สิ้นเสียงดอกกระบี่พันปีก ในลานเงียบกริบทั้งแถบ

ในใจหลินสวินก็ไม่อาจสงบได้เช่นกัน

กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ นับแต่อดีตจนปัจจุบันพาดขวางด่านหน้า ตั้งตระหง่านคงกระพัน

ก่อนหน้านี้ผู้เฒ่าอิ๋นจากหอฤทธิ์เทพก็เคยบอกว่า เมืองนี้สร้างขึ้นมาจากดวงดาวที่เหล่าจักรพรรดิเก็บเกี่ยวจากนอกดินแดน พาดเชื่อมฟ้าดิน ขัดขวางศัตรูประหนึ่งปราการธรรมชาติชั่วนิรันดร์

นับแต่อดีตจนปัจจุบันก็มีชื่อเลืองลือว่าเป็น ‘ปราการฟ้าด่านแรกดินแดนรกร้างโบราณ สถานที่หยุดเท้าของจอมจักรพรรดิ’

เมืองนี้ทอดยาวไร้ขอบเขต เปี่ยมด้วยภาพทิวทัศน์แรกกำเนิด กลิ่นอายเก่าแก่คละคลุ้ง ดวงดาวมากมายโคจรอยู่ภายใน แข็งแกร่งทนทานและใหญ่ตระหง่านยิ่งยวด

แรกเริ่มเดิมทีตอนที่หลินสวินมาถึง ก็สัมผัสได้ตั้งแต่จังหวะแรกว่าทั้งเบื้องบนเบื้องล่างของเมืองนี้ปิดครอบด้วยกระบวนผนึกสูงสุด คละคลุ้งกลิ่นอายระดับจักรพรรดิ บีบคั้นจักรวาล!

เพียงแต่หลินสวินกลับคิดไม่ถึง ว่าดอกกระบี่พันปีกจะถึงกับมองสถานที่แห่งนี้เป็นมหามรรคด่านตะวันที่เข้าใกล้ระดับจักรพรรดิ ซ้ำยังตื่นเต้นซาบซึ้งต่อเรื่องนี้อีกด้วย

ในใจเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าออกจะซับซ้อนเล็กน้อย

พวกเขาเฝ้าประจำการอยู่ที่กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิแห่งนี้ไม่รู้กี่กาลเวลา ย่อมรู้ดีเป็นที่สุดว่าที่ดอกกระบี่พันปีกพูดมาทั้งหมดไม่ผิดเพี้ยนเลย

ที่แห่งนี้ผนึกกลิ่นอายของผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิมากมายจริงๆ!

เหมือนอย่างใน ‘ด่านตะวัน’ แห่งนี้ ก็มีแดนต้องห้ามแห่งหนึ่ง ประหนึ่งวิปโยคอลหม่าน มีอสนีสีเงินแล่นแปลบปลาบอยู่ในนั้น กลิ่นอายสายหนึ่งของ ‘จักรพรรดิมารไร้ใจ’ ก็ยังเหลืออยู่จนทุกวันนี้ ถึงตอนนี้ก็ยังคงถวิลหาภรรยาของเขาอยู่

พวกซุ่นจี้ หลิงเซียวจื่อก็เคยคิดว่าจะสามารถไขปริศนาเร้นลับบางส่วนที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อการฝึกปราณ จากกลิ่นอายระดับจักรพรรดิเหล่านี้ได้หรือไม่ หนำซ้ำยังเคยลองมาแล้วมากกว่าหนึ่งครั้ง

แต่สุดท้ายล้วนลงเอยด้วยความล้มเหลว

ถึงขั้นตอนที่มีคนหมายจะฝืนกำลังหลอมกลิ่นอายระดับจักรพรรดิสายหนึ่ง ก็เหมือนละเมิดพลังต้องห้าม ตายอนาถคาที่ตรงๆ!

นับแต่นั้นเป็นต้นมา ภายในกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิแห่งนี้ก็ไม่มีใครกล้าริอ่านท้าทายกลิ่นอายระดับจักรพรรดิอีกเลย

แต่ตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าดอกกระบี่พันปีกคิดจะทำเช่นนี้

จากสายตาแหลมคมของมัน จะดูไม่ออกเชียวหรือว่ากลิ่นอายระดับจักรพรรดิเหล่านี้ใช่ว่าจะถูกหลอมได้ง่ายๆ ปานนั้น

