ประตูใหญ่ของตำหนักปีศาจเพลิงวินาทีที่หลัวซิวเข้าไปได้ก็พลันปิดลงในทันที ตัวต้องห้ามค่ายเทพของตำหนักปีศาจเพลิงก็ถูกกระตุ้นโคจรอย่างกะทันหัน เรียกได้ว่าทำให้หลัวซิวสามารถสร้างกับดักอันใหญ่หลวงให้กับทุกคน ระดับราชาเทพช่วงปลายลงไปนั้น ต่างก็ถูกอัสนีโลหิตอันน่าหวาดกลัวนั้นกวาดไปเพียงครั้งเดียว ก็พลันตายคาที่ไม่เหลือแม้แต่กระดูก

ต่อให้เป็นยอดฝีมือราชาเทพช่วงปลายขึ้นไป ก็มีผู้แข็งแกร่งจำนวนน้อยมากเท่านั้น ที่จะสามารถรักษาชีวิตของพวกเขาเอาไว้ได้ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ดี ทำให้พลังนั้นเหลือน้อยกว่าสามส่วนของความแข็งแกร่งทั้งหมด

ภายใต้การเตือนของหลัวซิวอิงบูเฉิงและเทพธิดายู่หรงนั้นสามารถรอดพ้นภัยอันตรายมาได้ครั้งหนึ่ง เมื่อเห็นเหล่ายอดฝีมือเหล่านั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส ก็เลือกที่จะลงมือโดยไร้ซึ่งความลังเลใด ๆ

โลกนักยุทธ์ก็เป็นเช่นนี้ การปล้นและเข่นฆ่าเพื่อทรัพยากรสมบัติ เป็นสิ่งที่สามารถเห็นได้เป็นปกติ ดูเหมือนว่าทุกคนต่างก็เคยทำเช่นนี้มาก่อน

“ข้าคือคนของตระกูลโป เจ้า……”

นักยุทธ์ที่เป็นผู้นำของตระกูลโปคำราม แต่เขากลับยังไม่ทันได้เอ่ยจนจบ ก็ถูกลำแสงสนธยาฟาดตัดลงมาที่ศีรษะ จากนั้นก็มีเตาใหญ่ร่วงหล่นลงมา บดขยี้ร่างของเขาจนกลายเป็นละอองเลือด

ถึงแม้จะเป็นราชาเทพขั้นเก้า หรือจะเป็นกึ่งมกุฎเทพ เมื่อถูกตัวต้องห้ามของตำหนักปีศาจเพลิงจนได้รับบาดเจ็บสาหัส พลังของพวกเขาอย่างมากก็เหลือไม่เกินสามส่วน เผชิญหน้ากับอิงบูเฉิงและเทพธิดายู่หรงที่อยู่ในสภาวะขั้นสูง พวกเขาหมดหนทางที่จะต่อสู้กลับได้เลย

นักค่ายเทพสิบกว่าคนก็มีเพียงนักค่ายเทพระดับเก้าสองคนที่สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ อาศัยผังค่ายเทพระดับเก้าที่พวกเขาฝึกกลั่นขึ้นมาเอง ก็ยากจะต้านทานการร่วมมือกันล้อมโจมตีของอิงบูเฉิงและเทพธิดายู่หรงเช่นกัน

ผ่านไปไม่นาน ทางด้านของเหวไร้สิ้นสุดก็กลับมาอยู่ในความสงบอีกครั้ง ยอดฝีมือนักค่ายเทพระดับเก้าทั้งสองรวมถึงราชาเทพช่วงปลายอีกหลายคน ต่างก็ถูกอิงบูเฉิงและเทพธิดายู่หรงร่วมมือกันสังหาร ได้รับแหวนเก็บของมามากมาย ความมั่งคั่งเหลือคณานับ

