WSSTH ตอนที่ 3,284 : จักรพรรดิอมตะขุนเขาทองแดง
วิหารเฟิงฮ่าวในแต่ละระนาบเทวโลก จะตั้งอยู่ในดินแดนศูนย์กลางของระนาบเทวโลกนั้นๆ
ดุจเดียวกับวิหารเฟิงฮ่าวของอู๋หยาเทียน ซึ่งตั้งอยู่ในแดนอู๋หยาที่เป็นศูนย์กลางการปกครองของระนาบอู๋หยาเทียน และห่างจากวังเทียนฉือมากพอสมควร
เนื่องเพราะวิหารเฟิงฮ่าวนั้น ตั้งอยู่สุดขอบทิศตะวันตกของแดนอู๋หยา ซึ่งเป็นสถานที่ๆค่อนข้างรกร้างว่างเปล่ามาก
ด้วยความที่พื้นที่แถบนี้มีพลังวิญญาณฟ้าดินเบาบาง จึงมีไม่กี่คนที่คิดจะเฉียดเข้าใกล้ หากไม่มีธุระอะไร
“วิหารเฟิงฮ่าวตั้งอยู่ด้านหน้าแล้ว”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังสงสัย เพราะพบว่าความเร็วในการเหินบินของกระบี่มีสภาพเล่มเขื่องใต้เท้า มันค่อยๆชะลอตัวลง เสียงฉือหล่างก็ดังขึ้นอย่างประจวบเหมาะ
และฉือหล่างพูดไม่ทันได้จบคำดี เบื้องหน้าไกลตาก็ปรากฏอาคารปลูกสร้างใหญ่โตมโหราฬ ดั่งอสูรร้ายตัวเขื่องหมอบฟุบ ให้ความรู้สึกน่าเกรงขามทรงอำนาจแก่ผู้ชมมองนัก!
ต้วนหลิงเทียนลองถามตัวเองดู ก็ตอบได้ทันทีว่าตั้งแต่ตอนที่อยู่ในระนาบโลกียะจวบจนวันนี้ นับว่านี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่เขาเห็นอาคารปลูกสร้างใหญ่โตมหึมาขนาดนี้ และไม่เพียงแต่จะกินพื้นที่มหาศาล มันยังสูงจนน่ากลัว!
แม้จะยังอยู่ไกลห่าง แต่วิหารเบื้องหน้าก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนตกใจแล้วจริงๆ
กระทั่งแวบแรกที่เขาแลเห็นตัววิหาร จิตใจทั้งจิตวิญญาณเขาคล้ายสั่นสะท้านไปเบาๆ ราวกับได้ผ่านการชำระจากพลังอันศักดิ์สิทธิ์!
“ข่าวลือไม่ใช่เรื่องเหลวไหลจริงๆ…วิหารเฟิงฮ่าวช่างมีแรงกดดันวิญญาณอันน่ากลัวนัก!”
หูเหมยที่มองดูวิหารเฟิงฮ่าไกลๆ กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงชื่นชม “เมื่อครู่ตอนมองมันครั้งแรก ข้ารู้สึกเสมือนจิตใจและจิตวิญญาณของข้าได้รับการชำระขัดเกลา ไม่ธรรมดาจริงๆ”
“ข้าด้วย”
เวิ่นหว่านเอ๋อเห็นด้วยอีกคน
ได้ยินคำพูดของหูเหมยกับเวิ่นหว่านเอ๋อ ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่าเมื่อครู่ไม่ใช่เขาคิดไปเองคนเดียว แต่คนอื่นๆก็เป็นเหมือนกัน
“นั่นเป็นเรื่องธรรมดา”
ตอนนี้เองฉือหล่างก็พูดขึ้นมาว่า “วิหารเฟิงฮ่าวดำรงอยู่มาช้านาน จนยากจะมีผู้ใดสามารถย้อนรอยประวัติศาสตร์ของมันได้ด้วยซ้ำ เพราะมันอยู่มาเนิ่นนานเกินไป”
“ทุกคนรู้แค่ว่า ตั้งแต่มีระนาบเทวโลก วิหารเฟิงฮ่าวก็ดำรงอยู่แต่แรก”
“และผู้คนเชื่อกันว่า…วิหารเฟิงฮ่าวนั้น ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ยุคแรกด้วยฝีมือของตัวตนอันทรงพลังเหนือจินตนาการ และสืบทอดมรดกต่อๆกันมาถึงวันนี้…ทำให้แม้แต่ขุมกำลังของจักรพรรดิสวรรค์ก็ยังต้องเคารพ”
ฉือหล่างกล่าว
ต้วนหลิงเทียนรู้ในสิ่งที่ฉือหล่างพูดอยู่แล้ว จึงไม่ได้แปลกใจอะไร
จากนั้นพอหันมองไปรอบๆ ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นร่างผู้คนมากมายที่เหินมาจากทิศทางต่างๆ ดูเหมือนจุดหมายปลายทางทุกคนก็เหมือนกับกลุ่มของพวกเขา…วิหารเฟิงฮ่าว!
