายทันที “นอกจากนี้ยังมีสหายฉางมิ่งที่อาจารย์หลอกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ นางเองก็มีคุณปการด้านขุนเขาสายน้ำใหญ่เทียมฟ้าติดกายอยู่เช่นกัน สกุลซ่งต้าหลีก็รู้เรื่องนี้ดีแก่ใจ”
เฉินผิงอันเอ่ยแก้ไข “หลอกอะไรกัน ข้าเชิญนางมาเป็นผู้ถวายงานให้กับภูเขาลั่วพั่วด้วยความจริงใจ”
ชุยตงซานเอ่ยเบาๆ “อาจารย์ ทุกวันนี้สหายฉางมิ่งเป็นผู้คุมกฎของภูเขาลั่วพั่วแล้ว”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง “ฉางมิ่งไม่ได้ดูแลห้องบัญชีร่วมกับเหวยเหวินหลงหรือ?”
เพราะในความคิดแรกเริ่มสุดของเฉินผิงอัน ในฐานะที่ฉางมิ่งถือกำเนิดมาจากการจำแลงมหามรรคาของเงินบรรพบุรุษเหรียญทองแดงแก่นทองของบนโลก จึงเหมาะที่จะเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภของภูเขาลูกหนึ่งมากที่สุด คนหนึ่งจริงคนหนึ่งลวงร่วมกับเหวยเหวินหลงจึงเหมาะสมที่สุด และเซียนซือบนภูเขาไม่ว่าลูกใดก็ตามในใต้หล้าไพศาล คิดจะทำหน้าที่เป็นบรรพจารย์ผู้คุมกฎที่สามารถกำราบผู้คนได้ ก็ต้องมีเงื่อนไขสองข้อ หนึ่งต่อสู้เก่ง วิชาคาถาสูงมากพอ หมัดหนักมากพอ มีคุณสมบัติที่จะเป็นคนเลว อีกหนึ่งคือยินดีจะเป็นขุนนางเดียวดายที่ไม่พึ่งพาภูเขาลูกใด เป็น ‘ทรราช’ ที่ถูกผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ ในความทรงจำของเฉินผิงอัน ทุกวันฉางมิ่งจะมีรอยยิ้มบางๆ ประดับใบหน้า ท่าทางอ่อนโยนมีเมตตา นิสัยดีอย่างถึงที่สุด แน่นอนว่าเฉินผิงอันต้องกังวลว่านางที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่วจะหยัดยืนมั่นคงได้ยาก เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือส่วนลึกในใจของเฉินผิงอันยังมีเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดอีกข้อหนึ่งสำหรับคนที่จะมาเป็นบรรพจารย์ผู้คุมกฎของภูเขาลั่วพั่ว นั่นก็คืออีกฝ่ายต้องมีความกล้ามากพอที่จะโต้เถียง งัดข้อกับตน สามารถพูดคำว่าไม่กับเรื่องใหญ่บางเรื่องกับเจ้าขุนเขาที่มักจะไม่อยู่บ้านอย่างตนได้ อีกทั้งยังต้องมีเหตุผลมากพอที่จะทำให้ตนซึ่งต่อให้จะฝืนใจแค่ไหนก็ยังยินดีจะยอมรับผิดกับอีกฝ่ายได้
ดังนั้นหน้าที่ผู้คุมกฎของภูเขาลั่วพั่วจึงเป็นตำแหน่งที่เป็นกุญแจสำคัญที่สุดในใจของเฉินผิงอัน
เดิมทีตามความคิดแรกเริ่มสุดของเฉินผิงอัน คือจะมอบให้อาจารย์จ้งชิวเลื่อนจากผู้ถวายงานขึ้นมาเป็นผู้คุมกฎ
แม้ว่าจะทำให้แผนการที่กำหนดไว้แล้วในใจของตนพังไม่เป็นท่า แต่เฉินผิงอันกลับไม่เผยสีหน้าใดๆ ออกมาแม้แต่น้อย เพียงแค่ค่อยๆ ครุ่นคิด ใคร่ครวญอย่างระมัดระวัง
เผยเฉียนพลันเอ่ยว่า “อาจารย์พ่อ เรื่องที่ฉางมิ่งเป็นผู้คุมกฎ ฟังจากที่พ่อครัวเฒ่าพูด เป็นการแนะนำอย่างสุดแรงเกิดของศิษย์พี่เล็ก”
เฉินผิงอันหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าฉางมิ่งเป็นผู้คุมกฎ ประสิทธิภาพออกมาเป็นอย่างไร?”
