ได้ยินคำพูดที่ไม่ปกปิดความข่มขู่เลยสักนิดของหลินสวิน ขนคิ้วของอ๋าวเจิ้นเทียนสั่นไหว พูดอย่างเดือดดาล “จิ่งเซวียนเป็นญาติผู้น้องของข้า ข้าจะปล่อยให้นางเป็นอะไรได้อย่างไร”
หลินสวินขานรับว่าอ้อ ก่อนจะพูดว่า “ไม่อย่างนั้น ก่อนไปเราประลองกันอีกสักหน่อยดีหรือไม่”
อ๋าวเจิ้นเทียนสีหน้าอึ้งงัน อัดอั้นจนหน้าแดง ในอนาคตหากเจ้าหมอนี่เป็นน้องเขยตนจริงๆ นั่นจะต้องเป็นหายนะอย่างแน่นอน…
หลินสวินเดินเข้าไปตบไหล่เขาพร้อมพูดว่า “ข้าเชื่อเจ้า แต่ยากจะเชื่อทั้งเผ่าเจินหลง พูดจริงๆ หากเกิดอะไรขึ้นกับจิ่งเซวียน ข้าทนไม่ได้แน่ ถึงตอนนั้น ข้าไม่สนใจหรอกนะว่าเป็นเผ่าเจินหลงอะไร”
พูดถึงตรงนี้เขาพลันถอนหายใจเบาๆ พร้อมพูดว่า “แม้คำพูดจะไม่น่าฟังนักแต่นี่เป็นคำพูดจากใจข้า ข้าเคยได้ยินว่ามังกรมีเกล็ดย้อน สัมผัสแล้วต้องตาย และจิ่งเซวียนก็คือเกล็ดย้อนของข้า”
พูดจบเขาก็ยิ้ม หมุนตัวเดินไปหาจ้าวจิ่งเซวียนโดยไม่ได้สนใจอ๋าวเจิ้นเทียนที่สีหน้าอึมครึมไม่สามารถสงบได้
“เจ้าอย่ารังแกเขาเกินไปนัก”
จ้าวจิ่งเซวียนมองเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ ในใจไหวหวั่น ดวงตาคู่งามอ่อนโยนราวกับน้ำ
“ไม่ใช่เพราะเป็นห่วงเจ้าหรอกหรือ”
หลินสวินยิ้มพูดพร้อมยื่นกำไลเก็บของอันหนึ่งให้จ้าวจิ่งเซวียน “เก็บไว้ ภายในมีสมบัติและโอสถวิญญาณ ไปถึงเผ่าเจินหลงต้องดูแลตัวเองดีๆ หากมีใครรังแกเจ้าก็จำไว้ในใจก่อน ในอนาคตข้าจะคิดบัญชีให้เจ้าทุกคน”
“แล้วก็อย่าลืมตั้งใจฝึกปราณ และไม่ต้องเป็นห่วงข้า คนอย่างข้ายมบาลไม่กล้าเก็บไปหรอก หลายปีที่ผ่านมาตั้งแต่จักรวรรดิจื่อเย่าจนตอนนี้ ในใจเจ้ารู้ดีที่สุด…”
ชั่วขณะนี้หลินสวินบ่นจู้จี้เหมือนหญิงแก่อย่างไรอย่างนั้น ทั้งเตือนทั้งย้ำ ร่ำลาไม่จบสิ้น
จ้าวจิ่งเซวียนยิ้มฟัง
จนกระทั่งจากไป ตอนที่ทะยานอากาศไปพร้อมกับอ๋าวเจิ้นเทียนและอิ๋นฮวน ดวงตางามเป็นประกายของจ้าวจิ่งเซวียนยังคงรอยยิ้ม แต่กลับมีน้ำตาสองสายไหลลงมา…
ความหมองหม่นนี้ไร้หนทางเยียวยา เลือนหายจากหว่างคิ้ว ไปปรากฏ ณ กลางใจ
นางอดหันหลังกลับไม่ได้ ก็เห็นบนเกาะไกลๆ หลินสวินเสื้อผ้าพลิ้วไหวกำลังโบกมือ มุมปากแฝงรอยยิ้ม ในแววตาเต็มไปด้วยการให้กำลังใจและความอบอุ่น
