WSSTH ตอนที่ 3,292 : เผ่ามังกรโลหิต
ณ ว่านโช่วเทียน
ถึงแม้เผ่ามังงกรโลหิต จะเป็นดั่งสายพันธุ์หนึ่งของเผ่ามังกรเทพยดา แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากเผ่ามังกร อย่างไรก็ตามเนื่องจากในเผ่ามังกรโลหิตก็มียอดฝีมือขอบเขตจักรพรรดิอมตะสมญานามอยู่หลายคน จึงถือว่าเป็นขุมกำลังระดับสวรรค์ขุมหนึ่งของว่านโช่วเทียน
ตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา หลังเผ่ามังกรโลหิตแยกตัวออกมาเป็นอิสระจากเผ่ามังกร ความแข็งแกร่งโดยรวมของเผ่าก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก กระทั่งในบางจุดยังร้ายกาจยิ่งกว่าเผ่ามังกรเสียอีก
ในสายตาเผ่ามังกรนั้น สายพันธุ์มังกรโลหิตถือเป็นมังกรเทพยดากลายพันธุ์ ยังเรียกมังกรโลหิตว่าสายพันธุ์ต้องสาปของเผ่ามังกรอีกด้วย!
เนื่องเพราะในกระบวนการเติบโตของสายพันธุ์มังกรโลหิต จำต้องอาศัยการกลืนกินแก่นแท้โลหิตของสัตว์อมตะจำนวนมาก เรียกว่าจะสัตว์อมตะชั้นต่ำก็ดี สัตว์อมตะชั้นสูงก็ดี มังกรโลหิตล้วนรับประทานเรียบไม่มีบอกปัด!
และในเผ่ามังกรโลหิตก็ไม่เคยปรากฏมังกรโลหิต 10 กรงเล็บมาก่อนเลย
กระทั่งมังกรโลหิต 9 กรงเล็บเอง ในเผ่าก็มีอยู่ไม่ถึง 50!
อาจกล่าวได้ว่ามังกรโลหิต 9 กรงเล็บทุกตัวนั้นมีความสำคัญกับเผ่ามังกรโลหิตอย่างมาก ไม่ว่าจะมังกรโลหิต 9 กรงเล็บตัวใด ก็ถูกให้ความสำคัญอย่างสูง
ในเผ่ามังกรโลหิตนั้น แม้จะเป็นลูกหลานของมังกรโลหิตชั้นต่ำในเผ่า แต่ทว่าหากเกิดมาเป็นมังกรโลหิต 9 กรงเล็บ ก็จะถูกปฏิบัติราวกับทายาทสายโลหิตหลัก จะถูกอุ้มชูดูแลอย่างเต็มที่ ได้รับทรัพยากรบ่มเพาะที่ดีที่สุด
และวันนี้ ภายในโถงวิญญาณขเผ่ามังกรโลหิต ก็ปรากฏเสียงลูกแก้ววิญญาณลูกหนึ่งแตกออก
การแตกออกของลูกแก้ววิญญาณลูกหนึ่งในโถง ย่อมเรียกความสนใจของอาวุโสที่ทำหน้าเฝ้าดูแลโถงวิญญาณทันที “ลูกแก้ววิญญาณลูกนี้…มิใช่ว่า…เป็นของ จี้เฉวียน ลูกศิษย์ของผู้อาวุโสใหญ่หรือไร!?”
ผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่ามังกรโลหิตนั้น เป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งเป็นลำดับ 2 ของเผ่ามังกรโลหิต เรียกว่าอำนาจภายในเผ่ามังกรโลหิตของมัน จะเป็นรองก็แต่หัวหน้าเผ่ามังกรโลหิตคนเดียวเท่านั้น!