“ฉือหล่าง!!”
ทันใดนั้นเองอยู่ๆก็มีเสียงหนึ่งดังสนั่นลั่นฟ้ามาแต่ไกล
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นเงาร่างคนเหินทะยานมาแต่ไกล และพริบตาเดียวเงาร่างดังกล่าวก็บรรลุถึงตรงหน้าพวกเขาแล้ว
เงาร่างที่ว่า ยังไม่ได้มีแค่คนเดียว แต่มีกันถึง 2!
เป็ชายชราที่มีรูปร่างงบึกบึนในขุดคลุมสีฟ้าหลวมๆแลดูเถื่อนๆ กับชายหนุ่มร่างผอมในชุดแพรไหมปักลายอย่างดี มีเสื้อคลุมขนสัตว์คลุมทับ ในมือถือไว้ด้วยพัดขนนก นับว่าเป็น 2 คนที่แลดูต่างกันสุดขั้ว
ที่ตะโกนลั่นฟ้าเมื่อครู่ ฟังจากเสียงก็คงเป็นชายชราร่างกายล่ำสัน กระฉับกระเฉงไม่คล้ายคนแก่ผู้นี้
“เจิ้งอวี้อี้!”
เห็นชายชรากล้ามใหญ่มาดเถื่อน ฉือหล่างก็ยักคิ้วข้างหนึ่งกล่าวทักออกไปทันที จากนั้นก็หันไปมองชายหนุ่มชุดหรูข้างๆชายชรา “หรือว่านี่ก็คือศิษย์ที่เจ้าพึ่งรับมาเมื่อร้อยกว่าปีก่อน?”
“ฮ่าๆๆ! ใช่แล้ว!”
ชายชราหัวเราะอย่างสนุกสนาน ค่อยพยักหน้าขานรับ “และวันนี้ข้าก็พาศิษย์ไม่เอาไหนนี่ มาลองทดสอบรับตำแหน่งจอมราชันอมตะสมญานามดู”
“ถึงศิษย์ไม่เอาไหนข้าคนนี้จะยังมีอายุไม่ถึง 400 ปี แต่ข้าว่าแค่จะผ่านการทดสอบและกลายเป็นจอมราชันอมตะสมญานามก็ไม่น่าจะยากเย็นอะไร”
ชายชรากล่าวถึงจุดนี้ ใบหน้าก็ไม่ขาดความภาคภูมิใจแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าที่พูดมาทั้งงหมด คิดจะอวดฉือหล่างล้วนๆ
“ว่าแต่ฉือหล่าง เท่าที่ข้ารู้มาศิษย์คนเล็กของเจ้าที่อายุปาเข้าไป 600 กว่าปีคนนั้น…ก็ยังไม่แน่ว่าจะผ่านบททดสอบจอมราชันอมตะได้มิใช่รึ?”
ขณะกล่าวถึงท้ายประโยค ชายชราร่างล่ำก็มองจ้องฉือหล่างพางถามอย่างมีเลศนัย
“หากเจ้ากำลังพูดถึงศิษย์คนที่ 6 หรือเจ้าอ้วนหงเฟยนั่น? ก็ใช่ที่มันอายุ 600 กว่าปี และไม่อาจรับประกันได้ว่าจะผ่านการทดสอบจอมราชันอมตะสมญานาม…”
ฉือหล่างพยักหน้า
“หืม แล้วมันอยู่ไหนเล่า ไฉนข้าไม่เห็น?”
สายตาชายชรากวาดมองไปยังทุกคนไม่เว้นต้วนหลิงเทียนรอบหนึ่ง พอไม่เห็นหงเฟยก็เลยละสายตากลับมามองถามฉือหล่าง เห็นชัดว่าชายชราคนนี้รู้จักหงเฟย
“เห็นก็แปลกแล้ว เพราะเจ้าอ้วนนั่นไม่ได้มาด้วย”
ฉือหล่างยักไหล่
“อ้อ ว่าแต่…คราวนี้ศิษย์เจ้าคนใดที่คิดเข้าไปทดสอบรับสมญานามเล่า?”