จนกระทั่งเงาร่างของพวกจ้าวจิ่งเซวียน อ๋าวเจิ้นเทียน อิ๋นฮวนลับตาไป หลินสวินยังคงยืนอยู่บนเกาะเหนือทะเล จ้องมองอย่างเลื่อนลอย
ผ่านการจากลาครั้งนี้ คนรักไม่ได้อยู่ด้วยกัน แม้สิ่งรอบข้างดีงามเพียงใด แม้มีความรู้สึกร้อยพัน แต่จะพูดกับใครได้
จู่ๆ หลินสวินก็อยากดื่มเหล้ามาก
……
หน้าผาสูงชัน คลื่นทะเลซัดฝั่ง
หลินสวินนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสบายๆ หยิบน้ำเต้าสุราเปลือกเขียวใบหนึ่งขึ้นมา ดื่มเหล้าพลางชมทะเล
นี่เป็นวันที่เก้าที่จ้าวจิ่งเซวียนจากไปแล้ว
เก้าวันมานี้เขาเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด
“พี่ใหญ่เขาคงไม่ได้ช้ำใจหรอกนะ”
ห่างออกไปอาหลู่เอ่ยอย่างกังวล “หลังจากแม่นางจิ่งเซวียนจากไป เขาก็เหมือนสูญเสียจิตวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น สภาพไม่ดีเลย”
“คงไม่ถึงกับช้ำใจ แต่ในใจโศกเศร้ามากนั้นเป็นความจริง”
เจ้าคางคกวิเคราะห์อย่างจริงจัง
“เฮ้อ ความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง อันตรายมากจริงๆ”
อาหลู่ถอนหายใจ เขาเสมองเจ้าคางคกแวบหนึ่งพร้อมเตือนว่า “แน่นอนว่าระหว่างชายชายก็เช่นกัน เจ้าอย่าได้ร่วงลงไปล่ะ”
เส้นเลือดตรงหน้าผากเจ้าคางคกนูนขึ้นโดยพลัน ลุกพรึ่บขึ้น พูดพร้อมดวงตาที่แทบพ่นไฟได้ “เจ้าคนเถื่อน แน่จริงเจ้าพูดอีกรอบสิ”
เสียงเหมือนลอดออกจากไรฟัน
อาหลู่ยิ้มพูด “เป็นพี่น้องกันจะเป็นห่วงความเป็นไปของเจ้าหน่อยไม่ได้เลยหรือ กระต่ายไม่กินหญ้าข้างบ้าน เจ้าอย่าลงมือกับพี่น้องของตนเชียว”
ตูม!
เจ้าคางคกระเบิดอารมณ์โดยตรง หมัดหนึ่งกระแทกไปทางศีรษะอาหลู่
ไม่ทันไรทั้งสองก็ต่อสู้กัน โจมตีขึ้นฟ้า สถานการณ์การต่อสู้ดุเดือด
หลินสวินจนคำพูด สองคนนี้… ช่างเป็นคู่รักคู่แค้นกันจริงๆ
เขาไม่มีใจจะดื่มเหล้าแล้ว ลุกขึ้นเอ่ยว่า “หลังจากเจ้านกดำ เสี่ยวอิ๋นและเสี่ยวเทียนกลับมา ก็บอกพวกเขาว่าอย่าเพ่นพ่าน รอข้าออกด่านก็จะไปที่หุบเขาตะวันคล้อยสักหน่อย!”
“พี่ใหญ่จะปิดด่านหรือ”
บนท้องฟ้าเจ้าคางคกประหลาดใจ
ปัง!