หรือจะบอกว่ามันมีวิธีอื่น

และในเวลานี้ ดอกกระบี่พันปีกก็ขยับกลีบดอกแผ่วเบา

ห้วงอากาศไกลโพ้นจู่ๆ ก็มีกลิ่นอายน่าสะพรึงที่เปี่ยมด้วยอานุภาพระดับจักรพรรดิพุ่งออกมาสายหนึ่ง เพียงแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น ยามเมื่อปรากฏขึ้นกลางฟ้าดินในเวลานี้ กลับทำเอาเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าแข็งทื่อไปทั้งร่าง ขนพองสยองเกล้า มีความรู้สึกเหมือนปัญหาใหญ่มาเยือน เกรงกลัวหมดเรี่ยวแรง

ใบหิมะน้ำแข็งบนฝ่ามือหลินสวินเปล่งแสงเรืองแปลกประหลาดออกมา เพียงชั่วครู่ก็เก็บกลิ่นอายน่าสะพรึงที่เปี่ยมด้วยอานุภาพระดับจักรพรรดิสายนั้นไป แทรกสู่กลางเส้นใย

พร้อมกันนั้น หลินสวินรู้สึกเพียงว่าในใบหิมะน้ำแข็งมีกลิ่นอายระดับจักรพรรดิที่คลุมเครือ เร้นลับ น่าสะพรึงจนไม่อาจจินตนาการเพิ่มขึ้นมาสายหนึ่ง

เมื่อเห็นเช่นนี้เสียงดอกกระบี่พันปีกก็เจือแววแปลกไป กล่าวอย่างตื่นเต้น “เห็นหรือไม่ นี่ก็คือกุญแจที่นำไปสู่เส้นทางแห่งระดับจักรพรรดิ! ใครสามารถควบคุมได้ ผู้นั้นก็จะสามารถหลอมและหยั่งถึงปริศนาระดับจักรพรรดิได้!”

ลมหายใจของเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่ายังเปลี่ยนเป็นหอบหนักขึ้นมา สายตาที่มองใบหิมะน้ำแข็งในมือหลินสวินล้วนเปลี่ยนเป็นลุกวาวขึ้นมา

ยังมีสัตว์ประหลาดเฒ่าบางส่วนที่ลอบสังเกตการเคลื่อนไหวที่นี่ในเงามืด ยามนี้ก็ต่างใจสั่นขึ้นมาเช่นกัน

ใบหิมะน้ำแข็งใบหนึ่ง ไม่เพียงสามารถผนึกสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงอย่างดอกกระบี่พันปีกนี่ได้ ซ้ำยังดูดซับพลังลึกลับของกลิ่นอายระดับจักรพรรดิเข้าไปด้วย นี่ต้องเป็นสมบัติที่แปลกมหัศจรรย์ปานใดกันแน่

มิน่าพวกซุ่นจี้ หลิงเซียวจื่อถึงได้สะท้านสะเทือนและใจสั่น

ในฐานะกึ่งจักรพรรดิ ใครไม่วาดหวังว่าสักวันหนึ่งจะสามารถปีนขึ้นสู่ระดับจักรพรรดิ ผงาดกร้าวทั่วหล้า ยืนตระหง่านเหนือบรรดาอริยะบ้าง

เพียงแต่หากคิดจะบรรลุเป็นจักรพรรดิ ช่างยากเย็นเกินไปจริง!

ในกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิแห่งนี้ มีกึ่งจักรพรรดิที่ประจำการอยู่ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ในนั้นไม่ขาดพวกกร้าวแกร่งที่โดดเด่นเฉิดฉาย

แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครสัมผัสบานประตูระดับจักรพรรดิได้เลยสักคน!

เพราะฉะนั้นยามใบหิมะน้ำแข็งเช่นนี้ปรากฏขึ้น สำหรับสัตว์ประหลาดเฒ่าพวกนี้แล้ว ก็เหมือนมองเห็นความหวังของการก้าวสู่ระดับจักรพรรดิอย่างหนึ่งชัดๆ

ใครจะไม่ใจเต้นบ้าง

จังหวะนี้สีหน้าหลินสวินก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย จ้องดอกกระบี่พันปีกอย่างเยียบเย็น “เจ้าเองก็คิดจะเลียนแบบมดตัวจ้อยนั่น ชักนำยุแยง ยืมมีดฆ่าคนด้วยหรือ”

ดอกกระบี่พันปีกกล่าวอธิบายเป็นพัลวัน “สหายน้อย มีข้าอยู่ ผู้ใดยังจะกล้าทำไม่ดีต่อเจ้าได้อีก ก่อนหน้านี้ข้าเพียงตื่นเต้นเกินไปหน่อย เลยทำให้พูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมาบ้าง”

นิ่งไปพักหนึ่งมันเปลี่ยนเป็นไอสังหารพวยพุ่ง “สหายน้อย หากเจ้าไม่วางใจ ข้าจะสังหารพวกคนรุ่นหลังทั้งหมดที่นี่เลยก็ได้!”