ชายชราเอ่ยถามอีกรอบ
“วันนี้ที่คิดเข้าไปเดินเล่นก็มีเจ้า 3 กับเจ้า 4…แล้วก็เจ้า 7 ที่พึ่งเข้าร่วมมาหยกๆ รวมถึงคู่เต๋าของเจ้า 7 ด้วย”
ฉือหล่างกล่าวตอบไปด้วยน้ำเสียงสบายๆ เห็นการทดสอบรับสมญานามเป็นการเดินเล่นของเหล่าศิษย์จริงๆ
ตอนที่ฉือหล่างกล่าววแนะนำฮ่วนเอ๋อว่าเป็นคู่เต๋าของต้วนหลิงเทียน ใบหน้าเฉยเมยของฮ่วนเอ่อก็เริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อทันที
แต่เพราะนางสวมผ้าปิดหน้าอยู่จึงไม่มีใครทันได้เห็น
“เจ้า 7?”
ชายชราร่างล่ำขมวดคิ้ว “นี่เจ้ารับศิษย์ใหม่อีกแล้วเรอะ!?”
ชายชรากล่าวถึงจุดนี้ก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อด้วยความสนใจ ค่อยหันหน้ากลับมาถามฉือหล่างอีกรอบ “ว่าแต่แล้วใครเป็นศิษย์คนที่ 7 ของเจ้ากันล่ะ?”
“เขา”
ฉือหล่างมองไปทางต้วนหลิงเทียน ค่อยกล่าวแนะนำชายชราออกมาด้วยรอยยิ้ม “เจ้า 7 นี่คือจักรพรรดิอมตะขุนเขาทองแดง เจิ้งอวี้อี้…มันเป็นสหายเก่าของข้าเอง”
ขณะกล่าวถึงคำว่า ‘สหายเก่า’ มุมปากฉือหล่างก็ยกยิ้มหน่ายๆอยู่บ้าง
“อ้อ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“เจิ้งอวี้อี้นี่คือเจ้า 7 ศิษย์คนเล็กของข้า ต้วนหลิงเทียน”
ฉือหล่างกล่าวแนะนำต้วนหลิงเทียนให้ชายชรารู้จักเช่นกัน
“ศิษย์คนเล็กเจ้า ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้วรึ?”
ชายชราหยีตาเอ่ยถามออกมา
มันรู้ว่าลำดับศิษย์ของฉือหล่างอิงตามลำดับการเข้าร่วม ไม่เกี่ยวกับพลังฝีมือและอายุ เช่นนั้นต่อให้ชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าจะเป็นศิษย์คนเล็ก แต่สมควรแก่แล้ว
อย่างน้อยๆก็ต้องอายุมากกว่าศิษย์มันแน่นอน
“เจ้า 7 ของข้ายังมีอายุแค่ 200 กว่าปีเท่านั้นเอง”
ฉือหล่างกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มลี้ลับ
“หืม? 200 กว่าปี?”
วาจาดังกล่าววของฉือหล่างยย่อมนำพาความตกใจมาสู่ชายยชราไม่น้อย กระทั่งชายหนุ่มร่างผมในชุดหรูที่เป็นศิษย์ชายชราก็ยังหันไปมองงต้วนหลิงเทียนทันที
“ฉือหล่าง ไม่คิดเลยว่าแค่ไม่เจอกันร้อยกว่าปี แต่เจ้าจะคุยโวโอ้อวดเป็นแล้ว!”
ชายชราส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้มระอาใจ
“คุยโวโอ้อวด?”
ฉือหล่างเหลือบมองชายชราเบาๆ “อ้อ…เจ้าไม่เชื่อว่าเจ้า 7 ของข้ามีอายุแค่ 200 กว่าปีสินะ?”
“เหอะๆ อายุแค่ 200 กว่าปีแต่คิดจะผ่านการทดสอบรับสมญานาม ต่อให้เป็นแค่จอมราชันอมตะสมญานาม…ทว่าตัวตนระดับนั้นให้มองไปทั่วระนาบเทวโลกทั้งมวล ก็คงนับได้ด้วยมือข้างเดียวกระมัง?”
“อัจฉริยะระดับนั้น จะมาต้องตาพึงใจอะไรเจ้า? จนกลายเป็นศิษย์ของเจ้าได้เล่าฉือหล่าง?”