พอไม่ระวังเขาก็ถูกหมัดหนึ่งของอาหลู่กระแทกเข้าหน้าโดยตรง ตรงหน้าพร่าเบลอ พลันโมโหทันใด พุ่งขึ้นไปอีกครั้ง
“ฮ่าๆๆ พี่ใหญ่ปิดด่านตามสบายเถอะ มีข้าอาหลู่อยู่ ไม่มีทางให้…”
เสียงหัวเราะของอาหลู่ยังไม่ทันจบ ก็ถูกเจ้าคางคกเตะจนปลิว ส่งเสียงร้องเจ็บปวด
หลินสวินส่ายหน้า เอามือไพล่หลังเดินลงหน้าผา คร้านจะสนใจเจ้าพวกที่ว่างจนคลั่งสองคนนี้
ในบ้านไม้
หลินสวินสูดหายใจลึกคราหนึ่ง ความแน่วแน่แวบผ่านในดวงตาดำ
ตั้งแต่ตอนอยู่ในกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ เขาก็หยั่งถึงแก่นอัศจรรย์แห่ง ‘ความยิ่งใหญ่’ แล้ว ขาดเพียงจุดเปลี่ยนเดียวก็สามารถทะลวงระดับขึ้นไป หลอมอานุภาพแห่งมกุฎมหาอริยะได้แล้ว
ทว่า ‘จุดเปลี่ยน’ นี้กลับไม่มาเสียที
แต่หลินสวินมีประสบการณ์นานแล้ว
เขาฝึกปราณมาจนถึงตอนนี้ สิ่งที่แสวงหาก็คือมรรคาที่ ‘ทั่วฟ้าบนล่าง มรรคข้าเป็นหนึ่ง’ เรียกได้ว่าไม่เคยมีมาก่อน แตกต่างจากโลก!
ไม่ว่าจะเป็นยามก้าวสู่ระดับราชันในแดนมกุฎ หรือยามบรรลุมกุฎอริยะที่สมรภูมิเก้าดินแดน ล้วนเคยประสบเรื่องราวเช่นนี้
จึงไม่ได้จนหนทางกับเรื่องนี้
ทว่าปิดด่านครั้งนี้หลินสวินไม่ได้ทำเพื่อแสวงหา ‘จุดเปลี่ยน’ ในการทะลวงระดับ แต่จะทำอีกเรื่องต่างหาก
วู้ม…
พร้อมกับคลื่นแปลกประหลาดระลอกหนึ่ง ชั่วขณะเดียวหลินสวินก็เข้าสู่ห้องโถงมรรคาสวรรค์อีกครั้ง!
ทางเดินเมฆาหยกอันคุ้นเคยราวกับโลดแล่นอยู่ในห้วงอากาศว่างเปล่าชั่วนิรันดร์ ที่ปลายทางทอดยาวเป็นประตูสวรรค์บานหนึ่ง!
ประตูนี้เชื่อมฟ้าจริงๆ ไม่อาจมองเห็นความสูงของมัน ประตูใหญ่ที่ปิดสนิทคล้ายทองแต่ไม่ใช่ทอง เหมือนเหล็กแต่ก็ไม่ใช่เหล็ก ประทับสัญลักษณ์บิดเบี้ยวคลุมเครือยากจะอธิบายแน่นขนัด
มองจากไกลๆ ทำให้เกิดความรู้สึกเล็กจ้อย
หลินสวินคุ้นชินกับเส้นทางเป็นอย่างดี ก้าวย่างบนทางเดินเมฆาหยกมาถึงหน้าประตูสวรรค์นั่น
“ข้ายังนึกว่าเจ้าจะใช้โอกาสครั้งที่สามในการขอความช่วยเหลือจากข้า ตอนที่ถูกพลังเลือดแท้ระดับจักรพรรดิคุกคามเสียอีก”
จู่ๆ เสียงอันเวิ้งว้างเย็นชาที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น
นางนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าประตูสวรรค์ เงาร่างถูกแสงมรรคคลุมเครือมากมายพันรอบ ราวกับภาพมายา ทำให้ไม่สามารถมองใบหน้าของนางได้ชัด
แม้ตอนนี้หลินสวินจะบรรลุมกุฎอริยะแท้แล้ว ก็ยังไม่สามารถทำได้
ถึงขั้นที่เมื่อพลังปราณสูงขึ้น ยามเผชิญหน้ากับหญิงลึกลับอีกครั้ง ยิ่งรับรู้ได้ถึงความกดดันในใจอย่างลึกล้ำ ไม่สามารถควบคุมได้เลย!
