ตอนที่ 1737: เรือนกระบี่

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 1737: เรือนกระบี่

เรือนกระบี่นั้นเป็นกระท่อมหินที่มีสองชั้น กำแพงหินนั้นเรียบและเป็นเหมือนกระจกเงา มันไร้ที่ติ อย่างไรก็ตาม เจี้ยนเฉินและเฉินเจี้ยนสามารถบอกได้อย่างรวดเร็วว่าเจตจำนงกระบี่ที่แหลมคมและโหดร้ายบดราบพื้นผนัง

หลังจากที่พวกเขาทั้งสองเข้าไปในกระท่อมหิน พวกเขารู้สึกเหมือนได้เข้าสู่กระบี่อันทรงพลัง เจตจำนงกระบี่ที่พุ่งทะยานปรากฏทั่วทุกที่

“นี่คือจิตวิญญาณกระบี่ อย่างน้อยที่สุดมันก็อยู่ที่ระดับจิตวิญญาณกระบี่” ใจของเจึ้ยนเฉินสั่นเมื่อเขาสัมผัสถึงเจตจำนงกระบี่ที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง เขารู้สึกถึงแรงกดดันที่ทำให้หายใจไม่ออกในกระท่อมหิน มันเป็นแรงกดดันที่มาจากกฎของกระบี่

เขามาถึงความสมบูรณ์แบบของต้นกำเนิดกระบี่ดั้งเดิม วิธีเดียวที่เขาจะรู้สึกกดดันจากกฎของกระบี่นั้นมาจากขอบเขตที่เกินกว่านั้นคือจิตวิญญาณกระบี่

ทันใดนั้น ดวงตาของเจี้ยนเฉินก็หรี่แคบลง มีปราณกระบี่ที่คมชัดเป็นพิเศษบนกำแพงด้านหนึ่ง เขาสั่นเทาเมื่อเห็นปราณกระบี่ ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกว่าปราณกระบี่พุ่งเข้าหาเขาโดยตรง

เจี้ยนเฉินรู้สึกเหมือนเขาเป็นเรือลำเล็ก ๆ ในมหาสมุทรที่พุ่งพล่านต่อหน้าปราณกระบี่ที่ซึ่งเขาสามารถถูกกลืนได้ตลอดเวลา

เขารู้สึกอ่อนแอเหมือนมดต่อหน้าปราณกระบี่ แม้ว่าเขาจะมาถึงความสมบูรณ์แบบของต้นกำเนิดกระบี่ เขาก็ยังคงอ่อนแออยู่ดี

เจี้ยนเฉินยืนนิ่งเหมือนภูเขา ดวงตาสงบของเขาระเบิดอย่างสว่างไสวในขณะนั้นราวกับว่ามีแสงสองเส้นพุ่งออกมาจากดวงตาของเขา ชนกับเจตจำนงกระบี่ที่พุ่งเข้าหาเขาโดยตรง

เขาเองก็เป็นมือกระบี่และเขามีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่งสำหรับเส้นทางกระบี่ เขาจะพ่ายแพ้ให้กับเจตจำนงกระบี่ได้อย่างไร ?

แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะรู้ว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อที่ทัดเทียม เขาจะไม่นั่งเฉยเฉย เขาตอบโต้อย่างไม่เกรงกลัว

เจี้ยนเฉินดูเหมือนจะได้ยินเสียงดังกึกก้องในห้วงจิตสำนึกของเขาภายใต้การต่อต้านแบบเต็มกำลัง เขารู้สึกเหมือนเขาได้ตัดผ่านโซ่ตรวนบางอย่าง ล้างความคิดและวิญญาณทั้งหมดของเขา เขาเข้าสู่สภาวะมหัศจรรย์

เจี้ยนเฉินงงงวย ดูเหมือนว่าเขาจะเห็นภาพหมอก ในภาพ คนเสื้อคลุมสีเขียวยืนอยู่ในกระท่อมพร้อมกับหันหลังให้เจี้ยนเฉิน เขาเปล่งประกายด้วยพลังแห่งการมีอยู่สูงสุด ซึ่งมีเจตจำนงกระบี่ที่ทรงพลังจนทำให้เจี้ยนเฉินตกใจ

ชายผู้นั้นค่อย ๆ ยกกระบี่ในมือของเขา ทันใดนั้นปราณกระบี่ก็โผล่ออกมาจากกระบี่ เขาแทงออกมาเหมือนไม่ตั้งใจ

การโจมตีดูเหมือนจะติดตามเส้นโคจรของเส้นทางของโลก มันมีสิ่งมหัศจรรย์ในกฎของโลก การโจมตีครั้งเดียวมีพลังทำลายล้าง

เจี้ยนเฉินรู้สึกว่าโลกทั้งใบถูกกวาดล้างทันทีที่ชายคนนั้นแทงออกมา การโจมตีส่งผลไปถึงจิตใจและวิญญาณของเขา มันกลายเป็นสิ่งเดียวในโลกในสายตาของเขา มันซึมซับความคิดทั้งหมด เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในการโจมตี

