บทที่ 757.3 ผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เผยเฉียนลูกศิษย์คนนั้นของข้า และยังมีพวกเด็กๆ ก็ให้อยู่ที่จวนไปก่อนแล้วกัน ข้าจะพยายามรีบไปรีบกลับ”

เจิ้งซู่พยักหน้าตอบตกลง แม้จะบอกว่าทุกวันนี้สถานการณ์ของชายแดนสองแคว้นอย่างต้าเฉวียนและเป่ยจิ้นเหมือนมีคลื่นใต้น้ำ แต่จวนจินหวงและจวนวารีซงเจินเป็นขุนเขาสายน้ำที่อิงแอบเคียงคู่กัน อีกทั้งยังมีผู้ถวายงานของต้าเฉวียนอีกสองท่านที่ปิดบังสถานะอยู่ด้วย คิดดูแล้วต่อให้เกิดเรื่องก็คงไม่ถึงขั้นปกป้องเด็กๆ จากต่างถิ่นกลุ่มหนึ่งไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรทุกวันนี้ต้าเฉวียนและเป่ยจิ้น ไม่ว่ากองกำลังแคว้นของทั้งสองฝ่ายจะแตกต่างกันหรือไม่ ยามลงมือทำอะไรก็ล้วนต้องยึดสองคำว่าคุณธรรมใหญ่ไว้ให้แม่นมั่น ไม่อย่างนั้นทางฝั่งของสำนักศึกษาต้าฝูจะพ่ายแพ้ในเรื่องเหตุผล และขอแค่สูญเสียการสนับสนุนจากสำนักศึกษาไป เรื่องใดก็ไม่ต้องหวังจะสำเร็จทั้งนั้น

เฉินผิงอันเดินออกไปจากศาลาไม้ กุมหมัดเอ่ยลาเจิ้งซู่ ดีดปลายเท้าหนึ่งครั้ง เรือนกายทะยานขึ้นจากพื้น พริบตาเดียวร่างก็หายวับไปอย่างเงียบเชียบไร้ร่องรอย

ในใจเจิ้งซู่ตื่นตะลึงอย่างหนัก ตนเป็นถึงฝู่จวินเทพภูเขาของพื้นที่หนึ่ง อย่าว่าแต่ริ้วคลื่นกระเพื่อมในระยะประชิดเลย ต่อให้เป็นการไหลรินของโชคชะตาขุนเขาสายน้ำในรัศมีร้อยลี้ก็ยังอยู่ในการควบคุมของเขาทั้งหมด การจากไปของเฉาโม่ก็ไม่ใช่เทพเซียนพสุธาที่ร่ายวิชาอภินิหารหดย่อพื้นที่อะไรสักหน่อย หากไม่เป็นเพราะพื้นดินด้านนอกศาลามีฝุ่นคลุ้งขึ้นมาเล็กน้อย เจิ้งซู่ก็คงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเวทอำพรางตัวของผู้ฝึกตนใหญ่ห้าขอบเขตบนท่านหนึ่งไปแล้ว

เฉินผิงอันไปที่เรือข้ามฟากก่อน ชุยตงซานส่ายหน้า คำตอบเรียบง่ายมาก ไม่ได้

แม้จะรู้ว่าคำตอบต้องเป็นเช่นนี้ เฉินผิงอันก็ยังอดรู้สึกเสียใจนิดๆ ไม่ได้ จริงเสียด้วยที่ฝึกตนเดินขึ้นเขา ทั้งกลัวหนึ่งในหมื่นแล้วก็อยากให้เกิดหนึ่งในหมื่น

บอกให้ชุยตงซานช่วยดูแลจวนจินหวงมากหน่อย จากนั้นเฉินผิงอันก็ก้าวเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงพื้น พริบตาเดียวก็หายไปจากเรือข้ามฟาก ทะยานลมเดินทางไกลไปเยือนนครเซิ่นจิ่งต้าเฉวียนเพียงลำพัง ร่างพุ่งทะยานไปว่องไวดุจสายฟ้า แต่กลับยังคงเก็บซ่อนอำพรางพลังอำนาจน่าตะลึงประดุจสายรุ้งน่าครั่นคร้ามเอาไว้

ในเมื่ออาจารย์มีคำสั่ง ชุยตงซานจึงนั่งอยู่บนราวรั้ว เบิกตากว้างมองจวนจินหวงอย่างตั้งใจ แม้แต่ทะเลสาบซงเจินที่มีอาณาบริเวณแปดร้อยลี้ก็อยู่ในสายตาของเซียนเหรินด้วย

