ตอนที่ 1659 แก่นอัศจรรย์แห่งความยิ่งใหญ

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ยืนอยู่บนยอดกำแพงเมืองโดยลำพัง ราวกับอยู่ชั้นเมฆกลางอากาศ ทอดมองสนามรบอันกว้างใหญ่ที่ทำสงครามไม่หยุดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน วุ่นวายอลหม่านและโกลาหล ในใจหลินสวินก็ปั่นปวนไม่หยุด

เมื่อเทียบกับสนามรบแนวหน้า สมรภูมิเก้าดินแดนด้อยกว่ามากอย่างไม่ต้องสงสัย!

“เจ้าเคยไปเยือนสมรภูมิเก้าดินแดน คงรู้ดีว่าในอีกแปดดินแดนมกุฎมรรคาไม่เคยขาด ในสนามรบแนวหน้าแห่งนี้ก็ไม่เว้น”

ท่านเซิ่นสีหน้าซับซ้อน “ในแปดดินแดนมีมกุฎกึ่งจักรพรรดิไม่น้อย พลังต่อสู้ของทุกคนล้วนเหนือกว่าพวกเรา หากต่อสู้กันซึ่งๆ หน้า แม้เป็นกู่เหลียงฉวี่ก็ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของมกุฎกึ่งจักรพรรดิคนใดได้”

ดวงตาดำขลับของหลินสวินหดรัด ครู่เดียวเขาก็เข้าใจแล้ว

สถานการณ์ของพวกสัตว์ประหลาดเฒ่าที่ประจำการอยู่ในสนามรบแนวหน้าเหล่านี้ ความจริงไม่ได้ต่างอะไรกับตอนที่พวกเขาอยู่ในสมรภูมิเก้าดินแดน!

ความแตกต่างเดียว บางทีอาจจะอยู่ที่ว่าบนสนามรบแนวหน้ามีกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิที่เรียกได้ว่าเป็น ‘ปราการฟ้าด่านแรกดินแดนรกร้างโบราณ สถานที่หยุดเท้าของจอมจักรพรรดิ’!

ตามคาด ครู่ต่อมาท่านเซิ่นพลันพูดว่า “ที่พวกข้าสามารถประจำการจนถึงตอนนี้ได้ สกัดเหล่าศัตรูตัวฉกาจไว้ภายนอก ล้วนพึ่งอานุภาพแห่งกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ ไม่เช่นนั้น…”

ไม่เช่นนั้นอะไร ท่านเซิ่นไม่ได้พูดต่อ

ทว่าหลินสวินรู้ดีว่าหากไม่มีกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ ดินแดนรกร้างโบราณคงถูกโจมตีจนสลายไปไม่รู้กี่ปีแล้ว!

“ที่บอกเรื่องพวกนี้กับเจ้า ก็เพียงอยากให้เจ้าเข้าใจว่าคนต่ำช้าอย่างกู่เหลียงฉวี่ เป็นเพียงแค่ส่วนน้อย ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ ดินแดนรกร้างโบราณของพวกเราไม่เคยขาดคนกล้าที่ห่วงใยใต้หล้า ยินดีเสียสละเพื่อปวงชน”

“ไม่เคยขาดแคลนคนอย่างเจ้าและข้า”

พูดถึงตรงนี้ ท่านเซิ่นก็ยิ้มอย่างเบิกบาน

หลินสวินเองก็ยิ้ม นึกถึงจักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียน จักรพรรดิสงครามอู๋ยาง อริยพุทธซิงเจีย… และนึกถึงชายหนุ่มจักจั่นทอง

ใช่แล้ว ดินแดนรกร้างโบราณไม่เคยขาดแคลนคนกล้าที่แท้จริง!

