ตอนที่ 1657 ความดุดันของเฒ่าโดดเดี่ยว

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

นี่คือป้ายกระดูกขมุกขมัวป้ายหนึ่ง ไม่สะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับหนักเหมือนภูเขาเทพดึกดำบรรพ์ หลินสวินได้แต่โคจรพลังจึงยกมันไว้กลางฝ่ามือได้

ตูม!

อีกฝ่ายไม่ปล่อยโอกาสให้หลินสวินตอบสนองอย่างสิ้นเชิง ความจริงภายใต้อานุภาพกดดันที่น่ากลัวนั้นของกู่เหลียงฉวี่ เขาก็ไม่อาจขยับตัวได้แม้แต่น้อย

ความรู้สึกนั้นเหมือนข้าวฟ่อนหนึ่งตกลงไปในมหาสมุทรกว้างใหญ่ ใกล้จะแหลกเหลว!

ซุ่นจี้ ฮูหยินมู่ หลิงเซียวจื่อต่างดวงตาปูดโปนแทบถลน

ท่านเซิ่นก็สีหน้าแปรเปลี่ยนยิ่ง ใจเคว้งขึ้นมา แม้แต่เขาก็คาดไม่ถึงว่ากู่เหลียงฉวี่จะบ้าระห่ำเช่นนี้ ไม่สนใจอะไรอย่างสิ้นเชิง

ทั้งกู่เหลียงฉวี่ยังมีสิ่งที่พลิกฟ้าได้อย่างเลือดแท้ระดับจักรพรรดิด้วย!

นี่ทำให้ท่านเซิ่นไม่ทันตั้งตัวเช่นกัน

ร่างกายของหญิงสาวกระโปรงแดงแผ่ไอสังหารล้นฟ้าออกมา ผมดำทั้งศีรษะป่วนคลั่ง หลินสวินคาดเดาความคิดของนางมาตลอด แต่นางก็ไม่เคยบอกออกไปอย่างจริงจัง

หากหลินสวินตายไปแล้ว…

นางคงรู้สึกเสียดายหาใดเปรียบ

หลินสวินเหมือนโคมไฟดวงหนึ่งที่ส่องห้องมืดให้สว่างไสว หากดับมอดไปเช่นนี้ ทั่วทั้งห้องคงตกอยู่ในความมืดตามไปด้วย

และนางก็คือห้องมืดห้องนั้น

แต่ยามที่ทุกคนต่างคิดว่าหลินสวินคงยากพ้นเคราะห์ครั้งนี้ไปได้ คลื่นสะเทือนเร้นลับสายหนึ่งแผ่อบอวลออกมาจากป้ายกระดูกที่อยู่ในมือของหลินสวินอย่างเงียบเชียบ

ห้วงอากาศราวกับหยุดนิ่งในพริบตา สรรพสิ่งประหนึ่งถูกแช่แข็ง ฟ้าดินถึงกับตกอยู่ในสภาพหยุดนิ่งอย่างแปลกประหลาด

พาให้คนรู้สึกว่าเหมือนสรรพสิ่งทั่วหล้า เรื่องราวต่างๆ บนโลกล้วนหยุดตรึงในยามนี้

อานุภาพกดดันน่ากลัวถึงขีดสุดที่ดำรงอยู่ทุกแห่งหนนั้นของกู่เหลียงฉวี่ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ชะงักค้างอยู่ตรงนั้น!

จากนั้น…

เงาร่างของชายชราคนหนึ่งที่ผอมแห้ง ริ้วรอยทั่วใบหน้า มีดวงตาทรงสามเหลี่ยมโดยกำเนิด ดูสกปรกมอมแมมปรากฏตัว ณ ที่นั้นกะทันหัน

ตูม!

เมื่อเงาร่างของเขาปรากฏ สภาพหยุดชะงักที่แปลกประหลาดกลางฟ้าดินนั้นก็สลายหายไปในทันที ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ

แต่ความรู้สึกของทุกคนกลับน่าเหลือเชื่อหาใดเปรียบ ด้วยร่างผอมแห้งสกปรกร่างนั้นปรากฏตัวอย่างกะทันหันเกินไปจริงๆ!