ชุยตงซานหยิบพัดพับอันหนึ่งออกมา หลุบตาลงมองพื้นดิน ร่ายวิชาอภินิหารมองลมปราณอย่างง่ายๆ แม้ว่าพื้นดินโลกมนุษย์ในม่านจักษุจะเป็นช่วงเวลากลางวัน แต่กลับเหมือนได้รับคำสั่ง โคมไฟน้อยใหญ่ บ้างมืดบ้างสว่างไม่เท่ากันจึงพากันสว่างวาบขึ้นมา บ้างก็ล่องลอยไม่หยุดนิ่ง มองดูแล้วพร่าเลือนอย่างถึงที่สุด เล็กเหมือนเมล็ดงา คล้ายกับว่าแค่ลมภูเขาพัดวูบเดียวก็จะดับลง บ้างก็เป็นแสงไฟที่มารวมตัวกันใหญ่เท่ากำปั้น ยกตัวอย่างเช่นทางฝั่งของแม่ทัพบู๊อายุน้อยแคว้นเป่ยจิ้นที่อยู่ตรงศาลาที่ถึงกับเป็นลูกหลานเมล็ดพันธ์แม่ทัพที่มีโชคชะตาบู๊อยู่ติดกาย มีความพัวพันที่ไม่เล็กกับฮ่องเต้เป่ยจิ้นและโชคชะตาแคว้น ดังนั้นขอแค่คนผู้นี้ไม่เจอกับหายนะ หรือเจอเข้ากับเรื่องไม่คาดฝันที่ค่อนข้างใหญ่ ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องเป็นขุนนางผู้ประคับประคองมังกร คำว่าเรื่องไม่คาดฝันก็คือคล้ายกับการที่เจียวหลงเดินลงบ่อน้ำ เกิดคลื่นลูกยักษ์ถาโถม แต่ดันไม่ยอมหลบเลี่ยง กลับกันยังพุ่งเข้าใส่ จะไม่ตายได้อย่างไร

แต่มองดูการแสดงออกที่ก่อนหน้านี้คนหนุ่มมีต่ออาจารย์และศิษย์พี่หญิงใหญ่ของตน ก็ไม่ค่อยเหมือนผีอายุสั้นที่จะตายก่อนวัยอันควรสักเท่าไร เพราะรู้จักทะนุถนอมความโชคดีของตน กลับเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตชมมหาสมุทรที่อยู่ในศาลาเสียอีกที่ยามเดินเท้าลอยไม่ติดพื้นคล้ายจะรังเกียจที่ชีวิตยืนยาวเกินไป

ส่วนฝู่จวินจินหวงที่ในสายตาของชุยตงซานเป็นโคมไฟสีทองสว่างเจิดจ้าดวงหนึ่งนั้น ก็เป็นเพราะตำแหน่งเทพของร่างทอง แล้วก็เพราะเทพภูเขาท่านนี้ได้ย้ายทำเนียบขุนเขาสายน้ำไปอยู่ในเมืองหลวงเซิ่นจิ่งต้าเฉวียน ดังนั้นจึงถูกชะตาแคว้นของต้าเฉวียนชักนำ สายตาของชุยตงซานเป็นประกายวาบ กระโดดผลุงขึ้นหนึ่งที ยืนโงนเงนอยู่บนราวรั้ว ก่อนจะสาวเท้าเดินเนิบช้าไปที่หัวเรือ สายตาเพ่งมองนิ่งไปตรงจุดนั้นตลอดเวลา ไล่สาวเบาะแสไปเรื่อยๆ เส้นสายตาขยับเคลื่อนจากจวนจินหวงไปยังทะเลสาบซงเจิน จากนั้นค่อยขยับไปที่เส้นชายแดนของสองแคว้น สุดท้ายไปหยุดอยู่นิ่งที่จุดหนึ่ง โอ้โห ปราณมังกรเข้มข้นเชียว มิน่าเล่าก่อนหน้านี้ตนถึงได้รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ถึงกับมีผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งช่วยปิดบังให้? ใบถงทวีปในทุกวันนี้ ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนพบเห็นได้ไม่บ่อยแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกตะพาบน้อยเซียนดินที่ก่อคลื่นลมมรสุม หรือว่าเป็นฮ่องเต้หญิงของต้าเฉวียนคนนั้นที่มาลาดตระเวนชายแดน?