ประโยคเดียวไอสังหารสะเทือนจักรวาล พวกสัตว์ประหลาดเฒ่าแถวนั้นล้วนสะดุ้งตื่นโดยพลัน อย่างพวกฮูหยินมู่ ซุ่นจี้ หลิงเซียวจื่อล้วนอดเผยแววเจื่อนๆ ออกมาไม่ได้

ก่อนหน้านี้พวกเขาถึงกับเกิดความละโมบจนเกือบจะขาดสติ

“ช่างเถิด เจ้ากลับไปพักก่อนดีกว่า”

หลินสวินสีหน้าวูบไหวไม่นิ่ง

ไม่ว่าจะเป็นมดสำริด เจียวหลงเขียวมรกต หรือดอกกระบี่พันปีกนี่ ไม่มีใครสักคนที่รับมือด้วยง่ายๆ จิตใจเคี้ยวคดสุดหยั่ง ทำเอาหลินสวินไม่อาจไม่ป้องกันตัว

ถึงอย่างไรสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงพวกนี้ก็เป็นถึงพวกที่เกือบจะเป็นระดับจักรพรรดิกันทั้งนั้น ความแข็งแกร่ง ฝีมือ สติปัญญาล้วนไม่ขาดตกบกพร่อง

หากเชื่อคำพูดของพวกเขาทั้งหมด เผลอๆ อาจกลายเป็นทำเอาตัวเองตายก็เป็นได้!

ที่เหนือความคาดหมายคือดอกกระบี่พันปีกไม่ได้ต่อต้านและแก้ต่าง น้ำเสียงนุ่มหูและจริงจัง

“ก็ดี สหายน้อยหวาดระแวงย่อมเป็นเรื่องปกติ ข้าขอตัวกลับไปก่อน หากมีพวกไม่ลืมตามาหาเรื่องสหายน้อย หรือสหายน้อยต้องการความช่วยเหลืออื่นๆ ก็เรียกหาข้าได้ตลอด”

พรึ่บ!

ไม่รอให้หลินสวินเคลื่อนไหว ดอกกระบี่พันปีกก็กลายเป็นแสงสายหนึ่งพุ่งโฉบเข้าไปในใบหิมะน้ำแข็งใบนั้นเอง

“ถอยเพื่อรุกหรือ…”

สีหน้าหลินสวินวูบไหวไม่มั่นคงอีกครั้ง

ครู่ใหญ่กว่าเขาจะสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง จิตใจหวนสู่ความสงบเช่นเดิม

ไม่ว่าดอกกระบี่พันปีกมีแผนการอะไร รอหลังจากได้พบท่านเซิ่น เขาก็จะทำตามคำกำชับของชายหนุ่มจักจั่นทอง มอบใบหิมะน้ำแข็งนี่ให้

ส่วนเรื่องต่อจากนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขาแล้ว

กล่าวง่ายๆ สำหรับหลินสวินแล้ว ใบหิมะน้ำแข็งก็เปรียบเสมือนกระบี่สองคมเล่มหนึ่ง และตอนนี้เขายังไม่มีพลังจะไปควบคุมมัน หากไม่ระวังแค่นิดเดียวก็อาจถูกทำร้ายบาดเจ็บเอาได้!

แทนที่จะเป็นเช่นนี้ สู้รีบๆ ส่งมอบสมบัติชิ้นนี้ออกไปเสียยังดีกว่า

หลังจากหลินสวินเก็บใบหิมะน้ำแข็งเสร็จ เดิมตั้งท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นสีหน้าซับซ้อนของพวกซุ่นจี้ หลิงเซียวจื่อ ก็อดทอดถอนใจในใจไม่ได้

“ผู้อาวุโสทุกท่าน วันนี้ผู้น้อยเหนื่อยเล็กน้อย ขอตัวกลับไปพักผ่อนก่อน”

หลินสวินประสานมือบอกกล่าว

“สหายน้อย”

ฮูหยินมู่สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งกล่าวว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ออกจะเหนือความคาดหมายเกินไปจริงๆ ข้าตั้งใจว่าจะจุดไฟสัญญาณข่าวจักรพรรดิแจ้งข่าวให้ท่านเซิ่นรู้ ให้เขามาจัดการด้วยตนเอง เจ้าเห็นว่าอย่างไร”

