ตอนที่ 2329 ลูกพี่ลูกน้องที่เป็นญาติห่างกันลำดับที่ห้า
เหมยเหมยกดรับสายด้วยความฉงน “สวัสดีค่ะป้าสะใภ้”
“เหมยเหมยเหรอ หมิงซุ่นอยู่บ้านไหม?” ป้าสะใภ้ใหญ่พูดเสียงดังฟังชัดเปี่ยมไปด้วยพลัง
“อยู่ห้องหนังสือค่ะ หนูไปเรียกเขามาแล้วกัน”
“ไม่ต้อง ๆ ไม่มีเรื่องสำคัญอะไรหรอก บอกเธอก็เหมือนกัน อย่าไปรบกวนหมิงซุ่นทำงานเลย”
คุณป้าสะใภ้ใหญ่รีบห้ามเหมยเหมยไว้ซึ่งฟังดูแล้วไม่ค่อยอยากคุยกับเหยียนหมิงซุ่นนัก ทำให้เหมยเหมยยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม เธอไปหมู่บ้านตระกูลโม่ไม่บ่อยนักใช้นิ้วยังนับได้ งั้นป้าสะใภ้ใหญ่โม่ไม่อยากคุยกับเหยียนหมิงซุ่นแล้วมีธุระอะไรกับเธองั้นหรือ?
“ป้ามีธุระอะไรเหรอคะ?” เหมยเหมยถามอย่างเกรงใจ
ป้าสะใภ้ใหญ่หัวเราะ เว้นช่วงสักพักถึงพูด “เหมยเหมยยังจำโม่เฉี่ยวหลิงได้ไหม?”
โม่เฉี่ยวหลิง?
เหมยเหมยนึกชื่อนี้ไม่ออกแต่ฟังดูน่าจะเป็นหญิงสาวอายุยังน้อย อีกทั้งต้องเป็นคนในหมู่บ้านตระกูลโม่แต่ไม่มีทางเป็นลูกพี่ลูกน้องของเหยียนหมิงซุ่นแน่นอน
เพราะคุณลุงทั้งสามคนของเหยียนหมิงซุ่นมีลูกชายทั้งนั้น มีเพียงคุณลุงคนเล็กโม่เหวินต้งที่มีลูกสาวคนหนึ่งแต่ไม่ได้ชื่อนี้ แถมเพิ่งจะเข้าเรียนชั้นประถมอีกต่างหาก!
“ป้าสะใภ้ โม่เฉี่ยวหลิงคือใครเหรอคะ?” เหมยเหมยถามไปตรง ๆ
คุณป้าสะใภ้ใหญ่หัวเราะอีกทีแล้วกล่าว “เป็นลูกสาวคนหนึ่งของคนร่วมตระกูลเดียวกันในหมู่บ้าน เป็นลูกพี่ลูกน้องที่เป็นญาติห่าง ๆกันลำดับที่ห้าของหมิงซุ่น เมื่อก่อนเคยมาทานข้าวบ้านเรา ตอนนั้นเธอก็อยู่ เวลาผ่านไปนานเธออาจจะลืมไปแล้ว”
เหมยเหมยรับคำอย่างไม่ใส่ใจเท่าไรนัก แต่ก็นึกหน้าลูกพี่ลูกน้องที่เป็นญาติห่าง ๆคนนี้ไม่ออกว่าเป็นใครอยู่ดี
ป้าสะใภ้ใหญ่พูดต่อ “เรื่องเป็นแบบนี้นะ เฉี่ยวหลิงก็อยู่เมืองหลวงเหมือนกัน ปีนี้เพิ่งเรียนจบมหาลัย ช่วงก่อนหน้านี้เคยมาเยี่ยมคุณยายของหมิงซุ่นที่บ้านเรา เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่รู้ความคนหนึ่งเลยแหละแต่แค่โชคร้ายไปหน่อยถึงตอนนี้ก็ยังหางานไม่ได้ กำลังใช้ชีวิตเตร็ดเตร่ที่เมืองหลวงอยู่น่ะ!”