“เฮ่อ…ดูเหมือนเผ่ามังกรโลหิตของเรา คงมิอาจหาความสงบพบเจอไปสักพัก…”
ผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่เฝ้าดูแลโถงวิญญาณกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงทอดถอนพลางส่ายหน้าไปมาเบาๆอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ส่งข้อความแจ้งไปให้หัวหน้าเผ่ามังกรโลหิตรับทราบทันที
สำหรับอาวุโสใหญ่นั้น มันไม่ได้ส่งข้อความแจ้งไป
ประการแรกเลย หากมันส่งข้อความไปแจ้งผู้อาวุโสใหญ่โดยตรง ไม่พ้นมันต้องเป็นที่รองรับอารมณ์ของอาวุโสใหญ่เป็นคนแรก เช่นนั้นเป็นการดีเสียกว่าที่จะแจ้งให้หัวหน้าเผ่าทราบ และให้หัวหน้าเผ่าไปบอกอาวุโสใหญ่แทน…
เพราะไม่ว่าผู้อาวุโสใหญ่จะเดือดดาลและมีโทสะรุนแรงขนาดไหนหลังรับทราบข่าว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาโทสะไปลงกับหัวหน้าเผ่า
ประการที่สอง ในความคิดมัน ไหนเลยอาวุโสใหญ่จะไม่มีลูกแก้ววิญญาณของจี้เฉวียนพกติดตัว? ป่านนี้ไม่พ้นอาวุโสใหญ่ต้องพบเจอแล้ว ว่าลูกแก้ววิญญาณของจี้เฉวียนที่เก็บไว้มันแหลกลงเป็นเสี่ยง!
เผลอๆวินาทีเดียวกับที่มันได้ยินเสียงลูกแก้ววิญญาณแตก มันที่ยังไม่ทันดูชื่อ…ด้านผู้อาวุโสใหญ่ก็รู้แล้วว่าใครตาย!
“เฉวียนเอ้ออออ!!!”
และแทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่อาวุโสโถงวิญญาณคิดถึงจุดนี้ สุรเสียงที่อัดแน่นไปด้วยโทสะแค้นรวมทั้งความเศร้าโศกจับใจก็ดังสนั่นไปทั่วเผ่ามังงกรโลหิตปานฟ้าร้อง! เรียกว่ามังกรโลหิตในเผ่าทั้งหมดไม่มีใครไม่ได้ยิน!!
“ดูเหมือนอาวุโสใหญ่จะทราบเรื่องแล้วจริงๆ”
อาวุโสโถงวิญญาณได้แต่คลี่ยิ้มแหยๆ มันย่อมรู้ดีว่าสุรเสียงที่กึกก้องกังวาลไปทั้งเผ่าเมื่อครู่ เป็นเสียงของผู้อาวุโสใหญ่
ผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่ามังกรโลหิตนั้นเรียกว่า จี้หู เป็นชายชราสวมใส่ไว้ด้วยชุดคลุมสีแดง เส้นผมหยักศกของมัน ตอนนี้กำลังโบกสะบัดราวอสรพิษมีชีวิต
และมันก็กำลังลอยล่องอยู่บนฟ้าสูง
“ท่านผู้อาวุโส ข้าเสียใจด้วย”
ครู่ต่อมาก็ปรากฏชายวัยกลางคนร่างหนึ่งมาถึง มันมีรูปร่างค่อนข้างสูงใหญ่ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาปานหยกเสลา เส้นผมถูกปล่อยให้ทอดยาวดั่งม่านน้ำตก ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายไร้ลักษณ์ของผู้สูงศักดิ์ออกมา
เป็นหัวหน้าเผ่ามังกรโลหิตคนปัจจุบัน และยังเป็นยอดฝีมืออันดับ 1 ของเผ่ามังกรโลหิต จี้ฟง!
“หัวหน้า ทราบแล้ว?”
จี้หูหันไปมองถามจี้ฟง
“ทราบแล้ว”
จี้ฟงพยักหน้า “ผู้อาวุโสโถงวิญญาณพึ่งแจ้งให้ข้าทราบเมื่อสักครู่…อาวุโสใหญ่ ที่แท้เป็นเรื่องราวใดกันแน่…ไฉนอยู่ๆหลานจี้เฉวียนถึงตกตายได้?”