หลินสวินอึ้งไป ในใจผุดแววอบอุ่น

ประโยคเดียวแฝงนัยโดยไม่ต้องเอ่ย วันนี้นักพรตชิวตายแล้ว ซ้ำยังเกิดเรื่องมากมายขนาดนี้ ที่สำคัญที่สุดคือในด่านตะวันยามนี้ เกรงว่าทุกคนต่างรู้ดีว่าในมือหลินสวินมีใบหิมะน้ำแข็งที่แปลกพิสดารสุดหยั่งอยู่ใบหนึ่ง

เชิญท่านเซิ่นกลับมาจัดการในเวลาเช่นนี้ ย่อมเป็นประโยชน์สูงสุดต่อหลินสวินอย่างไม่ต้องสงสัย

“ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่ง!”

หลินสวินคารวะอย่างจริงจัง

ฮูหยินมู่ฉายรอยยิ้ม “ไปเถิด พักผ่อนให้เต็มที่ แล้วก็ระวังสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงพวกนั้นในมือเจ้าด้วย”

หลินสวินพยักหน้าก่อนจากไปย่างฉับไว

“พายุฝนตั้งเค้า ด่านจักรพรรดิไม่สงบ?”

หลิงเซียวจื่อส่งเสียงทอดถอนใจยาวเฮือกหนึ่ง

……

ภายในตำหนักสำริดที่แต่เดิมเป็นของท่านเซิ่น

หลินสวินนั่งขัดสมาธิบนพื้น วางใบหิมะน้ำแข็งไว้ตรงหน้าแล้วเพ่งมอง จมสู่ภวังค์ความคิด

ปีนั้นที่ตำหนักจักรพรรดิหมื่นเคราะห์ในป่าต้นหม่อน ชายหนุ่มจักจั่นทองใช้วิธีการชั้นยอดพาพวกกึ่งจักรพรรดิทั้งกลุ่มออกมา

อย่างเช่นมหาจักรพรรดิจักรวรรดิจื่อเย่า จักรพรรดินี จ้าวไท่ไหล เจ้าสำนักสำนักมฤคมรกต…

หรืออย่างอูจิ่วฉง จวี้เทียนสิง…

และยังมีผีเสื้อราตรีสีเลือดที่ชื่อเฟยหลัน รวมถึงบรรพจารย์บัวโลหิตที่ขี่วัวขาว หน้าตาคล้ายเด็ก…

ขณะเดียวกันก็มีกึ่งจักรพรรดิทั้งโขยงถูกกำราบอยู่ในใบหิมะน้ำแข็งนี่ อย่างเช่นดอกกระบี่พันปีก เจียวหลงเขียวมรกต มดสำริดเป็นต้น

หลินสวินยังจำได้แม่น ตอนที่ชายหนุ่มจักจั่นทองจากไปเคยกล่าวว่า ‘ภายหน้าหากมีโอกาส นำของสิ่งนี้ไปสนามรบแนวหน้า ถึงตอนนั้นกึ่งจักรพรรดิที่ถูกผนึกอยู่ในใบไม้นี้คิดอยากรอดพ้นพันธนาการอย่างสิ้นเชิง มีแต่ต้องสร้างบุญไถ่บาป ออกรบเพื่อดินแดนรกร้างโบราณเพียงทางเดียวเท่านั้น’

ตอนนั้นหลินสวินก็ตอบตกลงโดยไม่ลังเล เหตุผลง่ายดายยิ่ง การกระทำนี้ของชายหนุ่มจักจั่นทองทำไปเพื่อทั้งดินแดนรกร้างโบราณ!

ปณิธานยิ่งใหญ่และจิตใจกว้างขวางระดับนั้น ทำเอาหลินสวินนึกถึงพวกบุคคลสำคัญอย่างจักรพรรดิกระบี่นิลกาฬ อริยพุทธซิงเจีย เทพยุทธ์อู๋ยางในยุคดึกบำบรรพ์ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ต่างพากันปณิธานเด็ดเดี่ยว มีจิตใจอุทิศให้ใต้หล้า

“สร้างบุญไถ่บาป เมื่อครู่หากสามารถหลุดรอดไปได้…ถ้าไม่ล่ะ? จะยังถูกผนึกควบคุมอยู่ในใบหิมะน้ำแข็งนี่ตลอดไปหรือไม่”

“หากเป็นเช่นนี้ มอบสมบัติชิ้นนี้ให้ท่านเซิ่น ก็เรียกได้ว่าเป็นมงคลหาใช่พิษสงร้าย”

ไตร่ตรองเนิ่นนาน หลินสวินพ่นลมหายใจอุดอู้ออกมาเฮือกยาว

ตอนนี้แค่รอให้ท่านเซิ่นกลับมาเท่านั้น!

