หลิ่วโหรวพลันหัวเราะขึ้นมา ยื่นนิ้วโป้งออกมาทั้งสองข้าง ถามเสียงเบาว่า “เฉินผิงอัน เจ้ากับฮ่องเต้ที่งามล่มบ้านล่มเมืองท่านนั้น หืม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “อย่าล้อเล่นแบบนี้”
หลิ่วโหรวถอนหายใจ “เป็นวิญญูชนที่เที่ยงตรงเกินไปก็ไม่ดีนะ”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “วันหน้าข้าจะพาภรรยาไปเยี่ยมเยือนตำหนักปี้โหยวด้วยกัน”
เหนียงเนียงเทพวารีมีสีหน้าตื่นตะลึง กระทืบเท้าอย่างแรง “อะไรนะ?! มีภรรยาแล้วจริงๆ รึ ถ้าอย่างนั้นข้าก็หมดเรื่องสนุกแล้วสิ?”
เฉินผิงอันทำหน้าพิพักพิพ่วน ช่างเถิดๆ ยังคงไปเยือนลำคลองม่ายเหอเพียงลำพังดีกว่า
นางกระโดดตบไหล่เฉินผิงอัน พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังลั่น “ยังคงเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด หน้าบางทนการหยอกล้อไม่ได้ ดูเจ้าทำท่าตกใจเข้าสิ”
เฉินผิงอันเอ่ยเตือนด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องล้อเล่นแบบนี้ ห้ามเอามาพูดเล่นกัน จริงๆ นะ”
เหนียงเนียงเทพวารีหัวเราะหึหึ สอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย เดินก้าวเท้าอาดๆ เงียบไปครู่หนึ่งก็พลันเอ่ยขึ้นว่า “เฉินผิงอัน ยังได้พบหน้ากัน แล้วยังได้คุยเล่นกันแบบนี้ ไม่ต้องกังวลว่าพรุ่งนี้อยู่ดีๆ นึกจะตายจากก็ตายจากกันไปทั้งอย่างนั้น ดีจริงๆ จริงๆ นะ”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที
……
เหยาหลิ่งจือไม่เพียงแต่ส่งอาจารย์ออกจากจวน ยังขึ้นไปนั่งบนรถม้าด้วย สองอาจารย์และศิษย์นั่งหันหน้าเข้าหากัน
หลิวจงถาม “มีเรื่องในใจหรือ?”
เหยาหลิ่งจือส่ายหน้า คลี่ยิ้มกว้าง “ได้กลับมาพบเจอกับผู้มีพระคุณของสกุลเหยาอีกครั้ง แล้วผู้มีพระคุณท่านนี้ยังเป็นสหายเก่าของอาจารย์พอดี ข้าจะมีเรื่องในใจอะไรได้เล่า”
หลิวจงเพียงยิ้มไม่เอ่ยอะไร เริ่มหลับตาทำสมาธิ ค่อยๆ บำรุงความอบอุ่นให้กับปณิธานหมัดของตัวเองทีละนิด
ในระดับสูงของราชสำนักต้าเฉวียน รวมไปถึงฝ่ายในของชนชั้นสูงบางส่วน อันที่จริงมีความเห็นบางอย่างที่รู้กันดีแก่ใจมาโดยตลอด หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้งติดต่อกันที่เกิดจากคนคนหนึ่งของปีนั้น แซ่ประจำแคว้นของราชวงศ์ต้าเฉวียนก็ไม่มีทางเปลี่ยนจากหลิวมาเป็นเหยาได้แน่นอน
ที่ชายแดน หากไม่เป็นเพราะคนหนุ่มต่างถิ่นคนนั้นเดินทางผ่านมา ช่วยเหลือเหยาเจิ้นแม่ทัพผู้เฒ่าจากมือของนักฆ่าเป่ยจิ้นเอาไว้ได้ แน่นอนว่าต้องไม่มีเจ้ากรมกลาโหมที่เข้าเมืองหลวงมารับหน้าที่ต่อจากนั้นแน่นอน และยิ่งไม่มีเหยาจิ้นจือที่แต่งเข้าตระกูลเชื้อพระวงศ์ ที่โรงเตี๊ยมเมืองหูเอ๋อร์ หลิวเม่าองค์ชายสามสูญเสียพลังต้นกำเนิดไปอย่างมหาศาล ความเสียหายที่ใหญ่ที่สุดก็คือหลี่หลี่โซ่วกงไหวขันทีผู้ถือตราควบคุมกองทหารม้าที่ตายไปอย่างกะทันหัน เป็นเหตุให้หลิวเม่าสูญเสียแรงสนับสนุนอย่างลับๆ ในยุทธภพต้าเฉวียนไปครึ่งหนึ่ง ไม่มีการบัญชาการณ์จากหลี่หลี่ หลิวเม่าก็ไม่อาจสยบผู้คนได้ ผลคือถูกผู้ถวายงานแปลกหน้านามว่าหลิวจงมารับช่วงต่อยึดเอากองกำลังในยุทธภพทั้งหมดไปแทน
กุญแจสำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือเนื่องจากบุตรชายโทนอย่างเกาซู่อี้ตายไปกลางคัน เป็นเหตุให้เกาซื่อเจินเซินกั๋วกงยิ่งเดินก็ยิ่งไกลห่างไปจากหลิวเม่า ไม่ว่าเกาซู่อี้จะตายอย่างไร แต่สุดท้ายแล้วก็ตายภายใต้เปลือกตาของหลิวเม่า นับแต่นั้นมาจวนของเซินกั๋วกงก็ปิดประตูใหญ่ต่อหลิวเม่า บวกกับการดักสังหารในภายหลังครานั้น หวังฉีวิญญูชนสำนักศึกษที่เคยเป็นผู้นำในวงการการประพันธ์ของราชวงศ์ต้าเฉวียนก็ได้หายเข้ากลีบเมฆไปนับแต่นั้น อีกทั้งคนผู้นี้ยังเป็นพันธมิตรเพียงหนึ่งเดียวของหลิวฉงองค์ชายใหญ่ในนครเซิ่นจิ่ง รวมไปถึงอารามฉ่าวมู่ สกุลสวี่แห่งนครเซิ่นจิ่งของสวี่ชิงโจวที่หลังจากนั้นมาก็เริ่มแยกทางเดินไปคนละเส้นทางกับองค์ชายใหญ่หลิวฉง
ทุกเรื่องราวร้อยเรียงต่อกัน สุดท้ายจึงเป็นเหตุให้องค์ชายรองขึ้นครองราชย์ได้อย่างราบรื่น ดังนั้นหลิวฉงอ๋องเจ้าเมืองถึงได้เอ่ยประโยคประหลาดนั้นท่ามกลางราตรีฝนพรำ
ในความคิดของหลิวฉง ต่อให้เหยาจิ้นจือจะกลายเป็นฮ่องเต้ แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นสตรี ดังนั้นขอแค่นางยินดีแต่งงาน ก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าราชวงศ์ต้าเฉวียนจะต้องเปลี่ยนแซ่ไปพร้อมกับนาง
และในสายตาของหลิวฉง เฉินผิงอันที่อายุน้อยๆ แต่ความคิดกลับรอบคอบรัดกุมผู้นั้น ขอแค่เขายินดีจะหวนกลับคืนมาต้าเฉวียนอีกครั้ง คิดจะยึดครองต้าเฉวียน ก็เป็นเรื่องง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ
แล้วนับประสาอะไรกับที่ครานั้นอ๋องเจ้าเมืองหลิวฉงกับพันธมิตรเร่งรุดเดินทางไปร่วมการประชุมที่ท่าเรือใบท้ออย่างลับๆ รวมถึงหลูอิงผู้ถวายงานลำดับสูงสุดของอารามจินติ่ง แท้จริงแล้วมือกระบี่ชุดเขียวที่ปรากฎตัวในเวลานั้นก็เท่ากับเป็นเฉินผิงอันแล้ว
เพียงแต่ว่าการประชุมลับที่ท่าเรือก่อนการลงนามสันนิบาตใบท้อ ต่อให้เป็นหลิวจงที่เป็นโซ่วกงไหวแห่งต้าเฉวียน และเหยาจิ้นจือผู้เป็นเชื้อพระวงศ์ จนถึงตอนนี้ก็ยังคงถูกปิดหูปิดตาเอาไว้
หลิวฉงที่อยู่ในคุกไม่พูดถึง กั๋วกงอย่างเกาซื่อเจินไม่เปิดปาก ตู้หันหลิงแห่งอารามจินติ่งไม่เอ่ย แน่นอนว่าย่อมมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้
ทว่าตลอดหลายปีมานี้ ในใจลึกๆ ของเหยาหลิ่งจือได้ซุกซ่อนความลับใหญ่เทียมฟ้าเรื่องหนึ่งเอาไว้อย่างระมัดระวัง เรื่องนี้ขนาดหลิวจงผู้เป็นอาจารย์ก็ยังไม่รู้ มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่เหยาจิ้นจือผู้เป็นพี่สาวก็ยังไม่รู้
ปีนั้นวังหลวงที่มีการป้องกันอย่างเข้มงวด มีคนชุดเขียวผู้หนึ่งปรากฏตัว บุรุษสะพายกระบี่ แรกเริ่มเหยาหลิ่งจือยังจำเขาไม่ได้ ทว่าประโยคแรกที่อีกฝ่ายเปิดปากพูดกลับทำให้เหยาหลิ่งจือตะลึงพรึงเพริด
‘แม่นางเหยา จากกันไปนานหลายปี ในที่สุดก็ได้พบกันอีกครั้ง จิ้นจือยังสบายดีหรือไม่?’