ตั้งแต่วันนี้ ท่านเซิ่นพาหลินสวินท่องไปในกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ ทิ้งรอยเท้าผ่านฐานทัพด่านแล้วด่านเล่า

เมื่อผ่านด่านหนึ่ง ท่านเซิ่นก็จะเล่าถึงวีรชนที่เคยประจำการอยู่ในด่านนั้น เล่าการกระทำอันยิ่งใหญ่และคุณความดีที่สามารถสร้างความตื่นตะลึงในหมื่นกาลของพวกเขา

ระหว่างทางมุมมองและประสบการณ์ของหลินสวินก็เพิ่มขึ้นไปด้วย และยิ่งตระหนักได้ถึงความหมายของกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิอย่างลึกซึ้ง

หากใช้หนังสือบันทึกประวัติศาสตร์บันทึก เมืองโบราณที่พาดอยู่ในสนามรบแนวหน้าแห่งนี้ ก็คือตำราประวัติศาสตร์ที่ควรค่าแก่การชื่นชมและสามารถสะเทือนอดีตและปัจจุบันม้วนหนึ่ง มีวีรบุรุษนับไม่ถ้วนต่อสู้นองเลือดที่นี่ มีคนแกล้วกล้ามากมายทะยานสู่สนามรบ พุ่งเข้าหาความตายอย่างฮึกเหิม!

พวกเขาเป็นตำนานแต่ละช่วง เป็นดวงดาวที่ไม่เสื่อมสลาย สลักเลือดร้อนเร่าและจิตวิญญาณแห่งวีรชนในทุกซอกทุกมุมของกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ

นับแต่อดีตใครบ้างไม่ตาย ทิ้งเพียงใจภักดิ์ไว้ในบันทึกประวัติศาสตร์!

หากไม่มาที่นี่ยากจะสัมผัสได้ ว่าเพื่อความอยู่รอดของดินแดนรกร้างโบราณ เคยมีเมธีเท่าไหร่เสียเลือดและชีวิตให้กับที่แห่งนี้

จนกระทั่งหลังจากนั้น ความปรารถนาหนึ่งผุดขึ้นภายในใจหลินสวินอย่างไม่อาจควบคุม…

สักวันจะต้องกวาดล้างภัยพิบัติทั้งหมด ทำให้นอกกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิทั้งหมดนั่นเป็นอาณาเขตของดินแดนรกร้างโบราณ!

……

วันนี้ท่านเซิ่นพาหลินสวินกลับด่านตะวัน ชี้ตรงหัวใจของหลินสวินแล้วถามอย่างจริงจัง

“สหายน้อย ตอนนี้เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง”

หลินสวินอึ้ง กำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่ท่านเซิ่นหัวเราะขึ้นมาแล้วส่ายหน้าพูด “เจ้ารู้อยู่แก่ใจก็พอแล้ว”

รู้อะไร?

ในหัวหลินสวินปรากฏสิ่งที่พบเห็นและได้ยินในหลายวันมานี้

สุดท้ายเขาเข้าใจแล้ว พยักหน้าพูด “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ”

ระหว่างทางท่านเซิ่นไม่ได้ชี้แนะการฝึกปราณให้กับเขาและไม่ได้บอกหลักเหตุผลอะไรให้ แต่กลับทำให้เขาเข้าใจว่าอะไรเรียกว่าจิตใจที่ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งพึงมีอ้อมๆ!

“ระดับมหาอริยะ หมายถึงยิ่งใหญ่แต่ไร้สิ้นสุด ฟ้าดินมีความงามมหาวิจิตรแต่เก็บเงียบ ในใจมีมหามรรคแต่ไร้ขอบเขต!”

ท่านเซิ่นพูดเสียงเบา “คำว่า ‘มหา’ นี้ ไม่เพียงแค่เกี่ยวข้องกับความสูงส่งลึกล้ำของมรรควิถี ยิ่งเป็น ‘มหา’ อย่างหนึ่งของสภาวะจิต มุมมอง และประสบการณ์”

“มีเพียงเช่นนี้จึงจะสามารถรองรับสรรพสิ่ง ทำให้หมื่นกระแสคืนสู่ดั้งเดิม จึงจะสามารถบรรลุถึงขั้นที่ ‘ยิ่งใหญ่ไร้สิ้นสุด’ ในระดับอริยะ”

ครืน!