“เฉวียนเอ้อกับอาวุโส 3 เดินทางไปวิหารเฟิงฮ่าวด้วยกัน เพราะเฉวียนเอ้ออยากได้ตำแหน่งจอมราชันอมตะสมญานาม…ข้าเองก็พึ่งติดต่อไปสอบถามอาวุโส 3 จึงได้รู้ว่าตอนเกิดเรื่อง เฉวียนเอ้อ ยังอยู่ในสถานที่ทดสอบของวิหารเฟิงฮ่าว”
สองตาจี้หูทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง “สิ่งนี้บ่งบอกว่า…เฉวียนเอ้อพลาดท่าเสียทีจนตกตายในสถานที่ทดสอบของวิหารเฟิงฮ่าว!”
“หัวหน้าเผ่า ท่านไปวิหารเฟิงฮ่าวกับข้าเถอะ…ข้าอยากรู้ว่าเป็นผู้ใดที่กล้าฆ่าเฉวียนเอ้อหลานข้า!!”
จี้หูเอ่ยชวนจี้ฟงเสียงหนัก
“ผู้อาวุโสใหญ่…”
จี้ฟงงขมวดคิ้วเป็นปมหลวม “คนของวิหารเฟิงฮ่าว ถึงแม้ว่าพวกมันสมควรรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นภายในสถานที่ทดสอบ…แต่พวกมันมีกฏอยู่ว่า จักมิเปิดเผยเรื่องราวใดๆที่เกิดขึ้นในสถานที่ทดสอบให้คนนอกล่วงรู้”
“ในประวัติศาสตร์ของระนาบเทวโลกทั้งมวล มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถขุดคุ้ยเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสถานที่ทดสอบของวิหารเฟิงฮ่าวได้…”
จี้ฟงกล่าว
“แม้จะยากเย็น…แต่ก็ใช่ว่าจะไร้หนทาง!”
ดวงตาจี้หูเปล่งงแสงเยียบเย็นขึ้นมาอีกวาบ “ขอเพียงรู้ได้…ว่าเป็นสารเลวคนไหนกล้าเข่นฆ่าเฉวียนเอ้อของข้า ให้จ่ายเท่าใดข้าก็ยอม! และข้ามิเชื่อว่าคนของวิหารเฟิงฮ่าวจักไม่หวั่นไหวกับผลประโยชน์!!”
“ก็ได้”
จี้ฟงถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “ในเมื่อผู้อาวุโสใหญ่ตั้งใจจะไปให้ได้ เช่นนั้นข้าจะไปกับท่านเอง”
ฟังจากบทสนทนาของทั้งคู่ บ่งบอกให้รู้ชัดถึงเรื่องหนึ่ง…วิหารเฟิงฮ่าวมีการสอดแนมทุกเรื่องราวในสถานที่ทดสอบจริงๆ!
…
ทางด้านต้วนหลิงเทียนนั้น ตอนนี้เขาก็ไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามังกรโลหิตที่เขาฆ่าไป มันจะมีฐานะใหญ่โตไม่ใช่เล่น!
แต่เป็นธรรมดาว่าต่อให้เข้ารู้ เขาก็ไม่คิดออมรั้งยั้งมือ และเลือกที่จะฆ่ามันให้ตายอยู่ดี!
หลังออกจากแท่นบูชาแล้ว ต้วนหลิงเทียน เมิ่งห่าวซวน และคนอื่นๆอีก 2 คนก็ถูกส่งตัวมายังด่านทดสอบอีกด่าน ซึ่งเป็นพื้นที่ๆเต็มไปด้วยแรงกดดันอย่างมาก!