ตอนนั้นเหยาหลิ่งจือหลุดปากเอ่ยเรียกชื่อของอีกฝ่ายไปโดยตรง
เฉินผิงอัน?!
มือกระบี่ชุดเขียวผู้นั้นผงกศีรษะรับพร้อมรอยยิ้มบางๆ ยื่นนิ้วมาวางทาบบนริมฝีปาก เอ่ยเสียงเบาว่า ‘อีกเดี๋ยวข้าก็จะต้องไปแล้ว แม่นางเหยาวางใจได้เลย นครเซิ่นจิ่งมีข้าอยู่ ไม่มีทางเกิดเรื่องผิดพลาดเด็ดขาด’
ตอนนั้นเหมือนผีผลักให้เหยาหลิ่งจือปากมากถามไปอีกประโยคว่า ‘เจ้าจะไม่ไปดูจิ้นจือสักหน่อยจริงๆ หรือ?’
มือกระบี่ชุดเขียวที่เปลี่ยนจากเด็กหนุ่มเป็นบุรุษผู้นั้นส่ายหน้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า ‘ไม่ต้องหรอก เห็นพวกเจ้าสบายดี ข้าก็วางใจแล้ว’
จากนั้นร่างของอีกฝ่ายก็พุ่งวูบหายไป อยู่ในนครเซิ่นจิ่งเหมือนอยู่ในสถานที่ไร้ผู้คน
มาจนถึงวันนี้เหยาหลิ่งจือก็ยังรู้สึกเหมือนว่านั่นคือความฝันตื่นหนึ่ง และคำว่าวางใจของเขาก็เป็นเพียงแค่ฝันงดงามของตนที่กลายมาเป็นความจริงเท่านั้น
อีกทั้งเหยาหลิ่งจือก็ไม่ได้บอกกล่าวเรื่องนี้ให้กับพี่สาวที่ตอนนั้นยังเป็นฮองเฮาทราบ รอกระทั่งเหยาจิ้นจือกลายเป็นฮ่องเต้ เหยาหลิ่งจือก็ยิ่งไม่มีความคิดจะบอกเรื่องนี้
ดังนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เหยาหลิ่งจือจึงกลัวที่จะได้พบกับบุรุษซึ่งช่วยเหลือตระกูลเหยาไว้สองครั้งผู้นั้นมาโดยตลอด
กังวลว่าจะเกิดหนึ่งในหมื่น
เพราะกลุ่มชั้นสูงของต้าเฉวียนล้วนรู้ดีว่าบนยอดเขาจ้าวผิงที่อยู่นอกเมืองหลวง เคยมีมือกระบี่ชุดเขียวคนหนึ่งที่มักจะชอบมาชมทัศนียภาพยามที่หิมะใหญ่ตกลงมาในนครเซิ่นจิ่งอยู่ไกลๆ
เล่าลือกันว่านั่นคือเซียนกระบี่ที่เป็นผู้นำของร้อยเซียนกระบี่แห่งภูเขาทัวเยว่ เฝ่ยหราน
มาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้าง!
แต่เขาจะกลายมาเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่งได้อย่างไร?
หรือว่าเหนียงเนียงเทพวารีลำคลองม่ายเหอถูกหลอกแล้ว?