“อ้อ กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิสินะ… หึๆ หึๆๆๆ คำนวณดูแล้ว ข้ามาที่นี่ครั้งก่อนก็ผ่านไป… นานขนาดนี้แล้วสินะ…”

ชายชราถอนใจ สองมือไพล่หลัง ทอดถอนใจอย่างต่อเนื่อง มองเหล่าผู้กล้าโดยรอบราวสิ่งไร้ค่า

สิ่งที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงที่สุดคือ อานุภาพกดดันอันน่ากลัวของกู่เหลียงฉวี่นั้น ไม่ว่าจะบุกจู่โจมอย่างไร ทันทีที่มาถึงจุดที่ชายชรายืนอยู่ก็จะพากันสลายหายไป

หิมะที่ละลายเข้ากับน้ำจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!

เงาร่างนี้แน่นอนว่าเป็นเฒ่าโดดเดี่ยวที่เก็บตัวอยู่ใน ‘เรือนโอบดารานิทราบุหลัน’ ของจักรวรรดิจื่อเย่าแห่งโลกชั้นล่าง

พริบตานั้นกู่เหลียงฉวี่นัยน์ตาหดรัด เจ้าเฒ่านี่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สิ่งมีชีวิต เป็นแค่ประทับเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น

ทั้งกลิ่นอายยังไม่อาจถูกคนสังเกตเห็น ราวกับว่าถูกมหามรรคทอดทิ้ง

แต่ประทับเจตจำนงเช่นนี้กลับเหมือนปราการหนึ่งที่ขวางอยู่ใต้ฟ้าครามนิรันดร์กาล ไม่อาจถูกสั่นคลอนซะอย่างนั้น!

“นี่…”

พวกซุ่นจี้ ฮูหยินมู่ หลิงเซียวจื่อตกตะลึงตาค้าง แทบไม่กล้าเชื่อ

ในช่วงอันตรายที่แบ่งแยกเป็นตายกลับเกิดเรื่องที่คาดไม่ถึงเช่นนี้ขึ้น พวกเขาต่างตอบสนองไม่ทันไปชั่วขณะอยู่บ้าง

‘ที่แท้เจ้าหนูนี่ยังมีไพ่ตายอยู่…’

ท่านเซิ่นแววตาวาววาบ ใจที่เคว้งลอยผ่อนคลายลง เพียงแต่ยามคิดถึงเหตุการณ์น่าตระหนกเมื่อครู่นั้น แม้แต่เขาก็ยังนึกกลัว

‘จริงดังคาด เหมือนที่จักจั่นทองพูดไว้ไม่ผิด ผู้สืบทอดของคีรีดวงกมล ต่อให้ตอนนี้อ่อนแอกระจ้อยร่อยแค่ไหน ก็ไม่มีทางประสบเคราะห์เช่นนี้เด็ดขาด…’

หญิงสาวกระโปรงแดงพึมพำในใจ ในดวงตาคู่งามที่ดูประหนึ่งภาพฝันลวงตาวาวระยับท่วมท้น

ส่วนสัตว์ประหลาดเฒ่าคนอื่นในที่นั้นก็อึ้งงันกันไปหมด

มีเหตุคาดไม่ถึงเกิดขึ้นอีกแล้ว!

ในมือเจ้าหนุ่มนั่นซ่อนไพ่ตายและความลับไว้เท่าไรกันแน่

ขณะเดียวกันในใจหลินสวินก็ลอบโล่งอก

ปีนั้นยามอยู่โลกชั้นล่าง เฒ่าโดดเดี่ยวเคยมอบป้ายคำสั่งป้ายหนึ่งให้เขา ด้วยเป็นห่วงว่ายามที่เขาเข้าไปในสมรภูมิกระหายเลือดแล้วเจอคู่ต่อสู้ที่ไม่อาจต่อกร สามารถพึ่งพาป้ายคำสั่งนี้เอาตัวรอดได้

ตามคำพูดของเฒ่าโดดเดี่ยว ยามที่อยู่ต่ำกว่าระดับจักรพรรดิ ป้ายกระดูกเกลี้ยงเกลานี้ถ้าไม่ใช่ช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานอย่าใช้โดยง่าย

เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะป้ายคำสั่งนี้ใช้ได้แค่ครั้งเดียว

แต่หลังจากเข้าไปในสมรภูมิกระหายเลือด อันตรายที่หลินสวินเจอตลอดทางล้วนถูกเขาสลายอย่างง่ายดาย กลับกลายเป็นว่าไม่มีโอกาสให้ใช้ป้ายคำสั่งนี้ และถูกเขาเก็บไว้ตลอดจนถึงวันนี้

แต่ตอนนี้ในที่สุดก็ถูกส่งลงสนามรบ!