ก็ว่าแล้วไง การส่งจดหมายกระบี่บินไปกลับระหว่างจวนจินหวงกับทะเลสาบซงเจินไม่ค่อยสมเหตุสมผลสักเท่าไร ไม่ควรให้ผู้ฝึกตนสายยันต์โอสถทองคนหนึ่งเป็นคนตอบจดหมายแทน ที่แท้ก็เป็นเหนียงเนียงเทพวารีที่ได้รับพระราชโองการให้ออกจากพื้นที่ปกครองไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้อย่างลับๆ นี่เอง

ส่วนเรื่องการดักกระบี่บินแอบอ่านจดหมายลับอะไรนั่น ไม่ได้เกิดขึ้น

ชุยตงซานดึงสายตากลับคืนมา ขยับมองไปทางทิศใต้ เพราะห่างไปไกลมีขบวนรถที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรขบวนหนึ่งเดินทางมาแต่ไกล มีผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนหนึ่งเฝ้าพิทักษ์ บนรถม้าบริเวณใกล้เคียงยังมีขุนนางที่บนร่างแบกชะตาบุ๋นคนหนึ่งอยู่ด้วย ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามาจากที่ว่าการกรมพิธีการของเป่ยจิ้น หากไม่ใช่บัณฑิตผู้มีความรู้ความสามารถ โชคชะตาบุ๋นบนร่างโดดเด่น ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะมียศขุนนางเป็นรองเจ้ากรมพิธีการ ระดับขั้นขุนนางสูงเกินไป จะยิ่งขับให้ฮ่องเต้เป่ยจิ้นดูแข็งนอกอ่อนใน แต่หากต่ำเกินไปก็จะเป็นการตบหน้าราชวงศ์ต้าเฉวียน ถ้าอย่างนั้นให้รองเจ้ากรมฝ่ายซ้ายของกรมพิธีการที่ดูแลทำเนียบขุนเขาสายน้ำของหนึ่งแคว้นมาเป็นผู้พูดคุยเรื่องการย้ายจวนจินหวงและจวนซงเจินจึงเหมาะสมกำลังดี

เพียงแต่ว่าทางฝั่งของเป่ยจิ้นต้องคิดไม่ถึงแน่ว่าต้าเฉวียนจะตัดสินใจเด็ดเดี่ยวถึงเพียงนี้ แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังมาเยือนชายแดนสองแคว้นด้วยตัวเอง ดังนั้นเรื่องเสียเปรียบจึงเลี่ยงได้ยากแล้ว

ชุยตงซานโบกพัดเบาๆ สีหน้ามีเลศนัย ดูเหมือนว่าปีนั้นอาจารย์กับศิษย์พี่หญิงใหญ่ต่างก็เคยพบเจอฮ่องเต้หญิงต้าเฉวียนท่านนี้มาก่อน อีกทั้งความสัมพันธ์ยังคล้ายว่าจะไม่เลวด้วย? นอกจากนี้ชุยตงซานที่อาศัยการคุยเล่นกับหมี่ลี่น้อยจึงได้รู้ว่า ในสายตาของเผยเฉียน ‘พี่หญิงเหยาใจกว้างกับข้ามากเลยนะ’? แต่ว่าประโยคนี้ของเผยเฉียน อย่างน้อยที่สุดต้องหักลบไปสักแปดส่วน เพราะถึงอย่างไรตอนที่เผยเฉียนยังเด็กแล้วได้ออกเที่ยวเล่นกับพี่หญิงเทพธิดาแห่งอุตรกุรุทวีปอย่างสุยจิ่งเฉิง เผยเฉียนก็ได้เอ่ยประโยคนี้ขึ้นมา ‘โดยไม่ได้ตั้งใจ’ หากไม่ผิดไปจากที่คาด หลังจากที่เผยเฉียนได้ของขวัญจากสุยจิ่งเฉิงแล้ว สุดท้ายยังต้องเสริมอีกประโยคทำนองว่า ‘แม่นางเหยาคนนั้นน่ะหรือ ใจกว้างก็ส่วนใจกว้าง หน้าตาก็งดงามมากจริงๆ แต่ก็ยังไม่งามเท่าพี่หญิงสุยท่านหรอกนะ ฟ้าดินเป็นพยานได้’