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เฝ่ยหรานก็ดี เฉินผิงอันก็ช่าง เขาได้ช่วยเหลือตระกูลเหยามาสองครั้งแล้ว ทั้งยังถือโอกาสช่วยราชวงศ์ต้าเฉวียนไว้ครั้งหนึ่ง
บวกกับที่อันที่จริงแล้วชื่อเสียงของเฝ่ยหรานคนนี้ในใบถงทวีปก็ไม่ได้เลวร้าย ดูเหมือนว่าจะไม่เคยลงมือเลยสักครั้ง พอๆ กับเซอเยว่ที่ได้รับการยอมรับจากศาลบุ๋นผู้นั้น
ระหว่างหัวคิ้วของเหยาจิ้นจือมีแต่ความกลัดกลุ้ม จู่ๆ นางก็ถามว่า “อาจารย์ ท่านรู้สึกว่าอาจารย์เฉินเป็นคนอย่างไร?”
หลิวจงกล่าว “อายุน้อย มีประสบการณ์โชกโชน เป็นคนดีมากและฉลาดมาก คู่ควรที่จะฝากชีวิตไว้ให้”
เหยาหลิ่งจือยิ้มเอ่ย “อาจารย์ เวลานี้อาจารย์เฉินไม่ได้อยู่ข้างกายท่าน มีแค่พวกเราสองอาจารย์และศิษย์ รบกวนท่านผู้อาวุโสพูดประโยคจากใจจริงด้วยเถอะ”
หลิวจงหัวเราะฮ่าๆ “คนผู้หนึ่งที่มีทรัพย์สินเป็นเงินหนึ่งพันตำลึง มักจะอยากเรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับคนมีเงินหมื่นตำลึงเสมอ คนมีเงินหมื่นตำลึงไม่ใคร่จะยินดีคบค้าสมาคมกับคนมีเงินพันตำลึง ส่วนคนที่มีเงินมากถึงแสนตำลึงล้านตำลึงกลับไม่ถือสาที่จะคบค้ากับคนที่มีเงินพันตำลึง หรือแม้แต่กับคนที่มีเงินแค่ร้อยตำลึง สิบตำลึง สีหน้าเป็นมิตร นิสัยเข้ากับคนอื่นได้ง่าย”
เหยาหลิ่งจือถามอย่างสงสัย “อันที่จริงความประทับใจที่อาจารย์มีต่อเฉินผิงอัน ธรรมดาอย่างมาก?”
“อาจารย์ก็แค่จงใจพูดถ้อยคำที่ฟังดูลึกล้ำสูงส่งกับเจ้าสองสามคำไม่ใช่หรือ จะตื่นเต้นอะไร”
หลิวจงส่ายหน้า เอ่ยสัพยอกว่า “ทำไม อันที่จริงเจ้าชอบเจ้าเด็กนั่นมานานหลายปีแล้ว? ไม่เลวๆ สายตาในการรับลูกศิษย์ของข้าดีเยี่ยม แต่สายตาในการมองบุรุษของลูกศิษย์ข้ากลับดียิ่งกว่า มิน่าเล่าพวกเราสองคนถึงเป็นอาจารย์และศิษย์กันได้”
เหยาหลิ่งจือหัวเราะอย่างฉุนๆ “อาจารย์ อายุก็ตั้งปูนนี้แล้ว ช่วยทำตัวจริงจังหน่อยได้หรือไม่?”
หลิวจงลูบหนวดยิ้ม “เรื่องในใจเล็กน้อยนั่นของเจ้า อันที่จริงเฉินผิงอันมองออกตั้งนานแล้ว ความสามารถในการสังเกตสีหน้าคำพูดและการอนุมานจากเรื่องเล็กน้อยของเจ้าเด็กนี่ยอดเยี่ยมนัก ปีนั้นอาจารย์เคยสัมผัสกับตัวเองมาก่อน แอบเรียนวิชาหมัดก็แค่เรื่องของการเหลือบมองไม่กี่ทีของเขาเท่านั้น ง่ายดายไม่ต่างจากการกินข้าว”
สีหน้าของเหยาหลิ่งจือซีดเซียวขึ้นมาทันใด
ทว่าสีหน้าของหลิวจงกลับเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ลูกศิษย์เปิดภูเขาของตนผู้นี้ไม่เคยรับมือกับเรื่องของชายหญิงไม่ถูกเช่นนี้มาก่อน ชอบหรือไม่ชอบใคร อันที่จริงนางเปิดเผยตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง ดังนั้นหลิวจงจึงกดเสียงต่ำถามว่า “สรุปแล้วเป็นเรื่องอะไรกันแน่?”