หลินสวินเพียงรู้สึกราวกับถูกกระบองกระแทกตี ความกังวลในการทะลวงระดับที่แสวงหามาโดยตลอด ประหนึ่งเจอคำตอบรางๆ ในชั่วขณะ

“มหาลักษณ์ไร้รูป มหาเสียงไร้สำเนียง มหางามเงียบงัน… ความเร้นลับของระดับมหาอริยะ อยู่ที่คำว่า ‘ใหญ่’”

“สหายน้อยลองดู”

ท่านเซิ่นพูดพลางสะบัดแขนเสื้อ

หลินสวินรู้สึกเพียงว่าภาพตรงหน้าพลันเปลี่ยนไป ปรากฏมังกรยาวที่คดเคี้ยวเป็นลูกคลื่นทอดยาวไม่มีสิ้นสุด

“นี่คือทั้งกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิหรือ” หลินสวินตกใจ

จากนั้นภาพตรงหน้าเขาเปลี่ยนไปอีกครั้ง กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิที่คดเคี้ยวเป็นลูกคลื่นพลันเหมือนหดตัวลงหลายเท่า เปลี่ยนเป็นมีขนาดประมาณฉื่อกว่า

ทว่ามองไปอย่างละเอียด ยังคงทำให้รู้สึกตระหง่าน ไร้สิ้นสุดและไพศาล

“กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิเล็กลงหรือ ไม่ เจ้า ‘ยิ่งใหญ่’ ขึ้นต่างหาก!”

คำพูดของท่านเซิ่นดังขึ้นข้างหู ทำให้ร่างของหลินสวินแข็งทื่อ

“ในสายตาของมด พวกเราคือยักษ์ที่สูงส่งไม่อาจเอื้อม แต่ในสายตาของเทพมังกร พวกเราก็ไม่ต่างอะไรกับมด เพราะเหตุใดน่ะหรือ ก็แค่รูปแบบแห่งสรรพสิ่ง มรรคแห่งความเล็กใหญ่ก็เท่านั้น”

“ระดับอริยะมรรค สิ่งที่หยั่งรู้ก็คือแก่นอัศจรรย์แห่ง ‘เล็กใหญ่ดั่งใจ ข้าไร้ขอบเขต!’”

“พวกเราฝึกปราณ หากไม่มีรากฐานที่ ‘ยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต’ จะครอบครองพลังเทียมฟ้าได้อย่างไร และจะสามารถนำสุริยันจันทราดารามาเล่นในฝ่ามือตามอำเภอใจได้อย่างไร”

“ใจยิ่งใหญ่กว่าฟ้า พลังก็จะชนะฟ้า บดบังฟ้า มองลงมายังปวงฟ้า!”

เสียงของท่านเซิ่นแฝงความสะเทือนที่กระทบใจคนโดยตรงอย่างหนึ่ง ราวกับสัทครรลองมหามรรคกำลังสั่นไหว ทำให้การรับรู้ของหลินสวินพร่าเบลอ ภายในใจเหมือนถูกตอกจนแตก การหยั่งรู้หลากหลายพรั่งพรูออกมาเหมือนน้ำพุ

จนกระทั่งท่านเซิ่นจากไปเขาก็ยังไม่รู้สึกตัว ทั้งนอกในและกายใจล้วนประหนึ่งมีเสียงหนึ่งกำลังดังก้อง

‘ใหญ่!’

‘ใหญ่!’

‘ใหญ่!’

กล้ามเนื้อร่างกายของเขาล้วนกำลังสั่นเทิ้ม ในใจราวกับตกอยู่ในความปั่นป่วน ลืมฟ้าแห่งนี้ ดินผืนนี้ ตัวตนนี้ และไม่รู้สึกถึงกาลเวลาที่ล่วงเลย

ท่านเซิ่นยืนอยู่อีกด้าน ลมหายใจเหนื่อยหอบไปบ้าง

บนหน้าผากเขามีเหงื่อซึมออกมารางๆ สีหน้าก็ขาวซีดเล็กน้อย

ตั้งแต่ตอนที่เห็นหลินสวิน ท่านเซิ่นก็ดูออกแล้วว่าหลินสวินได้ก้าวสู่ขั้นสัมบูรณ์แห่งระดับอริยะแท้แล้ว กำลังจะเผชิญบททดสอบของการบรรลุระดับมหาอริยะ

อาจเพราะความคิดที่อยากชดเชย หรืออาจเพราะหลินสวินนำใบหิมะน้ำแข็งมา ทำให้กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิมีโอกาสเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในอดีต

หลายวันนี้ท่านเซิ่นจึงพาหลินสวินท่องไปตลอดทาง ดูเหมือนกำลังเปิดโลกทัศน์ ยกระดับประสบการณ์

แท้จริงแล้วเป้าหมายสูงสุดที่ทำทั้งหมดนี้ ก็เพื่อชี้แนะแก่นอัศจรรย์แห่ง ‘ความยิ่งใหญ่’ ให้กับหลินสวิน!