ชายชรากล่าวถึงจุดนี้น มุมปากก็ไม่ขาดรอยยิ้มประชดประชันแม้แต่น้อย
“อาจารย์ลุงเจิ้ง”
ทว่าคราวนี้ฉือหล่างยังไม่ทันได้พูดอะไร หูเหม่ยก็พูดออกมาก่อน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน “ศิษย์น้องเล็กของข้ายังพึ่งมีอายุ 200 กว่าปีจริงๆ หากท่านไม่เชื่อ แค่ลองส่งข้อความไปถามสหายคนอื่นของท่านในวังเทียนฉือดูก็รู้ได้มิยากนี่นา?”
“อ้อ…ท่านอย่าลืมเล่า ศิษย์น้องเล็กข้าเรียกว่า ต้วนหลิงเทียน”
เห็นได้ชัดว่าหูเหมยเองก็รู้จักชายชราเช่นกัน
“ยาโถวหูเหมย…มิใช่ว่าเจ้ารู้ดีแก่ใจว่าในวังเทียนฉือข้ามีอาจารย์เจ้าเป็นสหายแค่คนเดียว ถึงได้จงใจกล่าวออกมาเช่นนี้กระมัง?”
เจิ้งอวี้อี้เหลือบตามองหูเหมยด้วยท่าทางเบื่อหน่าย
“เฮ่ เจ้าหนุ่ม เจ้ากล้าวางมือลงบนจานค่ายกลแผ่นนี้หรือไม่?”
ขณะกล่าวเจิ้งอวี้อี้ก็ซัดจานค่ายกลให้ไปหยุดลอยเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน และมองจ้องต้วนหลิงเทียนไม่วางตา
ต้วนหลิงเทียนเหลือบไปมองก็พบว่า บริเวณใจกลางค่ายกลนั้นมีแผ่นวงกลมหนึ่งที่แบ่งออกเป็น 10 ส่วนเท่าๆกันราวแผนภูมิวงกลม
“ศิษย์น้องเล็ก นั่นคือจานค่ายกลทดสอบอายุ…เจ้าเห็นหรือไม่ว่ามันถูกแบ่งออกเป็น 10 ส่วน แต่ละส่วนนั้นแทนอายุ 100 ปี ยามเจ้าวางมือลงไป มันก็จะเริ่มเรืองแสงสว่างขึ้นมาตามอายุของเจ้า”
เสียงผ่านพลังของหูเหมยดังขึ้นในหูอยย่างประจวบเหมาะ ทำให้ต้วนหิงเทียนหายสงสัยว่าจานค่ายกลเบื้องหน้าคืออะไร “แน่นอนว่ามันวัดได้คร่าวๆเท่านั้น ไม่อาจระบุตัวเลขที่แน่ชัดออกมาได้”
พอเสียผ่านพลังหูเหมยดังจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็วางมืองบนจานค่ายกลเบื้องหน้าทันที
และเมื่อฝ่ามือของต้วนหลิงเทียนสัมผัสตัวจานค่ายกล เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังอาคมขุมหนึ่งแผ่ซ่านออกจากตัวจานค่ายกลมาปกคลุมฝ่ามือของเขาเอาไว้
‘หืม?’
ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนยังสัมผัสได้ถึงกระแสพลังเย็นๆสายหนึ่งแทรกซึมผ่านฝ่ามือก่อนจะโคจรไปทั่วร่างเขาทันที
จนเมื่อกระแสพลังเย็นๆนั่นโคจรไปทั่วร่างเขาครบรอบแล้ว มันก็พุ่งย้อนกลับเข้าไปในจานค่ายกล จากนั้นเขาก็พบว่าแผ่นวงกลมที่แบ่งออกเป็น 10 ส่วนนั้น มี 2 ที่ส่องแสงจ้าออกมา
ส่วนที่ 3 นั้นเรืองแสงสลัวๆ
บ่งบอกให้รู้ว่ามีอายุ 200 กว่าปี แต่ยังไม่ถึง 300 ปี
‘หืม? เจ้านี่ยังมีอายุไม่ถึง 300 ปีจริงๆเรอะ?’
เห็นฉากดังกล่าวเจิ้งอวี้อี้ก็ย่นคิ้ว และเก็บจานค่ายกลกลับไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพรามันไม่คิดเลยว่าศิษย์คนเล็กของฉือหล่างจะมีอายุไม่ถึง 300 ปีจริงๆ!