ครู่หนึ่งต่อมา
หลิวจงเอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “ข้าจะส่งกระบี่บินไปแจ้งข่าวแก่ฝ่าบาททันที จดหมายลับฉบับนี้ต้องบอกเล่าให้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม ไม่อาจเขียนด้วยถ้อยคำคลุมเครืออย่างฉบับก่อนหน้านี้ของเจ้าได้อีกแล้ว อีกทั้งเจ้าเองก็ต้องจำให้ขึ้นใจว่า ห้ามเปิดปากพูดเรื่องนี้ออกมาง่ายๆ เด็ดขาด เรื่องของการยืนยันตัวตนเฉินผิงอันให้แน่ใจ จะว่าง่ายก็ไม่ง่าย จะว่ายากก็ไม่ยาก นอกจากหลิ่วโหรวแห่งตำหนักปี้โหยวที่ไม่อาจนับได้แล้ว ในต้าเฉวียนแห่งนี้คงมีแค่ได้พบเจอกับอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งและเซียนกระบี่ใหญ่จั่วจริงๆ เท่านั้น หลิ่งจือ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เกินไป เจ้าห้ามเสียกระบวนไปก่อนเองเด็ดขาด หากไม่ทันระวังจะเกี่ยวพันไปถึงคลื่นลมมรสุมใหญ่เทียมฟ้าของศาลบุ๋น!”
สีหน้าของเหยาหลิ่งจือไร้สีเลือด กัดริมฝีปากพยักหน้ารับหนักๆ
……
หลังจากที่เหนียงเนียงเทพวารีลำคลองม่ายเหอหวนกลับไปยังกองโหราศาสตร์อีกครั้ง เฉินผิงอันก็ย้อนกลับมายังที่พักของเหยาเซียนจือ
จำได้ว่าครั้งแรกที่ได้พบกับเหยาเซียนจือ อีกฝ่ายเพิ่งจะอายุสิบสี่ปีเท่านั้น
ครั้งนี้เฉินผิงอันเดินทางกลับบ้านเกิด เดิมทีคิดจะอาศัยฟ้าอำนวยของใบถงทวีปมายืนยันความจริงเท็จของความฝัน เจียงซ่างเจิน ชุยตงซานและเผยเฉียนทยอยกันปรากฏตัว บวกกับจดหมายลับในทะเลสาบหัวใจฉบับนั้น ล้วนแน่ใจได้ว่าเป็นจริงไม่มีผิดพลาด
ในเมื่อภูเขาลั่วพั่วยังอยู่ดี รอให้เจ้าขุนเขาหนุ่มกลับบ้านเกิดนานไปอีกแค่ไม่กี่วันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร
แต่มีเรื่องบางอย่างที่รอไม่ได้
พวกเด็กๆ รีบร้อนเติบโต ดูเหมือนว่าจะรีบร้อนไม่ได้ ทว่าพวกคนแก่รีบร้อนจากไป กลับขัดขวางไว้ไม่อยู่
เหยาเจิ้นแม่ทัพผู้เฒ่าของราชวงศ์ต้าเฉวียนใบถงทวีป หมัวมัวผู้เฒ่าของเรือนผีแคว้นไฉ่อีแจกันสมบัติทวีป ซ่งอวี่เซาผู้อาวุโสแห่งแคว้นซูสุ่ย
แน่นอนว่ายังมีจอมยุทธเคราดก สวีหย่วนเสียที่เป็นดั่งพี่ชาย
เหยาเซียนจือเองก็ประหลาดใจนัก ทุกครั้งนึกอยากจะพูดอะไรกับอาจารย์เฉินมากมาย แต่พอมีโอกาสได้พรั่งพรูความในใจเข้าจริง กลับเริ่มขี้เกียจเสียได้
เฉินผิงอันถาม “ในและนอกเมืองหลวงของต้าเฉวียนมียอดฝีมือที่ซ่อนตัวอยู่หรือไม่?”