“จุ๊ๆ มิน่าถึงเชิญข้าออกมา เพิ่งอยู่ระดับมกุฎอริยะก็ถูกระดับกึ่งจักรพรรดิกำราบแล้ว สถานการณ์นี้อันตรายเกินไปจริงๆ”

เวลานี้เฒ่าโดดเดี่ยวยืนอยู่กลางอากาศ เหลือบดวงตาสามเหลี่ยมกวาดมองทั่วลาน สุดท้ายก็หยุดอยู่ที่กู่เหลียงฉวี่แล้วยิ้มหยันกล่าวเจือแววปรามาส

“จะว่าไปกึ่งจักรพรรดิคนนี้ก็หน้าด้านเกินไป ฝึกปราณมาถึงวันนี้ แต่กลับนำกำลังคนเข้าต่อสู้กับเจ้าตัวน้อยคนหนึ่งด้วยตัวเอง ไม่รู้สึกละอายบ้างหรือ”

กู่เหลียงฉวี่สีหน้าขรึมลงทันที กล่าวเย็นชา “สหายยุทธ์ท่านนี้ เจ้ามาขวางทางแล้ว!”

โอกาสหายวับไปกับตา กว่าเขาจะอาศัยเลือดแท้ระดับจักรพรรดิฉวยโอกาสเสี้ยวหนึ่งมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ มีหรือจะยอมปล่อยไปเพียงแค่นี้

เขาทุ่มเททุกอย่าง ทั้งล่วงเกินทุกคนแล้ว เวลานี้ไม่มีหนทางให้หันกลับอีกแล้ว เวลานี้ต่อให้มีพุทธองค์มาขวางหน้า เขาก็จะบุกสังหารเต็มกำลังโดยไม่ลังเล!

ความจริงขณะที่น้ำเสียงเพิ่งดังขึ้น กู่เหลียงฉวี่ก็ลงมืออย่างเหี้ยมหาญแล้ว

ตูม!

ทวนสีเงินเล่มหนึ่งตัดผ่านอากาศ ราวกับมังกรคลั่งสีขาวเงินทะยานสู่ฟากฟ้า ที่มาพร้อมกันคือเสียงธรรมอึกทึกสนั่นหู พุ่งพิฆาตออกไป

แค่มองจากไกลๆ ก็ทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าไม่น้อยขวัญหนีดีฝ่อ!

แต่เผชิญหน้ากับการโจมตีที่น่ากลัวเช่นนี้ เฒ่าโดดเดี่ยวก็ไม่รู้ว่านำกระบวยด้ามหนึ่งที่ดูสกปรกมันย่องออกมาจากไหน กระแทกลงมาลวกๆ

การเคลื่อนไหวดูช่ำชองจนเหมือนยกกระทะผัดกับข้าว

ตูม!

เสียงระเบิดอึกทึกสนั่นหูดังก้องขึ้น สิ่งที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงอ้าปากค้างคือ ทวนสีเงินถึงกับถูกกระแทกดังครืนเกือบหลุดมือลอยออกไป

ร่างกายของกู่เหลียงฉวี่สั่นสะท้านไปทั้งตัว ซวนเซถอยหลังไปหลายก้าวทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง

นี่หรือคืออานุภาพที่พลังเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งครอบครองได้

เจ้าเฒ่าที่สกปรกโสมมคนนี้คงไม่ใช่… ตัวตนระดับจักรพรรดิแท้กระมัง

สัตว์ประหลาดเฒ่าทุกคนรวมถึงท่านเซิ่นและหญิงสาวกระโปรงแดง ยามนี้ต่างมีความรู้สึกว่าตาลาย

ใช้กระบวยด้ามหนึ่ง สยบกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งที่หลอมพลังของเลือดจักรพรรดิมาใช้หรือ

ภาพนี้ช่างแปลกประหลาดถึงที่สุดจริงๆ!

