“เจ้าเป็นใครกันแน่? เหตุใดจึงสามารถสำแดงพลังอมตะของพวกเราวังมหาวาลได้?” เสิ่นปิงหยูเอ่ยถามเสียงเย็น

สำหรับสำนักระดับมหาจักรพรรดิแล้ว พลังอมตะวรยุทธ์ระดับจักรพรรดิเทพย่อมเป็นใจกลางสำคัญที่สุดของการสืบทอด ไม่อนุญาตให้มีการถ่ายทอดออกไปภายนอกแม้แต่น้อย ไม่เช่นนั้นตำแหน่งของสำนักระดับมหาจักรพรรดิ จะถูกคุกคามอย่างใหญ่หลวง

“ข้าก็อยากจะถามเจ้าอยู่เช่นกัน พลังอมตะที่ข้าฝึกตน เหตุใดเจ้าจึงใช้เป็น?” หลัวซิวมุ่ยปากพูด แกล้งทำให้เกิดความสับสน

จากคำพูดและน้ำเสียงของเสิ่นปิงหยู หลัวซิวรวบรวมข้อมูลได้มากจนถึงที่สุด วังมหาวาลนั้นน่าจะเป็นสำนักที่จักรพรรดิเทพมหาวาลทิ้งเอาไว้

เสิ่นปิงหยูขมวดคิ้วหนักขึ้น นางไม่รู้ว่าคำพูดนี้ที่หลัวซิวพูดออกมามีความจริงแท้สักเพียงใด ในใต้หล้านอกจากวังมหาวาลแล้ว ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีผู้อื่นฝึกตนเคล็ดฟ้าดินมหาวาลด้วย

หรือว่าอาจารย์ปู่มหาวาลจะทิ้งการสืบทอดไว้ที่โลกามนุษย์ด้วย ภายใต้โอกาสอันประจวบเหมาะจึงถูกคนผู้นี้รับเอาไป? ดังนั้นเขาจึงสามารถทะลุผ่านวิชาห้ามค่ายกลด้านนอก เข้ามายังตำหนักปีศาจเพลิงได้?

จากการประทะกันเมื่อคู่นี้ เสิ่นปิงหยูสามารถสัมผัสได้ว่า คนตรงหน้านางแข็งแกร่งมาก ไม่ด้อยไปกว่าตัวนางเลย สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือ อีกฝ่ายยังฝึกตนกฎปริภูมิอีกด้วย ที่ต้องรู้คือความยากในการฝึกตนของกฎชั้นยอดนั้น สามารถทำให้อัจฉริยะไร้เทียมทานของมหาโลกาพันสามได้เพียงภาวนาแต่ไม่อาจเป็นจริงได้

มีอัจฉริยะไร้เทียมทานจำนวนไม่น้อยที่หยิ่งผยองคิดว่าตนเก่งกาจเหลือเกิน จึงเลือกเดินในเส้นทางของการฝึกตนกฎชั้นยอด แต่สุดท้ายคนที่สามารถสำเร็จได้ได้นั้น กลับมีเพียงจำนวนน้อยนิดเท่านั้น อัจฉริยะไร้เทียมทานจำนวนมากเดิมแล้วสามารถฝึกตนถึงแดนจ้าวมหาเทพ เหตุเพราะตนหยิ่งผยองเกินไป จึงต้องหยุดอยู่ที่แดนมกุฎเทพ หรือกระทั่งแดนราชาเทพ

อาศัยกฎชั้นยอดแน่นอนว่าสามารถเรียกได้ว่าเป็นวีรบุรุษแห่งแดน แต่คนคนหนึ่งเมื่ออยู่ในแดนมกุฎเทพต่อให้เก่งกาจมากเพียงใด สุดท้ายก็ยังคงสู้จ้าวมหาเทพผู้ที่ฝึกตนกฎทั่วไปไม่ได้อยู่ดี