รวมทั้งที่อธิบายแก่นอัศจรรย์แห่ง ‘ใหญ่’ ให้กับหลินสวินเมื่อครู่นี้ ท่านเซิ่นยิ่งทุ่มเทพลังกายใจ ใช้มรรควิถีแห่งตนไป ถึงได้สำแดงท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ของ ‘ความยิ่งใหญ่’ อย่างหนึ่งให้กับหลินสวินได้อย่างเต็มที่

อันคำกล่าวที่ว่า ‘มรรค’ ไม่สามารถถ่ายทอดได้ ไม่ใช่เพราะเห็นแก่ตัว แต่เพราะ ‘มรรค’ นี้ไร้รูป ระดับไม่เพียงพอก็ไม่สามารถหยั่งถึงได้

แม้บันทึกเป็นตัวอักษร คำพูด… หากไม่มีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ของ ‘มรรค’ นี้ ก็ถูกกำหนดให้ไม่มีทางหยั่งรู้ได้

ทว่าจากจุดนี้ก็ทำให้ท่านเซิ่นต้องเสียสละไม่น้อย นี่เท่ากับเป็นการฝืนอธิบายแก่นอัศจรรย์อันเป็นตัวแทน ‘มรรค’ สิ่งที่เสียไปไม่เพียงแค่เลือดเนื้อ ยังมีมรรควิถีแห่งตน!

หากคนอื่นๆ รู้เข้า จะต้องคิดว่าท่านเซิ่นบ้าไปแล้วแน่ๆ

เพราะการฝืนอธิบายแก่นอัศจรรย์แห่งมรรค เท่ากับกำลังขัดต่อกฎต้องห้าม มรรควิถีที่สูญเสียไปอาจถึงขั้นที่ทั้งชีวิตก็ไม่สามารถชดเชยกลับมาได้

แต่ทั้งที่เป็นอย่างนี้ ท่านเซิ่นกลับไม่ได้บอกหลินสวินด้วยซ้ำ แค่ทำไปอย่างเป็นธรรมชาติ

โดยเฉพาะตอนที่เห็นหลินสวินตกอยู่ในสภาวะ ‘หยั่งรู้โดยพลัน’ เขาถึงขั้นดีใจและปลื้มปิติยิ่งกว่าหลินสวินเสียอีก

นี่ก็คือความองอาจและความใจกว้างของท่านเซิ่นแห่งหอฤทธิ์เทพ!

และสามารถดูออกว่า เขาห่วงใยและยอมรับในตัวคนรุ่นหลังอย่างหลินสวินเพียงใด

สามวันให้หลัง

หลินสวินราวตื่นจากฝัน ตื่นจากสภาวะเลื่อนลอย ลืมตาขึ้นมองโลกทั้งใบอีกครั้ง กลับเหมือนแตกต่างไปจากเดิมโดยสมบูรณ์แล้ว

มีความรู้สึกที่พูดได้ไม่ชัดเจน อธิบายไม่ถูก แต่กลับเป็นความเที่ยงแท้อย่างหนึ่งเพิ่มเข้ามา

“ภูผาธารายังคงเดิม จักรวาลไม่แปรเปลี่ยน แต่ใจข้ากลับไม่เหมือนเดิม…”

หลินสวินพึมพำออกมา

อีกด้านหนึ่งท่านเซิ่นพยักหน้าอย่างยินดี “ไม่ผิด เจ้าในตอนนี้ขาดเพียงจุดเปลี่ยนบรรลุมหาอริยะเท่านั้น”

เวลาสั้นๆ เพียงสามวัน หลินสวินก็สามารถหยั่งถึงแก่นอัศจรรย์ของ ‘ใหญ่’ แล้ว ทำให้เขายังรู้สึกตะลึงอย่างที่สุด ในใจยิ่งปลื้มปิติ

ดินแดนรกร้างโบราณมีบุคคลที่โดดเด่นเพียงนี้ ต่อไปไม่ต้องกลัวว่าจะไม่สามารถผงาดเหนือแปดดินแดน คืนสู่ความองอาจเหมือนเช่นเมื่อแรกสุดในยุคดึกดำบรรพ์แล้ว

“ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่ง”