แม้แต่หลินสวินยังอดแลบลิ้นกับตัวเองไม่ได้ ตาเฒ่าประหลาดจอมฉุนเฉียวนี่ป่าเถื่อนเช่นนี้เชียวรึ

“ยังไม่บรรลุจักรพรรดิ ดิ้นรนไปสุดท้ายก็เปล่าประโยชน์ เลือดแท้ระดับจักรพรรดิที่เจ้าใช้มืดดำไม่น่าไว้ใจ เหี้ยมโหดอำมหิต หากข้ามองไม่ผิด น่าจะเป็นเลือดแท้สายหนึ่งที่จักรพรรดินรกเลือดทมิฬเหลือไว้ขณะบรรลุจักรพรรดิ หากเปลี่ยนเป็นเลือดแท้ของบุคคลระดับจักรพรรดิคนหนึ่งที่บรรลุถึงขั้น ‘ไร้รูปไร้วิชา’ บางทีอาจเข้าตาข้าได้บ้าง”

เฒ่าโดดเดี่ยวยิ้มหยัน บนหน้าผอมแห้งเต็มไปด้วยริ้วรอย ไม่อำพรางแววปรามาสแม้แต่น้อย

เพียงแค่คำพูดนี้ สำหรับเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าในที่นั้นกลับไม่ด้อยไปกว่าฟ้าถล่มดินทลาย ทุกคนต่างถูกทำให้หวั่นหวาดอยู่ตรงนั้น

แค่กลิ่นอายของเลือดจักรพรรดิสายหนึ่ง ก็แยกแยะความลับได้มากเช่นนี้แล้วหรือ

และอะไรที่เรียกว่า ‘ไร้รูปไร้วิชา’ ในระดับจักรพรรดิ

ทุกอย่างนี้แสดงให้เห็นโดยปริยาย ว่าเป็นไปได้สูงที่เฒ่าโดดเดี่ยวคือตัวตนระดับจักรพรรดิแท้คนหนึ่ง ถึงขั้นเป็นไปได้สูงว่าจะรู้จักจักรพรรดินรกเลือดทมิฬด้วย!

มิฉะนั้นเขามีหรือจะรู้มากเช่นนี้

ต้องรู้ว่านี่ยังเป็นแค่ประทับเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งของเขา หากร่างต้นของเขาอยู่ที่นี่จะน่ากลัวเพียงใด

“เจ้าเป็นแค่ประทับเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น ยังกล้ามาคุยโวโอ้อวดไม่กระดาก!”

ตูม!

กู่เหลียงฉวี่ออกโจมตีอีกครั้ง กลิ่นอายน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม แสงโลหิตสายหนึ่งพุ่งออกมาจากกลางศีรษะของเขา พลังที่เหมือนระดับจักรพรรดิกำลังอบอวล คุกคามข่มขวัญฟ้าดิน

เขาโบกสะบัดทวนวงเดือน พุ่งพิฆาตเข้าใส่

“ยึดติดจนกลายเป็นมาร ฝากความหวังของการบรรลุจักรพรรดิไว้กับสิ่งภายนอกที่เลือนรางว่างเปล่า ทำไมช่างน่าขันเช่นนี้”

เฒ่าโดดเดี่ยวยิ้มหยัน การเคลื่อนไหวไม่ได้ช้าลง ก้าวออกไปก้าวหนึ่งทันที

ตึง!

ฟ้าดินต่างสั่นสะเทือน พลังไร้รูปที่น่ากลัวสายหนึ่งม้วนพัดออกมาปกคลุมกู่เหลียงฉวี่ทั้งตัวไว้ภายใน

ขณะเดียวกันเฒ่าโดดเดี่ยวก้าวออกมาข้างหน้า ฟาดกระบวยใส่ไม่ยั้ง

ปึงๆๆ… เสียงสะท้อนลุ่มลึกดังขึ้น เหตุการณ์ที่ทำให้ผู้คนคาดไม่ถึงปรากฏขึ้นแล้ว ทุกกระบวยที่ฟาดลงไป อานุภาพที่อยู่รอบกายกู่เหลียงฉวี่จะหายไปหนึ่งส่วน เงาร่างของเขาหดเล็กลงไปเล็กน้อย

เมื่ออานุภาพของเขาถูกซัดละเอียดจนพังทลายอย่างสมบูรณ์ เงาร่างของเขาก็ถูกเล่นงานจนหดเหลือสามชุ่น เหมือนตั๊กแตนตัวหนึ่งถูกปกคลุมอยู่ในกระบวยด้ามนั้น

ไม่ว่าเขาจะตะเบ็งหรือคำรามอย่างไรก็ไม่อาจหนีออกมาจากกระบวยนั้นได้!