แต่นักยุทธ์แห่งโลกามนุษย์คนหนึ่ง สามารถฝึกตนกฎปริภูมิได้ถึงแดนขั้นห้า พรสวรรค์เช่นนี้ เรียกได้ว่าหาได้ยากยิ่ง

แน่นอนว่า เสิ่นปิงหยูก็สงสัยอยู่ว่าหรือบางทีคนผู้นี้อาจจะไม่ใช่นักยุทธ์แห่งโลกามนุษย์ แต่เป็นเหมือนกับนาง ปิดบังตัวตนจากโลกาชั้นฟ้าเพื่อลงมาฝึกตน

“แดนกฎของเขาถึงแม้จะไม่สูง อาจเป็นเพราะฝึกตนกฎชั้นยอด แต่พลังรบของเขากลับแข็งแกร่งมาก”

ตัดสินการเปรียบเทียบพลังรบระหว่างทั้งสองฝ่ายในใจ เสิ่นปิงหยูไม่ได้เลือกที่จะลงมือต่อสู้ต่อไป

นางชำเลืองมองไปยังปีศาจเพลิงบรรพกาลที่กำลังร้องคำราม จากนั้นก็จ้องมายังหลัวซิว “แก่นสารปีศาจเพลิงข้าจะเอาครึ่งหนึ่ง!”

“มีสิทธิ์อะไร?” หลัวซิวเลิกคิ้วถาม

“ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าไปได้รับการสืบทอดของเคล็ดฟ้าดินมหาวาลมาจากที่ใด แต่ว่ามรดกของจักรพรรดิเทพมหาวาล พวกเราวังมหาวาลถึงจะเป็นของจริง พลังของเจ้าถึงแม้จะแข็งแกร่งมาก แต่หากข้าจำต้องสังหารเจ้า เพียงแลกเปลี่ยนบางอย่างก็สามารถทำได้” เสิ่นปิงหยูพูดเสียงเย็นชา

“เจ้ากำลังขู่ข้างั้นหรือ?” หลัวซิวก็พูดเสียงเยือกเย็นในลำคอ แก่นสารปีศาจเพลิงสำหรับเขาแล้วมันสำคัญมากในการฝึกตนวิชาอาถรรพณ์จุดลมปราณ เหตุใดจึงจะยอมหลีกให้คนอื่นอย่างง่ายดายได้?

“เจ้าอย่าให้มัยมากเกินไปนัก!”

บนร่างของเสิ่นปิงหยูแสดงออร่าความดุดันออกมา กฎอัคคีเยือกปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของนาง กลับมีดารายี่สิบสี่ดวงปรากฏขึ้น

ประกอบด้วยดาราสิบสองดวงที่เต็มไปด้วยพลังแห่งกฎอัคคีเยือก สอดคล้องกับกฎดารา ส่วนดาราอีกสิบสองดวง นั่นกลับเป็นสีดำ สอดคล้องกับจุดลมปราณร่างเนื้อ

ฝึกคู่ร่างเวทย์?

หลัวซิวรี่ตาลงเล็กน้อย เขาได้รับแปดขั้นแรกของเคล็ดฟ้าดินมหาวาลมา ในนั้นตั้งแต่ขั้นเจ็ดเป็นต้นไป ก็มีบันทึกเกี่ยวกับวิชาการฝึกตนของเวทย์ดาราและจุดลมปราณร่างเนื้อ แต่กลับไม่ใช่จำนวนสิบแปดดวง แต่เป็นสิบสองดวง

ฝึกตนเคล็ดฟ้าดินมหาวาล ฝึกตนในแดนเทพมารภายในร่างกายจะปรากฏเวทย์ดาราสิบสองดวง ตามผลการฝึกตนที่เพิ่มมากขึ้น เวทย์ที่หลอมรวมอยู่ในดาราก็ยิ่งมาก ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นตามไปด้วย แต่จำนวนดาราจะไม่เพิ่มขึ้นแล้ว