เผยเฉียนพยักหน้า ตอบตามสัตย์จริง “อาจารย์ ข้ามีอะไรก็พูดอย่างนั้นนะ ถึงอย่างไรข้าก็คุยกับนางไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว แต่นางน่าจะเป็นผู้คุมกฎที่ไม่เลวคนหนึ่ง ฉางมิ่งชอบยึดมั่นในหลักการเหตุผลอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่นับญาติกับใครทั้งนั้น แต่นางมีเหตุผล อีกทั้งไม่วางท่าว่าจะทะเลาะโต้เถียงกับคนอื่นด้วย สามารถตีงูได้ตรงจุดตาย พูดคำพูดนุ่มนิ่มเบาสบายแค่ประโยคสองประโยคก็ทำให้คนหวาดเกรงได้แล้ว ทุกวันเวลาฉางมิ่งพบเจอใครล้วนยิ้มตาหยี แรกเริ่มก็ยังรู้สึกว่าใจดีน่าใกล้ชิดอยู่หรอก แต่พอเห็นนานเข้า อันที่จริงกลับน่าขนลุกอย่างมาก”
เฉินผิงอันโล่งอก “แบบนี้ก็ดี”
เฉินผิงอันหรี่ตากล่าว “ในเมื่อเป็นสำนักแล้ว ไม่ช้าก็เร็วภูเขาลั่วพั่วของพวกเราย่อมต้องการผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนที่สามารถปรากฎกายภายนอกได้บ่อยๆ อีกทั้งยังไม่ใช่ผู้ถวายงานและเค่อชิง นี่ค่อนข้างเป็นปัญหา หากไม่ได้จริงๆ ก็คงได้แต่ไปขอยืมคนมาจากภูเขาพีอวิ๋นแล้ว”
ชุยตงซานหัวเราะคิกคัก “ได้สิ ก็ให้หมี่อวี้ผู้นั้นไง? ถึงอย่างไรตั้งแต่แรกเริ่มมาเขาก็รู้สึกอยู่แล้วว่าเป็นผู้ถวายงานออกจะห่างเหินกันเกินไป อีกทั้งยังมีการปูพื้นมาก่อนแล้ว เปลี่ยนจากเค่อชิงของภูเขาพีอวิ๋นมาเป็นลูกศิษย์สายตรงตามระบบของภูเขาลั่วพั่ว เรียกได้ว่าน้ำมาคลองสำเร็จ คนนอกเองก็เคยชินที่จะเข้าใจผิดคิดว่าซานจวินใหญ่เว่ยแห่งภูเขาพีอวิ๋นเป็นคนสมบูรณ์แบบงดงามอยู่แล้ว หมี่อวี้อยู่ที่จวนไช่เฉวี่ยอุตรกุรุทวีปมานานหลายปี ทุกช่วงเวลาสามสี่เดือนจะต้องส่งกระบี่บินแจ้งข่าวมายังภูเขาพีอวิ๋นทีหนึ่ง สอบถามว่าอาจารย์กลับมาหรือยัง ถึงบ้านหรือยัง คาดว่าหากไม่มีข่าวของเจ้าขุนเขา เซียนกระบี่หมี่ก็คงวางใจแตกกิ่งก้านสาขาอยู่ที่นั่นได้แล้ว”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ทางที่ดีที่สุดอย่าให้เป็นผู้ฝึกกระบี่อะไรเลย น่าตกใจเกินไป”
ชุยตงซานเอ่ยเสียงเบา “ทุกวันนี้ภูเขาตะวันเที่ยงและนครลมเย็นต่างก็เป็นสำนักกันแล้ว ภูเขาตะวันเที่ยงถึงขั้นมีสำนักเบื้องล่างแล้วด้วย อยู่ในอาณาเขตขุนเขากลางที่มีตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่มากที่สุด หลายปีมานี้ขยับขยายอาณาเขตอย่างกำเริบเสิบสาน รุ่งเรืองก้าวหน้ากันยิ่งนัก สกุลสวี่นครลมเย็นเองก็หวังว่าจะสามารถเลือกที่ตั้งสำนักเบื้องล่างทางทิศใต้ได้ ทุกวันนี้กำลังอาศัยสกุลหยวนเสาค้ำยันแคว้นที่เกี่ยวดองกันทางการแต่งงานให้ช่วยสานสัมพันธ์หาช่องทางจากในเมืองหลวงต้าหลีไปทั่ว”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ในที่สุดภูเขาตะวันเที่ยงก็มีเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนแล้วหรือ? คือบรรพจารย์ที่เคยอาศัยการปิดด่านหลบการถามกระบี่จากหลี่ถวนจิ่งงั้นรึ?”
ชุยตงซานยกนิ้วโป้งให้ “อาจารย์คิดคำนวณได้เก่งกาจนัก!”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็พยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นภูเขาลั่วพั่วของพวกเราก็คงได้แต่ตบหน้าตัวเองให้เป็นคนอ้วน ฝืนใจผลักเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่เช่ามาคนหนึ่งออกไปแล้ว ไม่อย่างนั้นกลับจะทำให้ภูเขาตะวันเที่ยงและนครลมเย็นคิดวุ่นวายกันไปส่งเดช เดี๋ยวจะนอนไม่หลับเอาได้”
——