เหยาเซียนจือส่ายหน้า “จะดีจะชั่วข้าก็เป็นถึงเจ้าเมือง พวกยอดฝีมือนอกโลกอะไรนั่น อันที่จริงล้วนมีบันทึกไว้ทั้งหมด หากเป็นคนที่สมควรมีชื่อเสียงก็มีชื่อเสียงไปนานแล้ว แต่ถ้ามีพวกที่ซ่อนตัวไม่ขยับเขยื้อน เป็นเทพเซียนผู้เฒ่าที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำอยู่จริง ข้าก็ไม่อาจรู้ได้จริงๆ เรื่องแบบนี้อันที่จริงท่านต้องไปถามพี่สาวข้า ทุกวันนี้นางได้ควบคุมสายลับของต้าเฉวียนร่วมกับผู้ถวายงานหลิวแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “แค่ถามไปอย่างนั้นเอง ไม่ต้องคิดจริงจัง”
เหยาเซียนจือถาม “มีอะไรที่ผิดปกติใช่หรือไม่? ข้าสามารถช่วยอะไรได้ไหม?”
เฉินผิงอันกล่าว “หากมีอะไรผิดปกติจริง เจ้าก็ช่วยไม่ได้หรอก ท่องอยู่ในยุทธภพ คติประจำใจข้อแรก คือเห็นท่าไม่ดีให้เผ่นหนีไปก่อนเพื่อความปลอดภัย เจ้าเดินกะเผลกๆ แบบนี้ตามข้าไม่ทันหรอก หรือจะต้องให้ข้าแบกเจ้าวิ่งหนี? ใช้เจ้าเป็นชุดคลุมอาคม มีกระบี่บินหรือเวทคาถาอะไรพุ่งมา เจ้าก็เป็นคนแบกรับไว้ไหมล่ะ?”
เหยาเซียนจือเอ่ยอย่างจนใจ “อาจารย์เฉิน อย่าเอาเรื่องเป็นคนขาพิการมาล้อบ่อยๆ สิ ปีนั้นท่านไม่ได้เป็นแบบนี้นะ”
เฉินผิงอันด่าขำๆ “ปีนั้นเจ้าเองก็ไม่ได้เป็นคนขาพิการสักหน่อย”
เหยาเซียนจือเกาหัว “ก็จริงนะ”
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “เจ้าก็อย่าเอาแต่หงุดหงิดฉุนเฉียวอยู่แบบนี้ทุกวันเลย อดทนรออีกนิดเถอะ จะบอกเจ้าเรื่องหนึ่ง ข้าคิดว่าวันหน้าจะเลือกที่ตั้งสำนักเบื้องล่างให้อยู่ที่ใบถงทวีป แต่ว่าต้องอยู่ไปทางเหนือยิ่งกว่าต้าเฉวียน ถึงเวลานั้นหากเจ้ามีเวลาว่างหรือรู้สึกว่าดมกลิ่นขี้ม้าที่ชายแดนมาพอแล้วก็ไปผ่อนคลายอารมณ์ที่สำนักของข้าได้ ข้าจะแหกกฎเพื่อเจ้าโดยเฉพาะ ให้เจ้าได้เป็นผู้ถวายงานที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อคนหนึ่งไปเลย”
เหยาเซียนจือพลันยืดเอวตรง “จริงหรือ?!”
เฉินผิงอันหัวเราะร่า “ข้าต้องพูดจริงอยู่แล้ว ส่วนเจ้าจะเอาจริงหรือไม่ ข้าจะยังบังคับจวิ้นหวังขั้นหนึ่งชั้นโทที่สวมหมวกขุนนางเจ้าเมืองได้ด้วยหรือ?”
เหยาเซียนจือเพิ่งจะเตรียมเอ่ยสัพยอกว่าแค่มาเป็นพี่เขยของข้าก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ อาจารย์เฉินกลับคล้ายจะคาดเดาได้ล่วงหน้า หัวของใต้เท้าเจ้าเมืองจึงถูกฝ่ามือตบป้าบลงมาทันที
เหยาเซียนจือฟุบตัวลงบนโต๊ะ
เฉินผิงอันหยิบเหล้าออกมาสองกา โยนให้เหยาเซียนจือกาหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มครุ่นคิดเรื่องบางอย่างอยู่กับตัวเอง ใช้นิ้วจิ้มๆ ชี้ๆ ลงบนโต๊ะอยู่เป็นระยะ
เหยาเซียนจือดื่มเหล้า ถามว่า “เวทคาถาตระกูลเซียน? มองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามืออะไรนั่นน่ะหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ก็แค่คนเล่นหมากล้อมฝีมือย่ำแย่ลองเล่นหมากล้อมกับตัวเองเท่านั้น ดื่มเหล้าของเจ้าไปเถอะ”
——