เพียงแต่แรงกดดันที่ว่าไม่ใช่แรงกดดันพลัง แต่เป็นแรงโน้มถ่วงอันมหาศาล!
และแน่นอนว่าทั้ง 4 ถูกจับแยกออกจากกันอีกครั้ง
“แม้จะเป็นแรงโน้มถ่วง แต่เจ้าก็อาศัยมันหลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวได้อยู่ เพียงแค่ต้องกระทำเช่นนี้…ฯลฯ”
ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รีบร้อนออกไปเช่นเคย เลือกที่จะทำตามคำชี้แนะของงวารีเทพชำระโลกาอย่างตั้งใจ จากนั้นก็เริ่มต้นกระบวนการหลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวที่ยังไม่ผสานรวมกับร่างกายเขาสืบต่อ…
ต้วนหลิงเทียนเลือกจะอดทนถึงขั้นขยับตัวแทบไม่ไหวถึงหยุดมือ จากนั้นก็เร่งรวมรั้งพลังทำลายพื้นที่แรงโน้มถ่วงทันที
หลังหลุดพ้นออกจากพื้นที่แรงโน้มถ่วงได้แล้ว เดิมทีต้วนหลิงเทียนคิดว่าคงได้เจอพวกเมิ่งห่าวซวนและคนอื่นๆเลยเหมือนก่อนหน้า แต่เขากลับพบว่าเขาถูกส่งมาปรากฏตัวบนแท่นศิลาเยียบเย็น มองไปทางใดก็เห็นแต่ความว่างเปล่ากับบรรยากาศสีเทาอันมืดมน ไร้แม้แต่เงาผู้คน
สาเหตุที่ไฉนบอกว่าเป็นแท่นศิลาอันเยียบเย็น เพราะแท่นศิลาที่ว่ามันแผ่ไอเย็นออกมาไม่หยุด พาลให้ผู้คนรู้สึกเสมือนติดอยู่ในห้องน้ำแข็งใต้ดิน!
“หืม?”
ทันใดนั้นเอง สองตาต้วนหลิงเทียนก็เป็นประกายขึ้นมา เนื่องเพราะเขาสังเกตเห็นร่างๆหนึ่งอู่ๆก็ปรากฏขึ้นอีกด้านของแท่นหินเย็นๆ
และทันทีที่เห็นร่างดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็อึ้งไปอยู่บ้าง เพราะรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายกลับเหมือนกันกับเขาทุกประการ! เรียกว่าตั้งแต่หัวจรดเท้าราวเขาส่องกระจกอยู่!!
“หึ!”
ทันใดนั้นเอง ฝ่ายตรงข้ามที่เป็น ‘ต้วนหลิงเทียน’ เหมือนกัน ก็พ่นลมสบถเยียบเย็นออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะถีบเท้าโจนร่างเข้าใส่เขา!!
เดิมทีต้วนหลิงเทียนก็คิดว่าอีกฝ่ายอาจจะใช้กฏมิติเหมือนตัวเอง แต่เขาพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้ใช้กฏมิติ แต่เป็นกฏแห่งน้ำที่ไม่พบเจอผู้ใดใช้มันมานาน
‘ต้วนหลิงเทียน’ ที่โจนทะยานเข้ามา ไม่ทันไรก็สร้างมังกรน้ำตัวเขื่อง 2 ตัวแล้วเสร็จ เข่นฆ่าเข้ามาด้วยพลังสภาวะดุดันไม่ใช่ชั่ว!
“สุดพลังได้เท่านี้แล้วหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนหลงคิดว่า ระดับพลังของ ‘ต้วนหลิงเทียน’ เบื้องหน้าก็น่าจะถูกสร้างให้พอๆกับเขา แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายกลับอ่อนด้อยกว่าเขามาก ยังอ่อนแอกว่าจี้เฉวียนในร่างมนุษย์หลายส่วน
ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว!