……

ด่านสมุทร

ที่นี่ถูกมองเป็นหนึ่งใน ‘สามฐานทัพใหญ่’ ที่สำคัญที่สุดของกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ

หลายเดือนก่อน ขุมอำนาจแปดแดนรวมกันอยู่ที่นี่ รวมพลังพุ่งเป่าบุกโจมตี ‘ด่านสมุทร’

แต่ว่ามีกึ่งจักรพรรดิอย่างพวกท่านเซิ่น กู่เหลียงฉวี่คอยเป็นกำลังหลัก ไม่ว่าการบุกโจมตีของศัตรูจะดุเดือดเพียงใด ล้วนถูกสยบอยู่นอกด่าน ไม่อาจรุกเข้าใกล้

ในวันนี้ จู่ ‘แท่นไฟสัญญาณ’ ของด่านสมุทรก็จุดไฟสัญญาณข่าวจักรพรรดิลุกโชนสายหนึ่ง แทบจะในจังหวะแรก ข่าวส่วนหนึ่งก็ส่งมาถึงมือกู่เหลียงฉวี่

“นักพรตชิวถูกโจมตีตายอนาถ บุตรนรกอยู่ไหนยังไม่ทราบชัด สิงห์มังกรทมิฬสี่ตัวล้วนถูกทำร้าย เรียนเชิญใต้เท้ากู่เหลียงฉวี่มาที่ด่านตะวันด่วน…”

เมื่ออ่านข่าวจบ สีหน้ากู่เหลียงฉวี่เคร่งขรึมโดยพลัน อานุภาพน่าสะพรึงแผ่ซ่านขยายกว้าง สะเทือนเลื่อนลั่นเวิ้งฟ้า

เขารูปร่างซูบผอม สวมชุดผ้าป่าน ผมยาวยุ่งเหยิง เค้าหน้าหนักแน่น นัยน์ตาลึกล้ำประหนึ่งมหาสมุทรเวิ้งว้าง

นักพรตชิวพลังต่อสู้แกร่งกล้า หลายปีมานี้ยังอุทิศแรงกายเป็นธุระให้เขากู่เหลียงฉวี่เสมอมา กล่าวได้ว่าจงรักภักดี แต่ยามนี้ถึงกับถูกคนฆ่าทำร้าย!

หนำซ้ำ ข่าววิปโยคระดับนี้ยังเกิดขึ้นภายในกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ!

กู่เหลียงฉวี่หยัดตัวขึ้นเต็มความสูง กล่าวสั่งการด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“เตรียมค่ายกลใหญ่เคลื่อนย้าย ข้าจะไปด่านตะวันสักเที่ยว”

เสียงพูดเยือกเย็น แต่กลับมีไอสังหารพุ่งเสียดฟ้าแผ่กว้างลุกลาม

พร้อมกันนั้น ข่าวฉบับหนึ่งก็ส่งไปถึงมือท่านเซิ่นด้วยเช่นกัน อ่านจบ สีหน้าเขาก็อดเจือแววแปลกไปไม่ได้

นักพรตชิวถึงกับตายในด่านตะวันเชียวหรือ

นี่มันเรื่องอะไรกัน

ช่วงก่อนหน้านี้ ท่านเซิ่นไม่ยักเคยได้ยินข่าวลือสักนิด

แต่ไม่ทันไร ท่านเซิ่นก็สืบข่าวได้ เพิ่งรู้คราวนี้เองว่าเหตุการณ์นองเลือดครั้งนี้ ถึงกับเกิดขึ้นเพราะความขัดแย้งของบุตรนรกกับหลินสวิน

ชั่วขณะนั้น ท่านเซิ่นเองก็อดอึ้งงันไม่ได้ ครู่ใหญ่ให้หลัง เขาจึงตัดสินใจเด็ดขาด กล่าวว่า “สั่งการลงไป ข้าจะกลับด่านตะวันสักเที่ยว”

เขารู้ดียิ่ง กู่เหลียงฉวี่ก็ต้องได้ข่าวแล้วแน่ๆ หนำซ้ำจากอุปนิสัยของกู่เหลียงฉวี่ หลังจากได้รู้ข่าวการตายของนักพรตชิว เกรงว่าตอนนี้คงเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว!

………….