อิงบูเฉิงมองตำหนักปีศาจเพลิงด้วยสายตาที่ซับซ้อน เขารู้สึกเสียใจกับความลังเลใจก่อนหน้านี้ ไม่เช่นนั้นต้องสามารถติดตามเย่ห้าวหรานเข้าไปด้านในตำหนักปีศาจเพลิง และได้รับโอกาสและโชคดีที่อยู่ด้านในเป็นแน่

เขาไม่เหมือนคนอื่น ๆ เขารู้ความลับของตำหนักปีศาจเพลิง ในตอนนั้นอาจารย์ของเขายอมเสี่ยงบุกเข้าไปจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ก็เพราะรู้ว่าด้านในตำหนักปีศาจเพลิง มีแก่นสารของปีศาจเพลิงบรรพกาลหลังจากถูกกลั่นแปรที่ทรงพลังอยู่!

ปีศาจเพลิงตนนั้นในสมัยโบราณ สร้างความวุ่นวายไปทั่วทั้งฟ้าดิน เป็นเซียนภูตอัคคี ไม่ด้อยไปกว่าจ้าวมหาเทพ ถูกผู้ทรงพลังแห่งโลกยุทธ์ควบคุมกลั่นแปร แม้ว่าจะผ่านวันคืนไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด แก่นสารของมันที่เหลือทิ้งเอาไว้ ก็ยังคงเป็นสมบัติล้ำค่าที่ไม่สามารถประเมินราคาได้

โอกาสและโชคดีประเภทนี้ หากสามารถได้มาครอบครอง แม้จะเป็นเพียงส่วนน้อยนิดก็ตาม อิงบูเฉิงเดาว่าในชีวิตนี้ของตนก็จะมีโอกาสได้เอื้อมไปถึงแดนแห่งมกุฎเทพ

แต่น่าเสียดาย เพราะว่าความลังเลของเขารวมถึงความไม่เชื่อใจเพียงเล็กน้อยที่มีต่อเย่ห้าวหราน จึงได้สูญเสียโอกาสอันดีเช่นนี้ไป

ภายในตำหนักปีศาจเพลิง หลัวซิวจ้องมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างว่างเปล่า

เสียงคำรามลั่นดังกึกก้องสะท้อนอยู่ภายในโถงใหญ่ โซ่เส้นหนายื่นออกมาจากสี่มุมของโถงใหญ่ รวมกันอยู่ที่ใจกลางของโถงใหญ่

ที่ใจกลางของโถงใหญ่ สัตว์ประหลาดเพลิงอัคคีตัวสูงถูกมัดอย่างแน่นหนา โดยมีโซ่พันรอบร่างกายและแขนขาของมัน กำลังส่งเสียงคำรามโวยวายอยู่ตรงนั้น

คลื่นความร้อนที่น่ากลัวสอดแทรกไปทั่วโถงใหญ่ ต่อให้เป็นร่างยุทธ์ร่างเนื้อของหลัวซิว ภายใต้การแผดเผาประเภทนี้ ก็ยังมีความรู้สึกเหมือนกำลังจะละลายหายไปอย่างไรอย่างนั้น

“นี่คือปีศาจเพลิง?”

ดวงตาของหลัวซิวเต็มไปด้วยความตกใจ ร่างของปีศาจเพลิงกลั่นตัวอย่างสมบูรณ์ด้วยกฎเพลิงอัคคีบริสุทธิ์ ความแข็งแกร่งของออร่า น่ากลัวยิ่งกว่าผู้แข็งแกร่งทุกคนที่หลัวซิวเคยเจอมาไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า

“จิ๊จิ๊…… คาดไม่ถึงจริง ๆ เวลาผ่านไปหลายพันล้านปี กลับมนุษย์อีกคนหนึ่งเข้ามาที่นี่อีก” นัยน์ตาสองดวงควบแน่นไปด้วยเพลิงอัคคีสีแดงสด เหมือนพระอาทิตย์สองดวง จ้องมองหลัวซิวที่ยืนอยู่หน้าประตู