…
ต้วนหลิงเทียนเคลื่อนมิติไปผุดโผล่ด่านหลัง ‘ต้วนหลิงเทียน’ จากนั้นอากาศว่างเปล่าโดยรอบก็ปริแตก บังเกิดคมมีดมิติสีเทาพุ่งออกมา 9 สาย ประหนึ่งเคียวยมทูตเกี่ยววิญญาณ คร่าชีวิต ‘ต้วนหลิงเทียน’ ในพริบตา
เมื่อ ‘ต้วนหลิงเทียน’ กลายเป็นชิ้นเนื้อเกลื่อนพื้น ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง เมื่อพบว่า ชิ้นส่วน ‘ต้วนหลิงเทียน’ ได้เปลี่ยนรูปร่างและกลายเป็นคนอื่น
และคนอื่นที่ว่า ก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับต้วนหลิงเทียนเลย เพราะมันเป็น 1 ใน 2 คนที่มาสมทบกับเขา เมิ่งห่าวซวนและจี้เฉวียนภายหลัง
ครืนนนน!! ครืนนนน!!
ตึงงงง!!!
…
ทันใดนั้นเองเสียงสนั่นหวั่นไหว 2 เสียงพลันดังกึกก้องเข้าหูเขา และต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ว่าแท่นศิลาเยียบเย็นใต้เท้ากำลังสั่นไหว ก่อนพบว่ามันเคลื่อนที่ไปชนกับศิลาอีกแท่นหนึ่งที่อยู่ๆก็ปรากฏขึ้นมาท่ามกลางอากาศว่างเปล่า
และบนแท่นศิลาอีกแท่น ก็มีร่างเมิ่งห่าวซวนยืนอยู่
ใกล้ๆจุดที่เมิ่งห่าวซวนยืนอยู่ ก็มีศพๆหนึ่งนอนตายอยู่เช่นกัน และเป็นอีกคนที่เข้ามาพร้อมพวกเขา
ถึงจุดนี้จึงกล่าวได้ว่า ในบรรดา 5 คนที่เข้ามาพร้อมกันๆ มีเพียงต้วนหลิงเทียนกับเมิ่งห่าวซวนเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่
“ต้วนหลิงเทียน?”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียน และพบซากร่างเป็นเสี่ยงๆบนพื้นห่างออกไปจากต้วนหลิงเทียนพอสมควร เมิ่งห่าวซวนก็แลดูแปลกใจเล็กน้อย จกานั้นก็อดถามออกไปไม่ได้ว่า “ก่อนที่ท่านจะฆ่ามัน…ใช่ท่านเห็นว่ามันมีรูปร่างหน้าตาเหมือนท่านหรือไม่?”
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“ทางข้าก็ด้วย”
เมิ่งห่าวซวนคลี่ยิ้มเจื่อนๆ “นี่มันสถานที่ผีสางอะไรกันแน่…แถมตอนนี้แท่นศิลาของพวกเราสองคนยังเลื่อนมาชนกันอีก คงไม่ได้จะบอกว่าข้ากับท่าน ต้องมีหนึ่งรอดหนึ่งตายหรอกนะ?”
“อาจเป็นแบบนั้น…แต่ก็ไม่แน่’
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา “ลองหาดูก่อน ว่ายังมีทางออกอื่นอีกไหม”
“ได้”
เมิ่งห่าวซวนพยักหน้าเห็นด้วยเร็วไว ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโล่งใจอยู่บ้าง เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้มีเจตนาลงมือกับตัวเอง
หากเป็นตอนแรกที่เจอกัน แม้มันจะไม่กล้าพูดว่าสามารถเอาชนะต้วนหลิงเทียนได้แน่ๆ แต่มันก็ยังมั่นใจในพลังฝีมือของตัวเองพอตัว
อย่างไรก็ตาม พอได้เห็นฉากต้วนหลิงเทียนฆ่ามังกรโลหิต 9 กรงเล็บอย่างจี้เฉวียนต่อหน้าต่อตา มันก็รู้ดีว่าแม้พลังฝีมือของมันจะไม่ได้อ่อนด้อยกว่าจี้เฉวียน แต่มันก็ไม่ใช่คู่มือของต้วนหลิงเทียนเลย!