เหมยเหมย ‘…เกี่ยวอะไรกับฉัน?’
เธอไม่ได้ปริเสียงแต่ฟังป้าสะใภ้ใหญ่เล่าไปเรื่อย ๆ
ผิดที่เธอกลับหมู่บ้านตระกูลโม่น้อยครั้งเกินไปเมื่อก่อนถึงได้คิดว่าป้าสะใภ้ใหญ่คนนี้เป็นคนสงบเสงี่ยมคนหนึ่ง ไม่ปริเสียงใด ๆตั้งแต่เช้ายันค่ำ แต่ความจริงกลับตบหน้าเธอฉาดใหญ่เชียวล่ะ
พูดเก่งไม่มีหยุดหอบหายใจเลยสักนิด ไม่จำเป็นต้องชวนเธอคุยด้วยซ้ำ ลำพังบ่นคนเดียวก็กินเวลาไปครู่ใหญ่แล้ว
……
พร่ำบ่นไปเกือบครึ่งชั่วโมงจนหูโทรศัพท์เริ่มร้อนแล้ว ป้าสะใภ้ใหญ่เล่าเรื่องราวอันน่าชื่นชมสมัยเรียนของโม่เฉี่ยวหลิงที่คาดว่าพูดต่อไปคงย้อนไปถึงเรื่องวัยเด็กว่าเริ่มเข้าห้องน้ำเองเป็นตั้งแต่กี่ขวบ
“ป้าสะใภ้ โม่เฉี่ยวหลิงทำไมเหรอคะ?”
เหมยเหมยจำต้องขัดเสียงป้าสะใภ้ใหญ่ที่ช่างจ้อไม่หยุดคนนี้เสีย เธอไม่มีความอดทนมากพอที่จะคุยเรื่องสัพเพเหระกับคุณป้าสะใภ้ใหญ่ที่ไม่ค่อยคุ้นเคยจริง ๆ
ป้าสะใภ้ใหญ่ยังทำท่าไม่อยากจบ หลังจากที่บ้านติดตั้งโทรศัพท์เธอก็ได้วิธีฆ่าเวลาที่ดี–
นั่นก็คือการคุยโทรศัพท์
ทำงานบ้านเสร็จแม่บ้านชาวเกษตรกรรมที่จู่ ๆก็ร่ำรวยขึ้นมาไม่มีงานทำก็เปิดสมุดเบอร์โทรแล้วไล่โทรทีละบ้าน ๆ คุยเรื่องทั่วไป คุยเรื่องดารา ข่าวโทรทัศน์…กระทั่งเรื่องสำคัญระดับชาติ…
เธอสามารถคุยได้ทุกเรื่องจนไล่โทรหมดทั้งสมุดรายชื่อ จนกระทั่งฟ้ามืดแล้วควรเตรียมตัวทำกับข้าวแล้วถึงยอมหยุด
หนึ่งปีผ่านไป วันแล้ววันเล่าจนใช้ชีวิตด้วยวิธีนี้มาหลายปี
ตระกูลโม่ไม่ขาดแคลนเงิน ไม่อย่างนั้นหากคุยโทรศัพท์อย่างเธอเงินคงหมดเกลี้ยงทั้งบ้าน
ป้าสะใภ้ใหญ่เลยต้องเข้าสู่เรื่องสำคัญ “คืออย่างนี้นะ เหมยเหมยช่วยบอกซิวหย่วนทีได้ไหมว่าให้โม่เฉี่ยวหลิงเข้าไปทำงานในบริษัทบ้านเรา ยังไงก็คนกันเองนี่นา เวลาจ้างงานจะได้วางใจ…เธอว่าไหมล่ะ…”
……………………….