“คารวะผู้อาวุโส”
หลินสวินคำนับก่อนเป็นอันดับแรก แล้วจึงพูดว่า “กู่เหลียงฉวี่คนนี้ยังไม่ควรค่าที่ผู้อาวุโสลงมือด้วยตัวเอง”
หญิงลึกลับลืมตาขึ้นมาแล้ว ชั่วขณะนั้นหลินสวินแข็งทื่อไปทั้งตัว รู้สึกว่าความลับทั้งหมดทั่วร่างกายถูกเปิดโปงอย่างไร้รูปอย่างไรอย่างนั้น
ไม่นานความรู้สึกอึดอัดเช่นนี้ก็หายไป ก็เห็นหญิงลึกลับพูดว่า “หากข้าเดาไม่ผิด ต่อไปหากไม่มีภัยร้ายแรง เจ้าคงไม่คิดจะใช้โอกาสครั้งนี้ใช่หรือไม่”
หลินสวินพยักหน้า
ไม่มีอะไรต้องปิดบัง
เขาในตอนนั้นเป็นเพียงผู้ฝึกปราณในห้าระดับใหญ่เท่านั้น เรียกได้ว่าอ่อนแออย่างที่สุด
แต่ตอนนี้เขาเป็นผู้ฝึกปราณระดับมกุฎอริยะแท้แล้ว กำลังจะบรรลุมกุฎมหาอริยะ หากไม่จำเป็นเขาย่อมต้องพึ่งพลังของตนในการคลี่คลายปัญหาทั้งหมด!
“ดูเหมือนเจ้าเติบโตอย่างแท้จริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสภาวะจิตหรือประสบการณ์ เรียกได้ว่าเป็น ‘อริยะ’ ที่แท้จริงคนหนึ่งแล้ว”
เสียงของหญิงลึกลับเย็นชา “สันนิษฐานเช่นนี้ ครั้งนี้เจ้ามาเพื่อเปิดประตูสินะ”
หลินสวินพูด “ที่ผู้อาวุโสพูดไม่ผิด ตอนนี้ข้าไม่ยึดติดอดีตอนาคต สู้เพียงเพื่อปัจจุบัน”
“สู้เพียงเพื่อปัจจุบัน…”
หญิงลึกลับเงียบไปครู่หนึ่งจึงพูดว่า “ผลลัพธ์ของความล้มเหลว เจ้ารู้ทั้งหมดหรือ”
หลินสวินหยักหน้า สีหน้านิ่งสงบ
การเปิดประตูล้มเหลว ก็จะสูญเสียโอกาสในการมาห้องโถงมรรคาสวรรค์อย่างสิ้นเชิง เขาย่อมรู้ดี และก็เพราะเช่นนี้ ก่อนหน้านี้เขาจึงลังเลไม่เปิดประตูเสียที
หญิงลึกลับลุกขึ้น เงาร่างสง่างาม พร่าเลือนราวกับหมอก เหมือนดอกบัวหยกโบราณต้นหนึ่งผุดขึ้นจากความวุ่นวายอลหม่าน
นางเดินมาด้านข้างหลินสวิน สายตามองประตูสวรรค์ที่ห่างออกไปแล้วกล่าว “หวังว่าเจ้าจะทำได้ ข้าไม่อยากรอ ‘ผู้ทะลวงด่าน’ คนต่อไปแล้ว”
หลินสวินยิ้มพูด “ข้าจะทำอย่างสุดความสามารถ”
พูดจบเขาก็ก้าวเท้าเข้าไป ตรงไปหน้าประตูสวรรค์แล้วเงยหน้าขึ้น พยายามมองอยู่นานก็อดถอนหายใจไม่ได้ “ช่างสมกับชื่อเชื่อมสวรรค์”