เดาได้ไม่ยาก ความจริงต้องไม่ต่างไปจากนี้สักเท่าไรแน่นอน

ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ยังไม่เติบใหญ่ มีแต่ความเฉลียวฉลาดหัวไว

ราวกับว่าแค่เสียงสวบดังหนึ่งที กระโดดง่ายๆ หนึ่งครั้ง ยังจะทำอย่างไรได้อีก หล่นลงพื้นแล้วก็ต้องเติบใหญ่น่ะสิ

ทางฝั่งของจวนจินหวงยังคงกินอาหารงานเลี้ยงกันดังเดิม สำหรับการที่จู่ๆ อาจารย์พ่อก็จากไป เผยเฉียนเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไร แค่พาพวกเด็กๆ กินดื่มไปตามสมควร ได้แต่พยายามบอกให้พวกป๋ายเสวียนและเหอกูกินอาหารอย่างสุภาพหน่อย

เจิ้งซู่สอบถามหญิงสาวที่มีชื่อว่าเผยเฉียนว่าดื่มเหล้าเป็นหรือไม่

เผยเฉียนเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ รีบพูดว่าตนดื่มไม่เป็น ไม่เคยดื่มเหล้ามาก่อน

เจิ้งซู่เองก็ไม่สะดวกจะเกลี้ยกล่อมให้หญิงสาวคนหนึ่งดื่มเหล้า ฝู่จวินท่านนี้จึงได้แต่ดื่มตามลำพัง แค่จิบเหล้าหมักหลันฮวาไม่กี่จอกเท่านั้น

ในขณะที่เผยเฉียนก้มหน้าลงคีบอาหารในจานที่อยู่ใกล้เคียงกะทันหัน นางก็ขมวดคิ้วมุ่น

เจิ้งซู่เองก็มีสีหน้าไม่สบอารมณ์เล็กน้อย

ไม่ใช่เพราะเด็กๆ บนโต๊ะอาหารเอะอะก่อเรื่อง อันที่จริงพวกเขาเงียบสงบกันอย่างมาก แต่เป็นเจิ้งซู่สัมผัสได้ว่าด้านนอกจวนจินหวงมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญซึ่งผู้มามีเจตนาไม่ดีคนหนึ่งมาเยือน อยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของเจิ้งซู่ รู้ว่าพวกเขาจะมา แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะมาเร็วขนาดนี้ ประเด็นสำคัญคือคนหนึ่งในนั้นยังเป็นเซียนดินแคว้นเป่ยจิ้น แม้ว่าจะยังอยู่ในรถม้าไม่เปิดเผยตัว แต่ปราณกระบี่บนร่างก็เปี่ยมล้นแผ่ทะลัก พลังอำนาจน่าเกรงขามยิ่ง เห็นได้ชัดว่าวางมาดว่าหากพูดไม่เข้าหูกันคำเดียวก็จะถามกระบี่ต่อจวนจินหวงทันที

เพราะว่าเจิ้งซู่แบ่งสมาธิไปมองความเคลื่อนไหวด้านนอกจึงไม่ทันสังเกตเห็นว่า บนโต๊ะอาหารเด็กน้อยสองคนที่ชื่อว่าป๋ายเสวียนกับน่าหลันอวี้เตี๋ยสบตากันก่อน จากนั้นเด็กๆ ทุกคนก็พากันหยุดตะเกียบ

เผยเฉียนรวมเสียงให้เป็นเส้นเอ่ยกับพวกเด็กๆ “กินข้าว”

ตัวอ่อนเซียนกระบี่ทั้งห้าถึงได้ขยับตะเกียบกันอีกครั้ง

ป๋ายเสวียนใช้เสียงในใจถาม “พี่หญิงเผย มีคนมาหาเรื่อง พวกเราจะเอาแต่กินอาหารของจวนฝู่จวินเปล่าๆ ไม่ได้กระมัง?”