หากต้วนหลิงเทียนคิดลงมือกับมันขึ้นมาจริงๆ มันก็ต้องตายตกอย่างไม่ต้องสงสัย!
จนถึงบัดนี้เมิ่งห่าวซวนก็ไม่ได้รู้ตัวเลย ว่าเว้นเสียแต่มันจะลงมือต่อต้วนหลิงเทียนก่อน ต้วนหลิงเทียนไม่คิดจะฆ่ามันแน่นอน…สุดท้ายมันก็เป็นศิษย์น้องของบิดาบังเกิดเกล้าฮ่วนเอ๋อ!
หากพลั้งมือฆ่าอีกฝ่ายตกตายไป วันหน้าต้วนหลิงเทียนจะสู้หน้าบิดาฮ่วนเอ๋อได้อย่างไร?
นอกจากนั้นเมิ่งห่าวซวนยังให้เบาะแสที่สำคัญอย่างยิ่งต่อต้วนหลิงเทียน จึงทำให้ต้วนหลิงเทียนทราบแล้วว่าบิดาของฮ่วนเอ๋อถูกกักขังอยู่ที่ไหน
และในสายตาของต้วนหลิงเทียน มารดาของฮ่วนเอ๋อ สิบในสิบไม่พ้นถูกกักขังไว้ในสถานที่เดียวกัน!
“พี่สาวสุ่ย”
หลังเขากับเมิ่งห่าวซวนเดินตรวจสอบที่ทางอยู่สักพักใหญ่ๆแต่ไม่พบเจอทางออกอื่นใด ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ถามวารีเทพชำระโลกาอย่างอดไม่ได้
“หากจะออกไปจากที่นี่ ในพื้นที่แห่งนี้ต้องเหลือคนเพียงแค่คนเดียวเสียก่อน”
วารีเทพชำระโลกากล่าว
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนก็มีเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มแหยๆออกมาด้วยความขื่นขมหลังได้ยินคำตอบของวารีเทพชำระโลกา…หรือสุดท้ายระหว่างเขากับเมิ่งห่าวซวนก็ต้องมีหนึ่งคนที่ต้องตายจริงๆ?
“ต้องฆ่าเมิ่งห่าวซวนเท่านั้นหรือ ถึงจะออกไปได้…”
ต้วนหลิงเทียนรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง
“ย่อมไม่เป็นเช่นนั้น”
วารีเทพชำระโลกากล่าว “ข้าลองตรวจสอบดูแล้ว ที่นี่เป็นอย่างที่ข้าบอกเจ้าไปทุกประการ…เงื่อนไขที่จะออกไปได้ คือต้องมีคนอยู่ในพื้นที่แค่คนเดียว”
“แต่อีกคนไม่ใช่ว่าต้องตาย ขอแค่ไปซ่อนตัวอยู่ในโลกใบเล็กของอีกคน ก็สามารถออกจากที่ได้พร้อมกัน”
“อย่างไรก็ตามปกติแล้ว ไม่มีผู้ใดคิดปล่อยให้ผู้อื่นเข้ามาในโลกใบเล็กของตัวเองง่ายๆ เพราะเรื่องนี้มันค่อนข้างอันตรายอย่างยิ่ง”
“เจ้าเป็นฝ่ายเข้าไปหลบในโลกใบเล็กของมันเพื่อออกจากที่นี่เถอะ”
“ถึงแม้ว่าโลกใบเล็กในร่างเจ้า จะไม่กลัวการลงมือล้างผลาญของมัน แต่เจ้ามีความลับซุกซ่อนเอาไว้ในนั้นมากเกินไป อย่าให้มันรู้เสียประเสริฐกว่า”