เจี้ยนเฉินต้องหลับตาในกระท่อมหิน จิตใจของเขาจมลงไปในความมหัศจรรย์แห่งการโจมตีอย่างควบคุมไม่ได้และเรียนรู้มันอย่างใกล้ชิด เขากำลังทำความเข้าใจกระบี่

เฉินเจี้ยนก็หลับตาของเขา เข้าสู่สถานะที่เขาไม่ได้ตระหนักถึงตัวเองอีกต่อไป เขาเจอสิ่งเดียวกันกับเจี้ยนเฉิน

นางฟ้าเฮายู่เหลือบไปที่เจี้ยนเฉินและเฉินเจี้ยน ในเวลาเดียวกัน นางพูดกับโม่หลิงและอันโดฟู่ผ่านทักษะเการสื่อสาร “พวกเจ้าออกไปก่อน อย่ารบกวนพวกเขาสองคน”

อันโดฟู่และโม่หลิงก็เหลือบไปที่รอยกระบี่บนผนังโดยไม่รู้ตัว น่าเสียดายที่พวกเขาไม่พบอะไรเลย ดวงตาของพวกเขามองไม่เห็นอะไร

ปราณกระบี่จะชัดเจนสำหรับการชี้นำผู้คนเท่านั้น มันไม่สามารถทำร้ายผู้คนได้ ดังนั้นเฉพาะผู้ที่เข้าใจกฎของกระบี่เท่านั้นที่สามารถเข้าใจได้ โม่หลิงและอันโดฟู่ไม่ได้เดินตามเส้นทางกระบี่ ดังนั้นรอยกระบี่จึงไม่มีประโยชน์สำหรับพวกเขา

อันโดฟู่และโม่หลิงออกจากสถานที่เงียบ ๆ พวกเขาวางแผนที่จะค้นหาผ่านห้องหินสุดท้าย พวกเขาไม่ทราบว่าเจี้ยนเฉินและเฉินเจี้ยนจะใช้เวลานานเท่าไหร่ ผู้อาวุโสของทั้งสองตระกูลต่างก็ไปที่สุสานของลูกศิษย์ของราชาเทพต้วนมู่เพื่อไม่ให้เสียเวลาอันมีค่าของพวกเขาที่นี่ มีเครื่องหมายสำหรับการทำความเข้าใจกฎในนั้น และพวกเขาก็สามารถได้รับประโยชน์จากมันในฐานะขั้นศักดิ์สิทธิ์

“ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถตัดผ่านกฎของกระบี่ได้ เส้นทางข้างหน้าจะยิ่งยากขึ้นและค่ายกลจะมีพลังยิ่งขึ้น แม้ว่าข้าจะสามารถหาจุดอ่อนได้ แต่เจ้าก็ไม่สามารถเจาะผ่านจุดแข็งของมันได้ด้วยระดับพลังในปัจจุบันของเจ้า เฉพาะเมื่อเจ้าแข็งแกร่งขึ้น เจ้าถึงจะสามารถก้าวไปสู่สถานที่ที่ราชาเทพต้วนมู่บ่มเพาะได้” นางฟ้าเฮายู่บ่นกับตัวเองขณะที่นางจ้องมองเจี้ยนเฉินและเฉินเจี้ยนผู้ซึ่งเข้าสู่สภาวะหลงลืมตัว

นางรอได้ตอนนี้เท่านั้น ค่ายกลที่นำไปสู่ถิ่นที่อยู่ของราชาเทพต้วนมู่นั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่า หากค่ายกลไม่ถูกทำลาย นางก็จะไม่สามารถเข้าไปได้เช่นกัน พวกเขาจะสามารถเข้าไปลึกได้แค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับเจี้ยนเฉินและเฉินเจี้ยน

ทันใดนั้น ดวงตาของนางฟ้าเฮายู่ก็หรี่ลง ทันใดนั้นนางก็หันหน้าไปยังทางเข้าที่พัก มิติที่นั่นมีระลอกคลื่นเล็กน้อย

นางฟ้าเฮายู่ขมวดคิ้วและพูดอย่างบูดบึ้ง “ดูเหมือนว่าคนข้างนอกจะเข้ามาเร็ว ๆ นี้ เหลือเวลาอีกไม่นาน…”

ในปัจจุบันเสียงดังสนั่นก้องไปทั่วนอกสุสานของราชาเทพต้วนมู่ เหนือเทพหลายโหลยืนเป็นกลุ่มขณะที่พวกเขาทำลายค่ายกลรอบทางเข้า

แต่ละค่ายกลมีพลังมหาศาล มันเพียงพอที่จะจัดการหรือฆ่าขั้นเหนือเทพ ดังนั้นการร่วมกันโจมตีค่ายกลจึงสร้างการรบกวนที่น่าประหลาดใจ มันทำให้มิติเกิดการบิดเบือน