ตอนที่ 2330 แผนการของป้าสะใภ้ใหญ่
เหมยเหมยขมวดคิ้วเล็กน้อย บริษัทที่โม่ซิวหย่วนเป็นคนดูแลไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลโม่เลยเพราะหุ้นรายใหญ่สุดคือเธอ เหยียนหมิงซุ่นได้โอนหุ้นร้อยละห้าสิบห้าไว้ภายใต้ชื่อของเธอ
โม่ซิวหย่วนกับโม่เหวินต้งมีหุ้นส่วนเพียงคนละสิบห้าเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ส่วนที่เหลือก็แบ่งให้หุ้นส่วนคนอื่น ๆที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลโม่เลยสักนิด
ป้าสะใภ้ใหญ่พูดเช่นนี้เหมยเหมยไม่ชอบใจเอาเสียเลย แต่เธอก็คร้านจะถือสาเพราะป้าสะใภ้ใหญ่ไม่มีการศึกษาอะไร เป็นเรื่องปกติที่จะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับงานธุรกิจ เพียงเธอแต่แค่สงสัย
“ป้าสะใภ้คะ ทำไมไม่ไปบอกพี่ซิวหย่วนเองละคะ ให้เขาจัดการเองก็จบแล้วไม่ใช่เหรอ?”
ถึงแม้โม่ซิวหย่วนจะเป็นลูกชายคุณอารองโม่แต่ก็เป็นหลานชายแท้ ๆของป้าสะใภ้ใหญ่ที่สนิทกว่าเหยียนหมิงซุ่นเสียอีก พอเทียบกับคนนอกอย่างเธอยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
อีกอย่างโม่ซิวหย่วนเป็นถึงผู้บริหารดูแลบริษัทที่แท้จริง แม้เรื่องสำคัญจะต้องได้รับการอนุญาตจากเหยียนหมิงซุ่น แต่เรื่องเล็กอย่างรับพนักงานไม่จำเป็นต้องถามความเห็นเหยียนหมิงซุ่นเลย ลำพังโม่ซิวหย่วนคนเดียวก็ตัดสินใจได้แล้ว
ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่ไปคุยกับโม่ซิวหย่วนแต่กลับมาอ้อมค้อมแบบนี้ เสียแรงเปล่าจริง ๆ!
“เอ่อ…ซิวหย่วนงานยุ่งนี่นาช่วงนี้เลยหาตัวไม่เจอ ฉันเลยโทรมาหาเธอแทน เหมยเหมยเธอช่วยพูดแทนหน่อยสิ ยังไงก็ญาติกัน ช่วยได้ก็ช่วย เฉี่ยวหลิงทำงานได้แน่ ๆ ต้องช่วยบ้านเราหาเงินได้แน่ ๆ”
ป้าสะใภ้ใหญ่พูดชมอีกยกหนึ่ง ชื่นชมจนแทบเอาโม่เฉี่ยวหลิงเปรียบเป็นนางฟ้าบนสวรรค์จนเรียกให้เหมยเหมยยิ่งสงสัยในตัวโม่เฉี่ยวหลิง
“เรื่องบริษัทฉันไม่ค่อยสนใจเท่าไรค่ะ เอาอย่างนี้แล้วกัน ฉันจะลองบอกพี่หมิงซุ่นดูว่าเขาจะว่าอย่างไรนะคะ”
เหมยเหมยยังข้องใจอยู่ อีกอย่างเธอไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของบริษัทเลยไม่กล้ารับปากทันที
ใครจะรู้ว่า–
“อย่า…หมิงซุ่นงานยุ่งขนาดนั้น เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ก็อย่าไปทำให้เขาเสียเวลาทำงานเลย เหมยเหมยเธอบอกซิวหย่วนหน่อยก็พอ” ป้าสะใภ้ใหญ่น้ำเสียงฟังดูประหม่าอย่างมากคล้ายกลัวจะถูกเหยียนหมิงซุ่นรู้เรื่องนี้เข้า
เหมยเหมยยิ่งสงสัยไปกันใหญ่แล้วพูดกลบเกลื่อนกับป้าสะใภ้ใหญ่ไปไม่กี่ประโยคก่อนจะวางสายไปด้วยความงุนงง
ณ หมู่บ้านตระกูลโม่
ป้าสะใภ้ใหญ่เพิ่งวางสายไปคุณลุงใหญ่โม่ก็เข้าบ้านมา พอเห็นเธอถือหูโทรศัพท์ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “เธอโทรหาใครอีกแล้ว?”