“ฉือหล่าง ฟังจากที่เจ้ากล่าวก่อนหน้า…เจ้าจะบอกว่าศิษย์คนเล็กของเจ้าก็มาเข้าร่วมการทดสอบขอจอมราชันอมตะสมญานามด้วยงั้นเหรอ? ด้วยวัยของมันเจ้าคิดว่ามันสามารถผ่านการทดสอบเป็นจอมราชันอมตะสมญานามได้จริงๆ?”
เจิ้งอวี้อี้เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ฮาย…ศิษย์ของข้าฉือหล่างผู้นี้ กับอีแค่ทดสอบจอมราชันอมตะ ไหนเลยจักล้มเหลวได้? เหมือนเข้าไปเดินเล่นนั่นล่ะ…”
ฉือหล่างคลี่ยิ้มบางๆ
และพอเสียงของฉือหล่างดังจบคำ ชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังเจิ้งอวี้อี้ก็ลอยออกมาด้านหน้า มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาราวมีกระแสไฟฟ้า กล่าวคำออกมาเสียงขรึม “ข้า หนานหลิวเฟิง ขอท้าเจ้า!”
เห็นฉากดังกล่าว เจิ้งอวี้อี้เองก็อดตกตะลึงไปไม่ได้
เห็นได้ชัดว่าที่ศิษย์ของมันเอ่ยท้าต้วนหลิงเทียน ไม่ใช่เพราะได้รับคำสั่งจากมัน แต่ทำไปโดยพลการ
อย่างไรก็ตามแต่ มันไม่คิดหยุดยั้งเรื่องนี้ เพียงหันไปมองถามฉือหล่างด้วยรอยยิ้มบางๆ “ฉือหล่าง ดูเจ้าเองก็มั่นใจในศิษย์คนเล็กของเจ้าไม่เบา ในเมื่อศิษย์ไม่เอาไหนข้าคิดประลองชี้แนะกับเจ้าหนุ่มนี่ เจ้าก็คงไม่ขัดข้องอันใดกระมัง?”
“เจิ้งอวี้อี้ ข้าแนะนำให้เจ้าห้ามศิษย์ของเจ้าเอาไว้จะดีกว่า”
ฉือหล่างขมวดคิ้วเบาๆ ถึงแม้มันจะไม่รู้ว่าศิษย์ของเจิ้งอวี้อี้แข็งแกร่งงแค่ไหน แต่มันมั่นใจว่าไม่มีทางเหนือไปกว่าต้วนหลิงเทียนแน่นอน
“อาจารย์ลุงเจิ้ง เรื่องนี้ข้าเองก็คิดว่ามันไม่จำเป็นเหมือนกัน”
ตอนนี้เองกระทั่งหูเหมยก็หันไปกล่าวกับชายชราพลางส่ายหน้าไปมา
“ทำไมเล่า ไม่กล้ารึ?”
เจิ้งอวี้อี้ คลี่ยิ้มสดใสออกมา “หากไม่กล้าก็แค่พูดมาตรงๆ…พวกเราก็ไม่คิดรบเร้าเซ้าซี้อะไรพวกเจ้าหรอกหน่า”
“ไม่ใช่ไม่กล้า แต่ข้ากลัวว่าท่านจะขายหน้าเปล่าๆ…”
เห็นความไม่รู้ของชายชรา หูเหมยก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาด้วยความระอา
“ขายหน้า?”
เสียงของหูเหมยดังจบคำไม่ทันไร สีหน้าเจิ้งอวี้อี้เปลี่ยนไปทันที กระทั่งสีหน้าของหนานหลิวเฟิงศิษย์ของเจิ้งอวี้อี้ก็เริ่มมืดดำขึ้นมาทันใด!
“เจ้าหนู เชิญป้อนกระบ้วนท่า!”
หนานหลิวเฟิงก้าวออกมาข้างหน้า จากนั้นชุดคลุมหรูของมันก็เริ่มโบกกระพือ พลังเซียนอมตะต้นกำเนิยังปะทุออกมารุนแรง สงเสียงดังคำราม จากนั้นก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นอัสนีแลบลั่นแปลบปลาบ ปกคลุมไปทั่วร่างกายของมัน!
ตอนนี้เองเส้นผมของมันก็เริ่มสยายดั่งอสรพิษเต้นระบำ
สายตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียน กลายเป็นเย็นชาปานจะแช่แข็งผู้คน!
——