เผยเฉียนยิ้มกล่าว “นั่นเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนหนึ่งเชียวนะ พวกเจ้าทุกคนรวมกันยังสู้ไม่ได้เลย”

ป๋ายเสวียนอึ้งตะลึง ก่อนจะเอ่ยอย่างกังขา “อยู่ที่ใต้หล้าของพวกท่านนี้ ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองก็วางมาดยิ่งใหญ่สูงเทียมฟ้าแบบนี้แล้วหรือ จะขู่ใครกัน? หากเอาไปวางไว้ในร้านเหล้าของอาจารย์เฉา อย่าว่าแต่โอสถทองและก่อกำเนิดเลย ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบน ขอแค่ไปสายหน่อยก็ไม่มีที่นั่งแล้ว มีใครบ้างที่ไม่ได้นั่งยองดื่มเหล้าอยู่ข้างทาง อยากจะกินผักดองเพิ่มสักจานยังต้องขอจากลูกจ้างร้านเป็นครึ่งๆ วัน แต่ก็ไม่แน่ว่าจะได้ตามคำขอด้วยนะ”

เผยเฉียนไร้คำพูดตอบโต้

จะให้บอกว่าในบางทวีปของใต้หล้าไพศาล ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองก็คือเซียนกระบี่คงไม่ได้กระมัง?

และที่บ้านเกิดของพวกป๋ายเสวียนก็ดูเหมือนว่านอกจากขอบเขตบินทะยานและขอบเขตเซียนเหรินแล้ว แม้แต่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ หากถูกคนเดินเท้าข้างทางเรียกว่าเซียนกระบี่ก็ยังเหมือนกำลังถูกด่าด้วยซ้ำ

เผยเฉียนมองเด็กๆ เหล่านี้ด้วยสายตาอ่อนโยน รวมเสียงให้เป็นเส้นเอ่ยย้ำประโยคเดิมกับพวกเขา “กินข้าว”

พวกเจ้ากินข้าวให้สบายใจ ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น

อาจารย์พ่อไม่อยู่ มีลูกศิษย์อยู่

ก็สามารถดูแลเด็กๆ อย่างพวกเจ้าที่ต้องจากบ้านเกิดเดินทางไกลให้ดีได้เช่นกัน

เจิ้งซู่ไม่รู้เลยแม้แต่นิดว่าแท้จริงแล้วเด็กๆ ทุกคนซึ่งรวมถึงตัวเผยเฉียนเองต่างก็รู้ถึงการโอ้อวดสถานะของ ‘เซียนกระบี่โอสถทอง’ คนนั้นแล้ว ฝู่จวินท่านนี้เพียงแค่วางตะเกียบลง ลุกขึ้นเอ่ยขอตัว ยิ้มพูดกับเผยเฉียนว่ารับรองแขกได้ไม่ดีพอ มีแขกจากทิศไกลเดินทางมาเยือน เขาต้องไปพบหน้าสักหน่อย

เผยเฉียนลุกขึ้นเอ่ยว่าเชิญใต้เท้าฝู่จวินไปทำธุระสำคัญได้เลย

น่าหลันอวี้เตี๋ยกับเหยาเสี่ยวเหยียนต่างก็วางตะเกียบลุกขึ้นยืนเหมือนเผยเฉียน มองส่งฝู่จวินจากไป ส่วนเจ้าพวกลูกกระต่ายอีกสามคนที่เหลือ ป๋ายเสวียนนั้นจ้องเป๋งตาเป็นมันไปยังเหล้าหมักหลันฮวาที่ยังเหลืออยู่อีกไม่น้อย เหอกูแทะน่องไก่อย่างเมามัน อวี๋เสียหุยกำลังก้มหน้าพุ้ยข้าว

เผยเฉียนนั่งลงแล้วก็ไม่รีบร้อนพูดเรื่องการกินอาหารบนโต๊ะร่วมกับผู้อื่นกับพวกเขาทั้งสามคน ส่วนแม่นางน้อยสองคนที่รู้ความเข้าใจมารยาท เกินครึ่งคงจะถูกกล่อมเกลาจากที่บ้านเกิดจึงรู้ประสามากกว่า

ป๋ายเสวียนถาม “พี่หญิงเผย ไม่ต้องให้พวกเราช่วยจวนจินหวงจริงๆ หรือ?”

เผยเฉียนกล่าว “ไม่ต้อง”

เหยาเสี่ยวเหยียนถามเสียงเบา “พี่หญิงเผย อาจารย์เฉาล่ะ?”