ลำพังค่าโทรศัพท์รายเดือนที่บ้านก็ตั้งสามสี่พันแทบเพียงพอให้คนทั้งหมู่บ้านได้กินได้ใช้แล้ว คุณลุงใหญ่โม่ไม่ค่อยพอใจกับนิสัยนี้ของป้าสะใภ้ใหญ่ หากไม่มีลูกชายลูกสะใภ้คอยห้ามเขาคงทุ่มโทรศัพท์จนพังไปแล้ว
“…โทรหาพี่สะใภ้ฉันน่ะ…” ป้าสะใภ้ใหญ่พูดกลบเกลื่อน ขณะที่ในใจก็เต้นตึกตักเหมือนรัวกลองเพราะกลัวลุงโม่รู้เรื่องแล้วจะด่าเธอเอา
ลุงใหญ่โม่แค่นเสียงทีหนึ่งอย่างไม่พอใจนัก พอสังเกตเห็นบุหรี่เหล้าบนตู้ก็อัดอั้นใจแทบแย่ สีหน้าจึงดูแย่ในชั่วขณะ
“ทำไมเธอยังไม่เอาของพวกนี้ไปคืนให้บ้านมู่เกินอีก รีบไปคืนซะ หลังจากนี้ก็อย่าไปยุ่งกับคนบ้านนี้นัก” ลุงใหญ่โม่ไม่พอใจอย่างมาก
“เฉี่ยวหลิงไม่เหมือนพ่อแม่เธอสักหน่อย เมื่อก่อนคุณก็ชมว่าเธอเป็นเด็กดีไม่ใช่เหรอ เราอย่าเหมารวมได้ไหม?” ป้าสะใภ้ใหญ่กำลังช่วยพูดแก้ต่างให้โม่เฉี่ยวหลิง
ความจริงเธอมีแผนในใจเพราะหลานชายฝั่งบ้านเกิดเธอทำงานอยู่บริษัทโม่ซิวหย่วน แม้จะเป็นเพียงนักเรียนจบมัธยมปลายแต่ตอนนี้เป็นถึงหัวหน้ากลุ่มแล้ว เดือนหนึ่งมีรายได้ตั้งสี่พันกว่าหยวนซึ่งสูงกว่านักศึกษาจบจากมหาวิทยาลัยดัง ๆบางคนเสียอีก
ฉะนั้นครอบครัวฝั่งแม่ของเธอจึงตั้งมาตรฐานในการเลือกลูกสะใภ้ไว้สูงมาก ทั้งต้องหน้าตาดีนิสัยดีและจบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยเท่านั้น ทางที่ดีควรเป็นคนบ้านเดียวกันแล้วช่วยกันทำงานที่เมืองหลวงได้ก็ยิ่งดี…
ด้วยเงื่อนไขต่าง ๆนา ๆจึงทำเอาแม่สื่อแม่ชักทั้งหลายต่างจนปัญญา กระทั่งป่านนี้แล้วหลานชายเธออายุยี่สิบแปดปีก็ยังไม่มีคู่หมั้นคู่หมายที่ดีสักที เห็นว่าใกล้จะอายุสามสิบปีแล้วก็ทำเอาแม่กับพี่สะใภ้ของเธอร้อนใจแทบแย่
จนเมื่อหลายวันก่อนโม่เฉี่ยวหลิงแวะมาที่บ้าน ป้าสะใภ้ใหญ่เลยคิดว่าพระเจ้าได้ส่งหลานสะใภ้คนหนึ่งมาให้เธอ นี่มันบุพเพสันนิวาสชัด ๆ!
…………………………