หลินสวินสูดหายใจเข้าลึก โค้งการคารวะ

ตั้งแต่ฝึกปราณจนถึงตอนนี้ ระหว่างทางเสาะแสวงมรรค เขาค้นหาและไตร่ตรองด้วยตัวเองมาโดยตลอด น้อยมากที่จะมีโอกาสได้ฟังคำชี้แนะและหยั่งถึงมหามรรคอย่างวันนี้

เช่นเดียวกัน เขายิ่งรู้ดีว่าที่เขาสามารถ ‘หยั่งรู้โดยพลัน’ ในครั้งนี้ ท่านเซิ่นจะต้องจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อยกับเรื่องนี้แน่

นี่จะไม่ให้หลินสวินไม่หวั่นไหว ไม่ตื้นตันใจได้อย่างไร

……

หลินสวินตัดสินใจจะจากไปแล้ว ท่านเซิ่นเองก็ตอบตกลงอย่างไม่อ้อมค้อม

เพียงแต่ก่อนจากไป จู่ๆ ดอกกระบี่พันปีกกลับเป็นฝ่ายส่งเสียงขึ้นมาเอง กระโปรงแดงของนางราวกับเพลิง งดงามโดดเด่น บุคลิกกลับเหมือนหิมะน้ำแข็ง

“สหายน้อย จากกันคราวนี้ก็ไม่รู้จะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ เจ้าวางใจได้ ตั้งแต่ต้นจนจบข้าไม่มีเจตนาร้ายใดๆ มีเพียงแค่เรื่องเล็กๆ ที่อยากขอร้อง”

พูดถึงตรงนี้ บุคคลที่น่าสะพรึงจนสามารถกำราบกู่เหลียงฉวี่อย่างหญิงกระโปรงแดงกลับเผยความคาดหวังอย่างยากจะเห็น ทั้งยังมีสีหน้าตื่นเต้น

ราวกับหญิงสาวที่กำลังกระวนกระวายใจ

“ขอร้องหรือ”

หลินสวินประหลาดใจ

“ใช่”

หญิงกระโปรงแดงสูดหายใจลึกคราหนึ่ง เอ่ยพูดเสียงแผ่ว “ก่อนเสาะแสวงมรรค ข้าเป็นเพียงภูตต้นหญ้าที่ไม่มีใครถามไถ่ต้นหนึ่ง สติไม่ตื่นรู้ มีครั้งหนึ่งประสบอันตราย กำลังจะสิ้นชีพในปากอสูรมารตัวหนึ่ง ผู้อาวุโสคนหนึ่งช่วยข้าไว้ และเปิดสติรับรู้ให้ข้า ถ่ายทอดวิชาอัศจรรย์ให้ข้า ชี้แนะการฝึกปราณของข้า… จึงทำให้ข้ามีพลังพอให้จะแสวงมรรคา”

“แต่หลังจากนั้นไม่ว่าข้าจะตามหาอย่างไรก็ไม่เจอผู้อาวุโสคนนั้นอีก จนตอนนี้ก็ยังไม่สามารถตอบแทนบุญคุณผู้อาวุโสคนนั้นได้ กลายเป็นเรื่องเสียดายที่ยิ่งใหญ่ในใจ”

หลินสวินพูด “เจ้าอยากให้ข้าช่วยเจ้าตามหาผู้มีพระคุณคนนั้นให้เจอหรือ”

หญิงกระโปรงแดงพยักหน้า สีหน้าเศร้าโศก กล่าวว่า “ผู้อาวุโสคนนั้นพลังยิ่งใหญ่ แม้ข้าฝึกปราณถึงตอนนี้จนมีรากฐานพลังบรรลุจักรพรรดิแล้ว แต่พอนึกถึงผู้อาวุโสคนนี้ ก็ยังรู้สึกว่าชาตินี้ทั้งชาติยังยากจะตามฝีเท้าของเขาทัน แต่สหายน้อย เจ้าทำได้แน่!”

ในใจหลินสวินสั่นไหว ดอกกระบี่พันปีกมีรากฐานพลังที่จะบรรลุจักรพรรดิแล้ว แต่กลับบอกว่าไม่สามารถไล่ทันฝีเท้าของ ‘ผู้อาวุโส’ คนนั้นได้หรือ

เช่นนั้น ‘ผู้อาวุโส’ คนนั้นจะมีพลังปราณที่สูงส่งแค่ไหนกัน

——