น่าหลันอวี้เตี๋ยเองก็กะพริบตาปริบๆ มองมา

สำหรับเด็กๆ กลุ่มนี้แล้ว อิ่นกวานหนุ่มที่ถูกพวกเขามองเป็นคนบ้านเดียวกันผู้นั้นต่างหากที่ถึงจะเป็นหลักยึดเหนี่ยวในใจเพียงหนึ่งเดียว

เผยเฉียนยิ้มกล่าว “อาจารย์พ่อมีธุระนิดหน่อย อีกเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว”

ป๋ายเสวียนเอ่ย “ไม่รีบร้อน นายน้อยอยู่นี่ ถึงเวลาหากตีกันขึ้นมาจริงๆ พวกเจ้าก็มาหลบข้างหลังข้าแล้วกัน”

น่าหลันอวี้เตี๋ยพูดอย่างมีโทสะ “ป๋ายเสวียน อย่าทำเป็นเล่น เจ้าทำตัวดีๆ หน่อย!”

เหอกูทอดถอนใจ โคลงศีรษะส่ายไปมา

อวี๋เสียหุยหัวเราะฮิๆ “กลุ้มนัก”

ป๋ายเสวียนยกสองแขนกอดอก หัวเราะพรืดเอ่ยว่า “อย่าให้โอกาสนายน้อยได้ออกกระบี่เด็ดขาดเชียว ไม่อย่างนั้นศึกแรกในชีวิตของอิ่นกวานน้อยน้อยก็คือจวนจินหวงแห่งนี้แล้ว ไม่แน่ว่าวันหน้าใต้เท้าฝู่จวินอาจต้องตั้งป้ายจารึกไว้หน้าประตูใหญ่ แกะสลักอักษรใหญ่ห้าตัวว่า ‘ป๋ายเสวียนกระบี่อันดับหนึ่ง’ จุ๊ๆๆ แบบนั้นจะต้องมีคนกี่มากน้อยที่จะมาเยือนเพราะเลื่อมใสในชื่อเสียงของข้า?”

เผยเฉียนนวดคลึงหว่างคิ้ว ดูท่าแล้วตนคงต้องหาข้ออ้างให้เจ้าเด็กนี่เรียนวิชาหมัดเร็วๆ หน่อยถึงจะดี

คนชุดเขียวผู้หนึ่งเดินทางไกลมุ่งไปทางทิศเหนือ ทะยานร่างผ่านโรงเตี๊ยมเมืองหูเอ๋อร์ในอดีต ลำคลองม่ายเหอ เมืองฉีเฮ้อ ท่าเรือใบท้อและยอดเขาจ้าวผิง สุดท้ายมาที่เมืองหลวงต้าเฉวียน นครเซิ่นจิ่ง

ต่อให้สงครามใหญ่จะปิดฉากลงไปหลายปีแล้ว แต่กระนั้นก็ยังคงมีค่ายกลใหญ่ขุนเขาสายน้ำคอยปกป้องสถานที่สำคัญของต้าเฉวียนแห่งนี้เอาไว้ การกระทำนี้เผาผลาญเงินเทพเซียนในท้องพระคลังของสกุลเหยาต้าเฉวียนไปไม่น้อย

เฉินผิงอันไม่มีเวลามาสนใจอะไรมากนัก เส้นสายตาของเขากวาดมองไปรอบๆ ก่อนจะใช้ปณิธานหมัดของทั้งร่างฝ่าค่ายกลเข้าไปโดยตรง พลิ้วกายลงในจวนหลังหนึ่งในนคร ถึงขั้นที่ว่าไม่ได้พลิ้วตัวลงนอกประตูใหญ่ของจวนด้วยซ้ำ

ในลานเรือนมีชายฉกรรจ์เนื้อตัวสกปรกกลิ่นเหล้าเหม็นคลุ้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราคนหนึ่งนอนฟุบอยู่บนโต๊ะหิน กับสตรีโตเต็มวัยพกดาบที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเดือดดาลคนหนึ่ง เดิมทีสองพี่น้องกำลังพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย ชายฉกรรจ์กับสตรีโตเต็มวัยพลันลุกพรวดขึ้นยืน มองเห็นบุรุษสวมชุดเขียวปักปิ่นหยกคนนั้น สตรีมีสีหน้าเหลือเชื่อ เอ่ยเรียกเบาๆ ว่าคุณชายเฉิน คล้ายกับไม่ค่อยกล้าแน่ใจในตัวตนของอีกฝ่ายนัก กังวลว่าจะจำคนผิด ส่วนชายฉกรรจ์แขนเดียวที่ไหล่เอียงไปข้างหนึ่งเล็กน้อย เอามือข้างหนึ่งยันโต๊ะหิน เบิกตากว้างเอ่ยเสียงสั่น “อาจารย์เฉิน?!”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับเบาๆ คลี่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เซียนจือ แม่นางเหยา ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

——