ว่าแล้วฝ่ามือหนึ่งของเขาก็กดลงบนประตูใหญ่เย็นเยียบที่เผยสัญลักษณ์แปลกประหลาดคลุมเครือนั้น
วู้ม…
ทันใดนั้นหลินสวินเพียงรู้สึกว่าตาพร่ามัว จิตใจเลื่อนลอย ราวกับอยู่ในโลกอีกใบ
ท้องฟ้าสูงใหญ่กว้างขวาง ภูผาธาราราวภาพวาด
เงาร่างสูงใหญ่ยืนอยู่บนยอดหมู่เขาเพียงลำพัง เขาเอามือไพล่หลัง ทอดมองท้องฟ้า
ลมภูเขาคำราม พัดพาเสื้อผ้าและเส้นผม ขับให้เขาราวกับเป็นอิสระเหนือโลก เหมือนกับจะลอยไปตามสายลม
ตูม!
จู่ๆ เงาร่างนั้นก็ขยับ สะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง ประกายศักดิ์สิทธิ์ทั่วฟ้าเปลี่ยนเป็นเสาแสงพร่างพราวพุ่งสูงขึ้นฟ้า ทะลวงท้องฟ้าอย่างรุนแรง กระแทกในห้วงอากาศอันกว้างใหญ่เหนือจักรวาลนั่น
ตึง…
ในห้วงอากาศที่เดิมว่างเปล่านั่น เมื่อเสาแสงมรรคนี้พุ่งเข้าไปกลับทลายประตูที่ลักษณะคล้ายวังวนนี้ออกทั้งอย่างนั้น!
วังวนนั่นราวกับหุบเหวใหญ่ที่กลืนกินฟ้าดารา ลึกล้ำน่ากลัว หมุนอย่างบ้าคลั่ง พลังน่าหวาดหวั่นที่ปลดปล่อยออกมาฉีกทึ้งห้วงอากาศรอบๆ จนบิดเบี้ยวพังทลาย น่าสะพรึงอย่างที่สุด
สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าดวงดาวนับไม่ถ้วนถูกชักนำเข้ามาราวกับหมู่ดาวเข้าบูชา พร้อมๆ กับวังวนที่คำรามหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง ส่งเสียงดังครึมโครม เผยภาพอันน่าตกตะลึงในห้วงอากาศบนท้องฟ้า
ภายใต้การโจมตีเดียว ทะลวงท้องฟ้า สะเทือนโลก เปิดประตูแห่งความว่างเปล่า!
หากไม่ได้เห็นกับตา ใครจะกล้าเชื่อว่าบนโลกนี้ถึงกับมีคนใช้เพียงพลังจากการสะบัดแขนเสื้อครั้งเดียว ก็สามารถทำให้เกิดพลานุภาพทั่วฟ้าเช่นนี้ได้แล้ว
หลินสวินจิตใจสั่นไหว นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาได้เห็นภาพที่น่าสะพรึงเช่นนี้
ครั้งแรกคือตอนที่เขาเข้าสู่หมู่บ้านเฟยอวิ๋น ในการเปิดห้องโถงมรรคาสวรรค์ครั้งแรกก็เคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้!