จำนวนขั้นเหนือเทพที่รวมตัวกันข้างหน้าทางเข้าได้เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่าห้าสิบคน ขณะที่อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ที่เข้ามามีส่วนร่วมเพิ่มขึ้นจากสี่เป็นเจ็ด

ที่ด้านหน้ามีชายชราที่มีผมสีเทายืนอยู่อย่างสง่างาม เขาถือแผ่นอาคมแปดเหลี่ยม ในขณะที่เขาจ้องค่ายกลที่กำลังระเบิด

ขั้นเหนือเทพที่รวมตัวกันที่นั่นปฏิบัติต่อชายชราอย่างสุภาพ พวกเขาทั้งหมดประพฤติอย่างนอบน้อมมาก

นี่เป็นเพราะชายชราเป็นผู้เชี่ยวชาญค่ายกลอันเลื่องชื่อซึ่งพวกเขาเชิญเข้ามา ไม่เพียงแต่เขามีชื่อเสียงเท่านั้น แต่เขายังทรงพลังเช่นกัน เขาไปถึงขั้นเหนือเทพช่วงปลายและเป็นที่รู้จักในนามปรมาจารย์เฉินหลง

นอกจากนี้ปรมาจารย์เฉินหลงผู้นี้ยังเป็นคนต้นคิดในการวางค่ายกลอันทรงพลังมากมายรอบ ๆ ทางเข้าสุสานของราชาเทพต้วนมู่ก่อนที่จะระเบิดมัน มันก่อให้เกิดการโจมตีที่ทรงพลังที่สร้างความเสียหายให้กับมิติในนั้นเพื่อพยายามเปิดทางเข้าที่ซ่อนอยู่

“อีกหน่อย ลองอีกครั้ง คราวนี้ทางเข้าสุสานจะปรากฏขึ้นอย่างแน่นอน” ปรมาจารย์เฉินหลงกล่าวอย่างสบายใจขณะที่ลอยอยู่กลางอากาศ

ภายใต้การควบคุมด้วยตัวเองของปรมาจารย์เฉินหลง ขั้นเหนือเทพที่เคยศึกษาค่ายกลมาก่อนต่างเริ่มวางค่ายกล

ไม่กี่วันต่อมา ปรมาจารย์เฉินหลงได้สร้างค่ายกลทั้งหมดด้วยความพยายามของขั้นเหนือเทพหลายโหล คราวนี้มีค่ายกลกว่าหนึ่งร้อยค่ายกล และทุก ๆ คนก็อยู่ในขั้นเหนือเทพ

ห่างออกไปหลายพันเมตร ชายหนุ่มที่มีพัดนอนหลับสบายใจอยู่บนเก้าอี้นวม ดวงตาของเขาปิดอยู่ราวกับว่าเขากำลังนอนหลับ หญิงงามสองคนเอนกายข้างเขา พวกนางนวดไหล่และขาของเขาอย่างระมัดระวัง พวกนางทำงานอย่างนิ่มนวล

ผู้หญิงสองคนไม่ได้อ่อนแอ พวกนางเป็นขั้นศักดิ์สิทธิ์

ไม่ต้องเอ่ยถึงแคว้นตงอัน ขั้นศักดิ์สิทธิ์เป็นระดับที่มีพลังยิ่งในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียน แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงบริการนวดให้แก่ชายหนุ่มที่เป็นขั้นเทพเท่านั้น แม้แต่ขั้นเหนือเทพก็ไม่สามารถมีความสุขกับสิ่งนี้ได้เพราะแม้แต่ในตระกูลที่มีขั้นเหนือเทพ ขั้นศักดิ์สิทธิ์ก็ยังมีสถานะพิเศษ พวกเขาไม่มีทางถูกใช้เหมือนคนรับใช้

อย่างไรก็ตาม หญิงสาวสองคนนั้นก็ไม่ได้แสดงอาการทุกข์ใจหรือไม่เต็มใจเลย พวกนางทั้งคู่มีความสุขมากราวกับว่าการนวดชายหนุ่มคนนี้เป็นสิ่งที่พวกนางเพลิดเพลินอย่างมาก

ในขณะนี้ชายหนุ่มที่ดูเหมือนกำลังหลับอยู่ลืมตาขึ้นมา เขาหาวอย่างเกียจคร้านและมองไปข้างหน้าอย่างง่วงนอน เขาพูดอย่างค่อนข้างไม่พอใจ “ทำไมพวกเขาถึงยังเปิดสุสานไม่ได้อีก ? ลุงฉิน ข้าบ่มเพาะไปนานเท่าไหร่แล้ว ? ”

“ นายน้อยได้บ่มเพาะมา 5 ปี” ชายร่างกำยำที่อยู่เบื้องหลังชายหนุ่มตอบ