ทั่วทั้งลานต่างเงียบสงัดในพริบตา สัตว์ประหลาดเฒ่าทุกคนล้วนสูดหายใจเย็นเยียบ กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก คนผู้นี้… เป็นตัวตนน่ากลัวอะไรกันแน่

ยอดฝีมือคนหนึ่งที่จัดอยู่ในอันดับหนึ่งของกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ ทั้งยังยืมพลังของเลือดแท้ระดับจักรพรรดิมาใช้ เมื่ออยู่ต่อหน้าเขากลับไม่มีแม้แต่พลังจะดิ้นรน!

นี่ช่างน่าเหลือเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย

แต่เขามีความสัมพันธ์อะไรกับหลินสวิน

แม้แต่ตัวหลินสวินเองมุมปากยังกระตุกอย่างอดไม่อยู่

ตาเฒ่าโดดเดี่ยวคนนี้เป็นแค่ประทับเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น แต่กลับทรงพลังเช่นนี้ เช่นนั้นพลังปราณที่แท้จริงของเขาจะน่ากลัวมากแค่ไหน

หลินสวินนึกถึงประโยคหนึ่งที่ราชันกระหายเลือดจ้าวไท่ไหลเคยบอกอย่างไม่อาจอธิบายได้

‘เจ้าเฒ่านี่คือคนเดียวที่ละทิ้งมหามรรค เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่ฝึกตนตามลำพัง อย่ามองว่าเขาไม่มีพลังปราณเลยสักนิด แต่ในโลกชั้นล่างนี้ไม่มีใครฆ่าเขาได้!’

สรุปง่ายๆ ก็คือมรรคาของเฒ่าโดดเดี่ยวต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘การละทิ้งมหามรรค ฝึกตนตามลำพัง’ อย่างแน่นอน ก็ไม่แปลกที่จะไม่มีใครมองพลังปราณของเขาออก

ด้วยเขาละทิ้ง ‘มหามรรค’ ที่ทุกคนเสาะหาไปนานแล้ว!

ในที่นั้นเงียบสงัด มีเพียงกู่เหลียงฉวี่ซึ่งถูกขังอยู่ในกระบวยที่ยังคำราม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ไม่พอใจและหวาดกลัว

เหมือนแม้แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าตนจะแพ้อย่างหมดรูปเช่นนี้!

เฒ่าโดดเดี่ยวคิดไปคิดมาก็ถอนหายใจ “ฆ่าเจ้ามันง่ายไป ให้เจ้ารอดชีวิตก็คงยาก เอาเถอะ เห็นแก่ว่าที่นี่คือกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ ขอยึดตามกฎเกณฑ์ของกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ กำราบเจ้าไว้หนึ่งหมื่นปีก่อนแล้วกัน!”

ตูม!

เขาสะบัดกระบวยในมือ ยื่นมือออกไปบีบขยำกู่เหลียงฉวี่ให้เป็น ‘ไข่มุก’ เม็ดหนึ่ง รอบไข่มุกมีแสงมรรคเร้นลับอบอวล

จากนั้นเฒ่าโดดเดี่ยวก็เหมือนสัมผัสอะไรบางอย่าง กล่าวประหลาดใจขึ้นมาทันที “เสี้ยวเจตจำนงของจักรพรรดิมารไร้ใจยังอยู่ที่นี่หรือ เทพสังหารอำมหิตที่สองมือเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคนนี้ ช่างลุ่มหลงมัวเมาเสียจริง…”

เขาพูดพลางดีดนิ้ว กู่เหลียงฉวี่ที่ถูกกำราบกลายเป็นไข่มุกเม็ดหนึ่งพุ่งทลายอากาศออกไปทันที หายไปในกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิที่กว้างใหญ่

กู่เหลียงฉวี่ถูกกำราบอย่างสมบูรณ์โดยไม่ต้องสงสัย

นี่ทำให้คนไม่น้อยทอดถอนใจอยู่ภายในใจ อันดับหนึ่งของกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิกลับตกต่ำลงเช่นนี้ จะไม่ให้ผู้คนทอดถอนใจได้อย่างไร

……………………..