เพียงแต่หลินสวินในตอนนั้นเป็นเพียงเด็กหนุ่มร่างกายผอมซูบที่เพิ่งออกมาจากคุกใต้เหมือง แต่ตอนนี้เขาเป็นบุคคลที่อยู่ระดับมกุฎอริยะแท้แล้ว
ตูม!
ไม่รอให้หลินสวินตั้งสติได้ ก็รู้สึกเพียงว่าข้างหูมีเสียงหนึ่งดังก้อง สะเทือนจนเขาเลือดลมพลุ่งพล่านทั่วตัว จิตใจสั่นเทิ้ม ทรมานแทบจะกระอักเลือด
จากนั้นเขาพลันมองเห็นทัศนียภาพที่คุ้นเคยแต่ละภาพในตอนนั้น…
ส่วนลึกของบานประตูซึ่งประหนึ่งวังวนที่ถูกเปิดออกนอกห้วงอากาศนั่น จู่ๆ ก็มีกรงเล็บสัตว์ใหญ่ยักษ์ข้างหนึ่งยื่นออกมา ฉีกทึ้งห้วงอากาศจนแหลกละเอียด ยื่นลงมาจากท้องฟ้าอย่างรุนแรง
กรงเล็บสัตว์นั่นใหญ่เกินไป เทือกเขาบนโลกนี้อยู่ต่อหน้ามันก็ประหนึ่งเม็ดทรายที่ไม่สะดุดตา กรงเล็บปกคลุมด้วยเกล็ดเย็นเยียบ ปลดปล่อยพลังดุร้ายมากพลานุภาพ
“ทวารดวงดาวถูกเขาเปิดออกแล้ว บนโลกนี้ใครยังจะสามารถขวางข้าก้าวสู่เส้นทางดารานิรันดร์ได้ ไสหัวไป!”
ภายในเสียงเย็นเยียบ ก็เห็นเงาร่างผ่าเผยที่ยืนตระหง่านทระนงบนยอดหมู่เขาดีดนิ้วหนึ่งเบาๆ แสงหนึ่งพลันปรากฏ
จากนั้นกรงเล็บสัตว์ที่ทั้งใหญ่และน่ากลัวข้างนั้นก็สลายหายไป เห็นเพียงเลือดที่พรั่งพรูลงมา ราดรดบนพื้นดิน แดงสยดสยอง!
แต่นี่ยังไม่จบ
ไม่นานใน ‘ทวารดวงดาว’ ที่เปิดออกกลางห้วงอากาศนั่นก็พลันปรากฏเงาร่างกำยำที่ส่องประกายทองหมื่นจั้ง
เงาร่างนั้นสะดุดตาขนาดนั้น ดุจดั่งสุริยันเจิดจ้าไร้เทียบเทียม คล้ายกำลังลุกโชนส่องสว่างฟ้าดิน ดูศักดิ์สิทธิ์ไร้สิ้นสุดอย่างยิ่ง
“ขุนพลเทพทางดารา ฮ่าๆๆ เพื่อขวางข้าแสวงมรรคา แม้แต่ขุนพลเทพก็ออกหน้าแล้วหรือ ลงทุนจริงๆ!”
บนยอดหมู่เขา เงาร่างผ่าเผยส่งเสียงคำรามยาวคราหนึ่ง เย่อหยิ่งตรงไปตรงมา มีความองอาจที่ไม่เห็นวีรชนทั่วฟ้าอยู่ในสายตา
แม้หลินสวินจะเตรียมใจมานานแล้ว ก็ยังคงถูกเสียงนั่นสะเทือนจนสายตาพร่ามัว เลือดลมทั่วตัวพลิกตลบ ร่างกายสั่นระริกอย่างควบคุมไม่อยู่ ต่อให้พยายามกลั้นไว้ แต่ในหัวกับปั่นป่วนอลหม่าน ส่งเสียงดังหึ่งๆ มองอะไรไม่เห็นทั้งนั้น